–ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นแค่การแสดง แต่ความจริงที่ผมถูกท่านช่วยไว้ในวันนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป

เวอร์เนลเริ่มสังเกตความผิดปกติได้ก็ในตอนที่เขาเห็นอัลเฟรียเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย

บุคลิกของอัลเฟรียนั้นเรียกได้ว่าอิสระหรือป่าเถื่อน…ถึงแม้เธอจะแตกต่างจากภาพลักษณ์ของเซนต์คนแรกที่เขาคิดไว้ แต่พลังที่ถูกแสดงออกมานั้นเป็นของจริง

ปีศาจโดยส่วนมากจะถูกจัดการในการโจมตีครั้งเดียว และเธอจะไม่รับความเสียหายจากการโจมตีใดๆนอกเหนือจากเซนต์และแม่มด

เมื่อมองไปยังเธอที่ขจัดปีศาจได้ด้วยพลังแห่งแสงสว่าง ก็คงคิดได้แต่ว่าเธอนั้นสมกับผู้มีตำแหน่งเซนต์จริงๆ

แต่สำหรับเวอร์เนลแล้ว เขากลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก

เธอก็สุดยอดจริงๆนั่นแหละ เธอก็แข็งแกร่งจริงๆนั่นแหละ

แต่ไม่ว่าอย่างไร พลังของเธอก็ยังอยู่ในระดับที่เข้าใจได้

ไม่มีดาบแห่งแสงร่วงหล่นจากฟากฟ้า ไม่มีลำแสงทำลายล้างจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ศัตรู ไม่มีการโจมตีที่สามารถกวาดล้างปีศาจทั้งหมดให้หายไปได้ในพริบตา

เธอไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศหรือฟื้นฟูธรรมชาติได้

เทียบกับ”ปาฏิหาริย์”ของเอลริสแล้ว พลังของอัลเฟรียนั้นธรรมดาเกินไป

เธอไม่ได้มีพลังราวกับเทพธิดาจุติลงมา…เธอก็เป็นแค่นักเวทย์ที่เก่งกาจและพลังที่สามารถต่อกรกับปีศาจได้

พลังของอัลเฟรียนั้น ถึงแม้จะมากกว่า ก็คงบอกได้แค่ว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเอเทอร์น่า

พลังของเอเทอร์น่านั้น เป็นพลังที่คล้ายกับเซนต์แต่ด้อยกว่า

เพราะว่าเมื่อเทียบกับพลังของเอลริสแล้ว เอเทอร์น่านั้นสู้ไม่ได้เลย

แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิดของเวอร์เนล ตามที่ท่านโหรบอกมานั้น พลังของอัลเฟรียนั้นถือว่าพอๆกับเซนต์ของยุคสมัยอื่นๆนั่นล่ะ

พลังของเอเทอร์น่าเองก็ไม่ได้ต่างกัน หากไม่มีเอลริสอยู่ล่ะก็ เธอคงถูกเข้าใจว่าเป็นเซนต์แทนไปแล้ว

…แต่ว่าความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่ผิดจริงๆหรือ?

ความสงสัยของเวอร์เนลค่อยๆขยายตัวขึ้น

และในวันนี้ คำตอบของความสงสัยนั้นก็ได้มาถึง

เขานึกย้อนกลับไปที่การสนทนาระหว่างอัลเฟรียและครูใหญ่ฟ็อกซ์

“เราชอบสีเขียวนะ เป็นสีโปรดของเราเลยล่ะ”

“ใช่แล้ว ในทางตรงข้าม เราเกลียดสีแดงน่ะ มันทำให้เรานึกถึงเลือดของพวกปีศาจน่ะ เห็นแล้วทำให้รู้สึกคลื่นไส้”

“ขอรับ เป็นเพราะว่าสีเขียวเป็นสีที่โปรดปรานของท่านเซนต์รุ่นแรกจึงทำให้ชุดนักเรียนของเรามีสีเช่นนี้ เช่นเดียวกันที่เราหลีกเลี่ยงการใช้สีแดงในการทำชุด”

