ตอนที่ 18 บุรุษหน้าหวานตายแล้วหรือ ?
เจียงโม่หานถือตำราที่จะนำไปคัดลอกเพิ่มออกมาจากร้านหนังสือ เขามองตามแผ่นหลังนั้นจนกระทั่งนางเดินหายไปจากสายตา ท่ามกลางแผ่นหลังที่ใหญ่โตแลดูแข็งแกร่งเกินสตรี ทำให้ผู้คนที่พบเห็นสามารถสัมผัสได้ถึงความกล้าหาญและความหวังที่มีอย่างเต็มเปี่ยม
ความหวังเช่นนั้นหรือ ? บนโลกใบนี้มีศึกสงครามและความขัดแย้งมากมาย ยากที่จะหาความสงบได้ อีกไม่นานภัยแล้งก็กำลังมาเยือนและราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นก็สร้างความกดดันให้คนยากจน พวกเขาแทบหายใจไม่ออก แล้วเช่นนี้จะไปเอาความหวังมาจากที่ใด ?
เจียงโม่หานจับตำราในมือไว้แน่นพลางกัดปากจนริมฝีปากอมชมพูได้สูญเสียสีเดิมของมันไป ทว่าแผ่นหลังของเขากลับยืดตรงอย่างทะนง เขามีเพียงความหยิ่งทะนงเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความรู้สึกมั่นใจ หากเขาต้องสูญเสียท่าทางเช่นนี้ไปแล้วจะยังเหลือสิ่งใดในชีวิตอีก ?
“เจียงโม่หาน ! ” เมื่อได้ยินเสียงเรียกนี้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาพลันหดเกร็งขึ้นมา ความแข็งกร้าวในดวงตาของเขาได้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น
“เจ้ามาเอาตำราจากร้านหนังสือไปคัดลอกอีกแล้วหรือ ? เจ้าใช้เงินอันน้อยนิดที่ได้จากการคัดลอกตำรามาอย่างยากลำบากเพื่อซื้อข้าวและอาหารแห้งเพียงไม่กี่ชั่งไว้ประทังชีวิต แต่ก็ช่างมันเถิด ในฐานะที่เป็นสหายร่วมชั้นเรียนเดียวกัน ข้าจะหาลู่ทางทำเงินให้เจ้าเอง เจ้าช่วยข้าเขียนบทกลอนสักบท แล้วข้าจะให้เจ้าบทละ 1 ตำลึง หากข้ามีชื่อเสียง เจ้าก็พลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วย เช่นนี้ดีหรือไม่ ? ”
ผู้ที่กล่าวคือชายหนุ่มคนหนึ่งในอาภรณ์ราคาแพงซึ่งจัดแต่งทรงผมไว้เสียเรียบแปล้ นัยน์ตาสีขาวของเขามีมากกว่านัยน์ตาสีดำ จมูกโด่งปลายงุ้มเล็กน้อย ในมือได้ถือพัดที่ดูมีราคาสูงลิ่วเอาไว้
“เจ้าช่างมีน้ำใจเหลือเกิน ! ” เจียงโม่หานยืดคอสูงขึ้น ความหยิ่งทะนงในแววตาก็มีเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน ในความเป็นจริงมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่าใช้ความเย่อหยิ่งมาปกปิดความรู้สึกต่ำต้อยและความน่าสมเพชของตนเอาไว้ !
“อย่าเพิ่งไป ! แท้จริงพวกเราสามารถเจรจาต่อรองราคากันได้ ! มารดาของเจ้าปักผ้าจนมือเจ็บระบมเพื่อเอามาขายให้ร้านของข้าแล้วนำเงินที่ได้มาอย่างยากลำบากไปซื้อตำราให้เจ้าเรียน เหตุใดเจ้าไม่รู้จักสงสารและเห็นใจมารดาบ้าง ? ควรคิดให้ดีว่าการที่เจ้าเขียนบทกลอนให้ข้าสักบทจะช่วยให้มารดาแบ่งเบาภาระได้มาก ! ” หลังกล่าวจบแล้วชายหนุ่มในอาภรณ์มีราคาก็หัวเราะออกมาพลางคิดในใจว่าแค่คนยากจนคนหนึ่งจะมัวทำตัวหยิ่งทะนงไปเพื่อเหตุใด ?