ชุดนักเรียนของสถาบันหลีกเลี่ยงที่จะใช้สีแดงในการทำชุด

ความทรงจำในตอนนี้เขาตกลงไปยังถ้ำด้วยกันกับเอลริส

ในตอนนั้น เวอร์เนลเห็นบาดแผลบนแขนของเอลริส

เมื่อเขาชี้ให้ดู เอลริสก็ดึงเส้นด้าย/แผลนั้นออกมาแล้วพูดว่า

“อ๊ะ ดูเหมือนจะมีด้ายติดอยู่นั่นล่ะจ้ะ คิดว่าน่าจะหลุดจากชุดตอนที่เราตกลงมา”

เขาก็เออออตามไปด้วยในเวลานั้น

บาดแผลของเธอนั้นไม่มีอยู่ เป็นเพียงแค่ด้ายที่ติดอยู่บนแขน

แต่เมื่อลองมาคิดดู นั่นเป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก

บนชุดนักเรียนนั้น ไม่มีส่วนไหนของผ้าที่ใช้ด้ายสีแดงอยู่เลย

สิ่งที่เขาเห็นในตอนนั้นเป็นด้ายจริงๆอย่างนั้นหรือ?

สำหรับเอลริสผู้สามารถบินบนท้องฟ้า เรียลมพายุหรือดาวตกได้แล้ว การจะเสกเส้นด้ายเล็กๆขึ้นมาในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หลักฐานอะไร

เอลริสอาจจะพกตุ๊กตาที่ทำจากด้ายสีแดงติดตัวอยู่ในเวลานั้นก็ได้

และด้ายก็หลุดมาจากตุ๊กตานั้น

อย่างไรเสีย เอลริสก็สามารถทำสิ่งที่มีเพียงเซนต์เท่านั้นที่จะสามารถทำได้

เพราะเช่นนั้น…

“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรหรอก อย่ากลัวไปเลยนะ สักวันหนึ่งพลังนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตัวคุณ แต่ว่าในตอนนี้ คุณอาจจะต้องเจ็บปวดหากไม่สามารถควบคุมมันได้…เพราะแบบนั้น ขอชั้นยืมพลังไปใช้สักพักก่อนนะคะ”

เขายังจำคำที่เธอพูดกับเขาในวันนั้นเมื่อสามปีก่อนได้

ไม่สิ ไม่ใช่แค่จำ

การพบกันกับเอลริสในวันนั้นถูกจารึกเอาไว้ในจิตวิญญาณของเวอร์เนล

เป็นความทรงจำล้ำค่าที่ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันตกพร่องไป…เขาสามารถนึกทุกประโยคขึ้นมาได้อย่างไม่มีผิดเพื้ยน

อา เข้าใจล่ะ

ในวันนั้นท่านเอลริสยืมพลังของผมไปนี่เอง

เพราะแบบนั้น ถึงแม้เธอจะไม่ใช่เซนต์…เธอก็ยังสามารถทำในสิ่งเดียวกับที่ผมทำได้

นั่นนำมาซึ่งคำถาม

เธอเป็นเซนต์ตัวจริงหรือเปล่า?

…สำหรับเวอร์เนลแล้ว เรื่องนั้นน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย

ความจริงที่เขาถูกเอลริสช่วยเอาไว้จะไม่มีวันเปลี่ยน ความจงรักภักดีที่มีต่อเธอจะไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย

ต่อให้เอลริสไม่ใช่เซนต์ คนธรรมดาที่สามารถทำในสิ่งที่มีแค่เซนต์ถึงจะทำได้น่ะ ยิ่งสุดยอดกว่าไม่ใช่รึไง

ความรู้สึกในอกนี้จะไม่เปลี่ยนไป

…เขารักเอลริส

ในฐานะเพศตรงข้าม

สำหรับเขาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเอลริสจะเป็นอย่างไรก็ช่าง

เพราะแบบนั้น —การที่เขามาพบกับเธอในตอนกลางคืนโดยบังเอิญ— ทำให้เขาไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกนี้ไว้ได้ และต้องการที่จะสารภาพออกไป

เลย์ล่าไม่ได้อยู่กับเธอด้วย นี่เป็นโอกาสดี ต้องบอกว่าคงจะไม่มีโอกาสแบบนี้ให้เห็นอีกแล้ว

เพราะเลย์ล่าตามติดอยู่ด้วยตลอดในเทศกาลวันประสูติของเซนต์ ทำให้เขาไม่อาจสารภาพออกไปได้

เพราะอย่างนั้นถึงต้องเป็นในครั้งนี้ ในตอนนี้…

“ไม่ได้นะคะ!”