“หลีกไป ! ” เจียงโม่หานกำหมัดแน่น จากนั้นก็พยายามกัดฟันพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เวลานี้เขาคาดหวังเหลือเกินที่จะให้ตนกลายเป็นเหมือนบุตรคนรองตระกูลหลินที่มีร่างกายสูงใหญ่และมีพละกำลังมากพอจัดการเหล่าคนที่ดูถูกดูแคลนจนต้องคุกเข่าอ้อนวอนกับพื้น คนเหล่านี้จะได้ไม่ต้องมารังแกเขาอีก !
“ไอหยา ! อัจฉริยะเจียงของเราโกรธแล้วหรือ ! ” ชายหนุ่มในชุดมีราคาหัวเราะร่าอย่างชวนหาเรื่อง เขายังคงท้าทายอารมณ์ของเจียงโม่หานต่อไป “แต่เจ้าจะทำอันใดข้าได้ ? ข้าให้เวลาเจ้าคิดอีกสามวัน หากไม่รู้จักใช้ฝีมือของตนหากินก็อย่าหวังว่ามารดาจะได้เลิกปักผ้า แล้วเจ้าสองแม่ลูกก็รอกินอากาศประทังชีวิตเสียเถิด…อ้อ ! จริงสิ ในช่วงเวลานี้เกรงว่าคงไม่มีแม้แต่ลมให้เจ้าได้กิน ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตและเมื่อใดก็ตามที่มีคนมาแตะต้องสิ่งที่หวงแหนก็อาจทำให้โกรธจนขาดสติได้ ! เจียงโม่หานโยนตำราในมือทิ้ง จากนั้นก็ถกแขนเสื้อแล้วง้างแขนเล็ก ๆ ขึ้นมา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่ชายหนุ่มในชุดราคาแพง
น่าเสียดายที่เขามิใช่เทพเจ้าผู้มีพลังพิเศษ เป็นเพียงบัณฑิตหนุ่มผู้อ่อนแอเท่านั้น ชายหนุ่มในชุดมีราคายังมิทันได้ลงมือทำอันใด บรรดาบ่าวรับใช้ก็เข้ามาทุบตีเจียงโม่หานจนเลือดอาบไปทั้งกายเสียแล้ว จากนั้นเขาก็หงายหลังไปกับพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก
ตอนที่เจียงโม่หานล้มลงกับพื้นไปนั้น ด้านหลังของศีรษะได้กระแทกกับพื้นหินอย่างรุนแรงจึงทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ! เพราะเจียงโม่หานเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ภาคภูมิใจยิ่งกว่าสิ่งใด หากอาจารย์รู้ว่าเจียงโม่หานถูกเขาทุบตี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็อย่าหวังว่าเขาจะได้อยู่ที่สำนักศึกษาอีกต่อไป
ทว่าเรื่องการเรียนหนังสือนั้น เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าเขาถูกสำนักศึกษาไล่ออก บิดาก็คงจำกัดอิสรภาพของเขาไปทั้งชีวิตและเขาก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสเพลอีกต่อไป ! ชายหนุ่มในอาภรณ์ราคาแพงจึงใช้เท้าเตะเจียงโม่หาน “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าแกล้งตายเพื่อหลอกข้าดีกว่า ! เจ้าเป็นคนลงมือก่อนเองนะ ! แต่พอสู้มิได้ก็คิดแกล้งตาย เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นยังไร้ปฏิกิริยาใดตอบกลับมา อีกฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือดทันใด เขาค่อย ๆ คุกเข่าลง หลังจากที่เกิดความลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจยื่นมือไปอังตรงจมูกของเจียงโม่หาน ‘แย่แล้ว เจ้านี่ตายแล้ว ! ’
ชายหนุ่มในอาภรณ์ราคาแพงตกใจจนถึงกับล้มหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงพื้น หลังจากที่ตกตะลึงอยู่พักใหญ่ก็พยายามตะเกียกตะกายลุกจากพื้นแล้วรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซวยแล้ว ! เขาดันพลาดฆ่าคนตายเข้าแล้ว…‘ไม่ใช่สิ ข้าไม่ได้ฆ่าเขาตายเสียหน่อย ต้องโทษเจ้าพวกนั้นต่างหาก เจ้าพวกนั้นซ้อมเขาแรงเอง ! ’
หลินเว่ยเว่ยซื้อขนมให้น้องชายตัวน้อยเสร็จเรียบร้อยจึงไปถามราคาของวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารต่อ ซึ่งตอนนี้ราคาของมันเพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อวาน 1 อีแปะ ถึงกระนั้นนางก็ยังซื้อวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารไปมากถึงสองร้อยกว่าชั่ง โดยแบ่งเป็นเส้นหมี่คุณภาพดี 100 ชั่ง และธัญพืชต่าง ๆ อีกหนึ่งร้อยกว่าชั่ง !