เอลริสส่งเสียงขัดจังหวะเวอร์เนลเอาไว้ก่อน ราวกับว่าเธอกลัวคำพูดที่จะหลุดออกมา

เอลริสนั้นไม่ใช่คนหัวทึบ เธอคงจะพอรู้อยู่แล้วว่าเวอร์เนลกำลังจะพูดอะไร

แต่เอลริสก็ยังหยุดเขาไว้ ไม่อย่างที่จะได้ยินคำพูดนั้น

“คำพูดนั้น…ไม่ควรจะเอามาพูดกับชั้นค่ะ ไม่ควรที่จะเป็นชั้น”

เป็นเหมือนคำปฏิเสธ…แต่ก็ไม่ใช่

เธฮคิดว่าตนเองนั้นไม่คู่ควร คิดว่าตัวเองนั้นต่ำต้อยเกินไป

เวอร์เนลอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“ท่านเอลริส…ไม่ใช่เซนต์ตัวจริงใช่ไหมครับ?”

เขารู้สึกได้ถึงเอลริสที่ชะงักไปโดนกะทันหัน

ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ

ปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะเป็นคำตอบแล้ว

ข้อสงสัยของเขาถูกยืนยันว่าเป็นความจริง

“…รู้ตัวตอนไหนหรือคะ?”

“ปฏิกิริยาของท่านเมื่อครู่เป็นคำตอบน่ะครับ”

เอลริสยอมรับว่าตนนั้นไม่ใช่เซนต์ตัวจริง

เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย

เอลริสเป็นเพียงคนที่ยืมพลังจากเวอร์เนลไปทำให้สามารถใช้พลังแบบเดียวกับเซนต์ได้ ส่วนเซนต์ตัวจริงในยุคสมัยนี้ก็คือเอเทอร์น่า

ต้นตอพลังเหนือธรรมชาติของเอลริสยังไม่สามารถยืนยันได้ก็จริง…แต่ก็ไม่ใช่พลังของเซนต์อย่างแน่นอน

เวอร์เนลอธิบายให้ฟังว่าเขาเริ่มรู้สึกตัวตอนไหน

“ความสงสัยของผมเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่พลังของเอเทอร์น่าตื่นขึ้นมาน่ะครับ พลังของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเซนต์รุ่นก่อนๆเลย ท่านอัลเหรียเองก็ด้วย และคำพูดของครูใหญ่ฟ็อกซ์ก็ นั่นทำให้ผมคิดได้ ที่ท่านกล่าวว่า”เธอจะได้พบกับเซนต์ของเธอ”ต่อผมในวันนั้น ท่านไม่ได้กล่าวถึงตนเอง แต่เป็นเอเทอร์น่า”

เมื่อลองคิดกลับไป ก็รู้สึกตัวได้ว่าคำพูดของเธอนั้นมันแปลก

ทั้งที่เซนต์ก็ยืนอยู่ต่อหน้าแล้วแท้ๆ กลับบอกขึ้นมาว่าเขาจะได้พบ”เซนต์ของเขา”ราวกับเป็นคนอื่น

นี่เป็นข้อพิสูจน์

ว่าเอลริสรู้ตัวตนที่แท้จริงและที่อยู่ของเซนต์มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

“…ถูกต้องแล้วจ้ะเวอร์เนลคุง ตัวชั้นนั้นไม่ใช่เซนต์ ชั้นเกิดในหมู่บ้านเดียวกับเอเทอร์น่าซังแล้วถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเซนต์เนื่องจากพลังเวทย์ที่สูงน่ะจ้ะ เป็นเพียงตัวปลอมที่ยังคงเสแสร้งรับตำแหน่งเซนต์อยู่มาจนถึงตอนนี้”

“แล้ว พลังของท่าน…”

“อย่างที่คิดนั่นล่ะจ้ะ พลังที่ชั้นใช้ในการแสดงเป็นเซนต์นั่นชั้นก็ได้มาจากเธอนั่นล่ะเวอร์เนลคุง ส่วนที่เหลือก็เป็นแค่เวทมนตร์”

อย่างที่คิดเลยว่าพลังเซนต์ของเธอเป็นสิ่งที่เธอรับไปจากเวอร์เนล

แต่ที่น่าตกใจก็คือ ปาฏิหาริย์ต่างๆที่เธอทำมานั้นเป็นเพียงผลจากเวทมนตร์ธรรมดา

เวทมนตร์มีพลังในการทำถึงขนาดนั้นได้ยังไง?…ตั้งแต่แรกแล้ว เธอไปเอาพลังเวทย์มากมายมาจากไหนในการใช้เวทมนตร์พวกนั้น

คำตอบของเอลริสนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า

“ความลับของความจุพลังเวทย์ที่ชั้นมีน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกจ้ะ…ทุกๆวัน รวมถึงตอนที่ชั้นนอนหลับ ชั้นจะคอยโคจรพลังเวทย์เข้าออกจากร่างกายเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้ความจุค่อยๆขยายขึ้นเรื่อยๆ”

ความพยายาม

คือต้นตอของปาฏิหาริย์เหล่านั้น

การโคจรพลังเวทย์เข้าออกเพื่อเพิ่มความจุพลังเวทย์ในร่างนั้นเป็นวิธีที่เวอร์เนลเองก็รู้

เขาเคยเรียนมาก่อน เคยทดลองด้วยตัวเองก็หลายครั้ง

แต่นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้โดยที่ขาดสมาธิและสติ…การโคจรพลังเวทย์นั้นจะนำมาซึ่งภาระที่หนักหน่วงต่อจิตใจของผู้ใช้

พลังเวทย์นั้นปนเปื้อนไปด้วยจิตของผู้ใช้

การที่รับพลังเวทย์จากภายนอกเข้ามาจะเป็นการดูดซับความคิดของผู้อื่นเข้ามาด้วย โดยเฉพาะความคิดด้านลบ

ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความริษยา…เป็นด้านมืดจากจิตใต้สำนึก หากดูดความคิดเหล่านั้นเข้าไปจะย้อมจิตใจให้กลายเป็นสีดำ

เป็นการนำสีแปลกปลอมจากด้านนอกสาดเข้าไปยังผืนกระดาษที่เรียกว่าจิตใจ

ไม่มีใครที่สามารถทนนิ่งเฉยกับเรื่องเช่นนั้นได้

แต่เอลริสกลับสามารถทำเช่นนั้นได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง…อยู่ตลอดเวลา

ผู้คนที่ที่คิดจะทำเรื่องเช่นเดียวกันนี้น่าจะโดนความรู้สึกเหล่านั้นกดทับจนจิตแตกสลาย กลายเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับแม่มดไป…เวอร์เนลเองก็ไม่รู้ว่าเอลริสสามารถทนเรื่องเช่นนั้นไว้ได้อย่างไร คงเป็นเพราะสภาพจิตใจที่พิเศษของเธอล่ะมั้ง

“ตามที่บอกไปเลยจ้ะ เธอคงจะเข้าใจแล้วใช่ไหม? ว่า’เซนต์เอลริส’ที่เธอหลงไหลน่ะก็เป็นเพียงการแสดง เป็นเพียงฉากหน้า…ชั้นก็ทำเพียงแสดงตัวเป็นเซนต์ในอุดมคติของทุกคน ความรักของเธอน่ะ มีให้กับภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริงยังไงล่ะ”

“ผิดแล้วครับท่านเอลริส!”

เวอร์เนลปฏิเสธคำพูดดูแคลนตนเองของเอลริส

เอลริสเข้าใจผิดแล้ว

เธออาจจะไม่ใช่เซนต์ก็จริง

ต่อให้การกระทำของเธอจะเป็นเพียงการแสดงบทบาทของเซนต์ในอุดมคติ

แต่การแสดงนั้นก็ได้ช่วยผู้คนไว้มากมาย

โลกนี้ได้ถูกเธอรักษาไว้

เธอนำผืนดินที่ถูกปีศาจรุกรานกลับคืนมา เธอนำสมดุลมาสู่ธรรมชาติ เธอช่วยชีวิตผู้คนไว้นับไม่ถ้วน

เหล่าเด็กๆมากมายที่รอดชีวิตจากความอดอยาก

รอยยิ้มที่เธอนำกลับมาสู่ผู้คนที่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง

เขาเอง…ที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นเพราะว่าตัวเธอในวันนั้นผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้า

ทั้งหมดนี้ไม่มีคำโกหกอยู่เลย

ภาพลวงตาที่เธอคิดไว้นั้นไม่มีอยู่จริง

“ท่านอาจจะไม่ใช่เซนต์ตัวจริง แต่ผู้คนที่ท่านช่วยเหลือไว้…คนเหล่านั้นมีอยู่จริงนะครับ! เพราะว่าท่านช่วยผมไว้ในวันนั้น ผมจึงมายืนอยู่ที่นี่ได้ในตอนนี้ ถึงแม้ตัวตนของท่านในฐานะเซนต์จะเป็นเพียงภาพลวง…แต่การกระทำของท่านน่ะ เป้นของจริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกครับ! เพราะแบบนั้น จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย…ความรู้สึกของผมเอง ตั้งแต่แรกแล้ว…เซนต์ของผมน่ะมีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น! ท่านเอลริสครับ กับท่าน…กับคุณน่ะ…ผม…”

ใช่ ตัวเขาได้ตัดสินใจไว้แล้วตั้งแต่วันนั้น

สำหรับเวอร์เนลแล้ว ตั้งแต่ต้น…มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

ถึงแม้เธอจะไม่ใช่เซนต์ที่แท้จริง ถึงแม้เธอจะเป็นเพียงนักแสดง แต่สำหรับเขา…เธอนั้นเป็นตัวจริง

“—ผมรักคุณครับ!”

เพราะเช่นนั้น เวอร์เนลจึงสามารถพูดเช่นนี้ออกไปได้โดยไม่ลังเล

เวอร์เนลไม่สามารถอ่านสีหน้าในตอนนี้ของเอลริสออกได้

แต่เขาก็ไม่เสียใจ นี่เป็นความรู้สึกที่ตัวเขาควรจะบอกออกไป

ถึงแม้จะรู้ดีว่าตนจะโดนปฏิเสธ…ถึงแม้จะต้องเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่เสียใจเลยที่พูดออกไป

หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เอลริสก็เปิดปากพูดออกมา

“ขอบคุณนะเวอร์เนลคุง เป็นเพราะเธอ…ทำให้ชั้นรู้สึกว่า ที่ทำไปจนถึงตอนนี้น่ะ ไม่ได้สูญเปล่าเลย”

เธอหันมายิ้มให้แก่เวอร์เนล

ไม่รู้เพราะอะไร รอยยิ้มนั้นกลับดูเศร้าสร้อย

ก่อนที่เหตุผลนั้นจะพุ่งเข้าใส่

“แต่ว่า…ขอโทษนะจ๊ะที่ชั้นไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นได้ เพราะว่าที่ปลายทางนั้นจะมีความทุกข์รออยู่ ชั้นไม่อาจปล่อยให้เธอต้องมาร่วมกับชั้นด้วยหรอกจ้ะ”

“นะ นั่นหมายความว่ายั…”

ความทุกข์ เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?

ก่อนที่จะได้ถามออกไป คำตอบของเอลริสนั้นทำให้เขาตกตะลึง

“อายุขัยของชั้นเหลืออีกไม่มากแล้ว อย่างมากก็ครึ่งปี…ชั้นคงจะอยู่ไม่ถึงวันเกิดครั้งต่อไปแล้วล่ะ”

สมองของเวอร์เนลขาวโพลน

เขาอยากให้นี่เป็นเรื่องโกหก

อยากให้เป็นเพียงข้ออ้างที่เธอใช้เพื่อปฏิเสธเขา

แต่…ไม่นาน เวอร์เนลก็รู้ถึงสาเหตุ

พลังของเวอร์เนลนั้นคือคำสาปที่ทำลายทุกสิ่ง

ในตอนที่เอลริสรับพลังของเขาไป เขาเพียงคิดว่าเอลริสสามารถควบคุมมันได้เพราะว่าเธอเป็นเซนต์

แต่เอลริสไม่ใช่เซนต์

สำหรับเธอแล้ว พลังนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากยาพิษเลย

เขาไม่อาจขยับเขยื้อนอะไรได้ เอลริสก็กล่าวต่อไป

“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกจ้ะ ทั้งหมดนี้เป็นผลลัพท์ของเส้นทางที่ชั้นเลือกด้วยตัวเอง ชั้นรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าจุดหมายของเส้นทางนี้จะเป็นเช่นไร อีกอย่าง…ถ้าไม่มีพลังที่ชั้นยืมมาจากเธออยู่ล่ะก็ ชั้นก็คงไม่สามารถที่จะเสแสร้งเป็นเซนต์ต่อไปได้หรอกนะจ๊ะ จะเกลียดชั้นก็ไม่เป็นไรนะ เพราะว่าชั้นใช้เธอเป็นเครื่องมือในการแสดงเป็นเซนต์นี่นา”

เขาอยากจะตะโกนตอบไปว่า “นั่นผิดแล้ว!”

ไม่มีคนโง่ที่ไหนคิดจะบั่นทอนอายุขัยตนเองเพียงเพื่อจะใช้งานคนอื่นเป็นเครื่องมือหรอก

เอลริสไม่ใช่คนที่โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจในเรื่องนั้น

เธอไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลย ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะพบกับเวอร์เนล เธอก็ถูกขนานนามว่าเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ต้นแล้ว

ที่ทำพูดเช่นนั้นก็เพียงเพื่อที่จะรับความผิดเอาไว้คนเดียว รับตำแหน่งวายร้ายเพื่อที่เวอร์เนลจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อชะตากรรมที่เธอจะต้องพบ

เขาต้องการที่จะพูด แต่กลับไม่มีเสียงออกมา

ความจริงของเอลริสทำให้ลำคอของเขาแห้งผากจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้

เขาคิดว่าถึงแม้ตนจะถูกปฏิเสธไปก็ยังไม่เป็นไร

แต่นี่มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหว

ต่อให้เขาจะต้องถูกปฏิเสธสักกี่ครั้ง ถ้าแค่เอลริสยังมีชีวิตต่อไปได้ เขาก็พอใจแล้ว

แต่นี่มัน…เขายอมรับมันไม่ได้

“เพราะแบบนั้น…เวอร์เนลคุงจะต้องหาใครสักคนที่ดีกว่าตัวชั้นได้อย่างแน่นอนจ้ะ ขอให้มีความสุขกับคนคนนั้นและมีอนาคตที่สดใสร่วมกันนะจ๊ะ… เพราะว่านั่นเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอ”

ในอนาคตที่เธอพูดถึงนั้น ไม่มีเอลริสอยู่ด้วย

เอาแต่ใจจริงๆ

เธอมาช่วยผู้คนตามที่เธอต้องการ ทุ่มเทตนเองเพื่อความสงบสุขของโลก และเมื่อความสงบสุขนั้นมาถึง เธอกลับจะจากไปก่อนที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมไปกับมัน

หายนะแบบนั้น…จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้

“ทะ ท่านพอใจกับเรื่องแบบนั้นจริงๆหรือครับ!? ท่านทุ่มเททุกอย่าง เพื่อทุกๆคน…แต่สุดท้าย…สุดท้ายแล้วท่านกลับ…”

เอลริสทำเพียงแค่ยิ้มให้กับคำพูดของเวอร์เนล

เธอรู้ดีอยู่แล้ว และยอมรับผลลัพท์นี้ไว้แต่โดยดี

ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเสียใจ เธอยังคงสูงส่ง…ยึดมั่นในความเอาแต่ใจของตนจนถึงที่สุด

“ถึงชั้นจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว…แต่ถ้าในท้ายที่สุด ทุกคนจะยังคงยิ้มแย้มอยู่ได้ล่ะก็ เท่านั้นชั้นก็มีความสุขที่สุดแล้วล่ะจ้ะ ชั้นไม่อยากให้ใครต้องเศร้าเสียใจไป เพราะว่านั่นคือความหวังของชั้น ชั้นอยากที่จะให้ทุกคนมีแต่รอยยิ้ม”

สีหน้าของเธอบ่งบอกว่านั่นเป็นความหวังจากเบื้องลึกของหัวใจ

ไม่มีความโศกเศร้าหรือเสียดายใดๆ นี่เป็นความต้องการของเธออย่างแท้จริง…

…และแล้วเอลริสก็เดินจากไป ปล่อยให้เวอร์เนลยืนอยู่ตรงนั้นแต่เพียงคนเดียว