เมื่อเดินออกมาจากร้านขายวัตถุดิบสำหรับทำอาหารแล้ว นางก็บังเอิญพบกับแผงลอยที่ขายแม่ไก่แก่ ๆ ดังนั้นนางจึงซื้อกลับไปที่บ้านด้วยหนึ่งตัวเพื่อต้มซุปไก่ให้มารดาได้ดื่มบำรุงร่างกาย พอคิดได้เช่นนั้นนางจึงไปซื้อตังกุยกับเก๋ากี้ที่ร้านขายยาสมุนไพรเพิ่มเติม
พอเดินออกจากร้านขายยาสมุนไพร นางก็ได้ยินคนกลุ่มหนึ่งสนทนากันว่า “ที่หน้าร้านหนังสือมีคนโดนซ้อมจนตาย พูดกันว่าเป็นบัณฑิตที่เรียนอยู่ในสำนักศึกษาของเขตเรานี่เอง ! ทั้งที่เป็นคนมากความสามารถจนสอบผ่านถงเซิงได้แล้วแท้ ๆ ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน ! ”
ว่าอย่างไรนะ ? บัณฑิตหนุ่มผู้มากความสามารถที่สอบผ่านถงเซิงแล้ว ? บัณฑิตหนุ่มที่ว่าก็มีแต่บุตรของน้าเฝิงมิใช่หรือ ? จริงอยู่ที่นิสัยของเขาน่าโดนซ้อม แต่เขาคงมิได้ไปยั่วยุใครสักคนแล้วถูกอีกฝ่ายพลั้งมือฆ่าตายใช่หรือไม่ ?
หลินเว่ยเว่ยจึงโน้มตัวไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ จากนั้นนางก็แบกเมล็ดพันธุ์ขึ้นหลังพร้อมเดินไปทางร้านหนังสือ เมื่อไปถึงก็พยายามแหวกฝูงชนเข้าไปแล้วได้พบว่าบนพื้นมีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งนอนไม่ได้สติด้วยสภาพเลือดอาบกาย เป็นบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานคนนั้นจริงด้วย ผู้ใดมีจิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องลงมือทำร้ายร่างกายบุรุษหนุ่มหน้าหวานผู้นี้ด้วย !
‘เขาคงไม่ตายจริงใช่หรือไม่ ? ’ ตอนแรกหลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าหากบุรุษผู้มีใบหน้างดงามประดุจสตรีแล้วต้องมาตายก็คงน่าเสียดายแย่ แต่หลังจากนั้นมินานนางก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ควรกังวลมากสุดคือความเสียใจของน้าเฝิงต่างหาก !
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงรีบใช้นิ้วมือแตะไปบนเส้นชีพจรของอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา หลินเว่ยเว่ยจึงลองใช้หลอดไม้ไผ่ที่พกติดกายไว้เสมอป้อนน้ำจากในมิติน้ำพุวิญญาณให้ เขาก็ยังกลืนน้ำลงไปได้ หวังว่ามันจะสามารถช่วยเขาได้
หลงจู๊ร้านหนังสือจึงถามนางว่า “เจ้ารู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้หรือไม่ ? รีบพาเขาไปส่งโรงหมอเถิด มิแน่ว่าอาจยังพอมีหวัง เขาช่างโชคร้ายเหลือเกิน ผู้ใดกันหนอช่างลงมือได้โหดร้ายถึงเพียงนี้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยอุ้มบุรุษหนุ่มหน้าหวานขึ้นมาแล้วก้มมองไปยังน้องชายของตน “เจ้าจงจับชายเสื้อของข้าเอาไว้ อย่าปล่อยมือเป็นอันขาด ! ในเขตนี้มีโจรและมีคนชั่วอยู่มากมาย ถ้าพวกเขาจับเจ้าไปขายก็จะไม่ได้พบหน้าท่านแม่และข้าอีก เข้าใจหรือไม่ ! ”
เจ้าหนูน้อยได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าราวไก่จิกข้าวเปลือก มือเล็กจับชายเสื้อของนางไว้แน่น จากนั้นก็รีบเดินตามพี่สาวไปติด ๆ
บางทีอาจเพราะน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณมีประสิทธิภาพในการรักษาอันยอดเยี่ยม ระหว่างที่กำลังไปโรงหมออยู่นั้น เจียงโม่หานที่อยู่ในอ้อมกอดของนางก็ฟื้นขึ้นมา
เจียงโม่หานค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและสติสัมปชัญญะก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ข้าอยู่ที่ใด ? เหตุใดหลังจากถูกตัดศีรษะแล้วยังรู้สึกเจ็บบริเวณท้ายทอยอยู่อีก ? มิใช่แค่ท้ายทอยเท่านั้นเพราะไม่ว่าศีรษะ ตามใบหน้าและลำตัวล้วนรู้สึกเจ็บระบมไปหมด ! เหตุใดคนตายยังเกิดความรู้สึกเจ็บได้อีก ? หรือว่า…ข้ายังไม่ตาย ?
เป็นไปมิได้ ! ฝ่าบาททรงตัดสินประหารชีวิตข้าแล้ว แม้ว่าการประหารชีวิตในครั้งนี้จะมีเพียงข้าและบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์อีกไม่กี่คนเท่านั้น ทว่าข้าก็รู้จุดจบนี้ดีแก่ใจ
องค์ฮ่องเต้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงดำริของพระองค์ ! และตัวเขาก็เปรียบเสมือนกระบี่ในพระหัตถ์มาโดยตลอด ไม่ว่าปลายกระบี่ชี้ไปที่ใดก็ล้วนต้องมีศีรษะตกสู่พื้นตรงนั้น ! แม้เป็นขุนนางผู้สูงส่งและมากความสามารถ สุดท้ายกลับมีจุดจบไม่ต่างอันใดจากหมูหรือไก่
ในยามที่องค์ฮ่องเต้มีพระบัญชาสั่งประหารชีวิตเขา บรรดาคนของราชวงศ์ชิงต่างปรบมือโห่ร้องด้วยความยินดี และในลานประหารยังเต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมชมอย่างคับคั่ง พวกเขาโห่ร้องว่าในที่สุดฝ่าบาทก็สั่งประหารขุนนางกบฏ มันทำให้พวกเขาดีใจเหลือเกิน แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วคนที่คิดคดทรยศและโหดร้ายที่สุดก็คือองค์ฮ่องเต้ที่พวกเขายกย่องต่างหาก ?
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปตามแรงคมดาบที่บั่นมายังลำคอ มีผู้ใดบ้างที่กล้าเข้ามาช่วยกบฏของแผ่นดินเช่นตน? ทันใดนั้นดวงตาคู่งามของเจียงโม่หานก็เห็นทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากมองบริเวณโดยรอบอย่างชัดเจนแล้วทันใดนั้นเขาก็พบว่าถูกเด็กสาวแปลกหน้ากอดไว้ในอ้อมแขน
จากนั้นเขาก็รีบหันไปมองรอบด้าน ที่นี่คือเขตเริ่นอันซึ่งข้าเคยเรียนหนังสือเมื่อครั้งอดีตไม่ใช่หรือ ? เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? แล้วเด็กสาวตัวสูงใหญ่นี้คือผู้ใด ?
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ! ” เจียงโม่หานเผยน้ำเสียงข่มขู่และวางอำนาจออกไปโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็รับตำแหน่งโฉวฝู่1มานานกว่ายี่สิบปี จะไม่ให้เขามีความน่าเกรงขามได้เช่นไร !
1 โฉวฝู่ หรือ ประธานผู้ช่วยของเน่ย์เก๋อ ( ศาลาใน ) เป็นองค์กรในระบบราชการจีนโดยพฤตินัยเป็นสถาบันสูงสุดในการปกครอง ตำแหน่งนี้มักเป็นข้าราชการชั้นกลาง มีหน้าที่กลั่นกรองเอกสารที่หน่วยงานราชการถวายต่อฮ่องเต้ มีอำนาจร่างราชหัตถเลขา สมาชิกบางคนของเน่ย์เก๋อจึงอาจครอบงำการปกครองไว้ได้ทั้งสิ้นประหนึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี
ตอนต่อไป