ตอนที่ 19 เขียนชื่อเจ้าลงบัญชีแค้น

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 19 เขียนชื่อเจ้าลงบัญชีแค้น

หลินเว่ยเว่ยก้มหน้าลงสบตากับเจียงโม่หาน ในดวงตาคู่งามคล้ายถูกบดบังไว้ด้วยความอ้างว้างและเงียบเหงามานานนับหมื่นปี แววตาที่แสนอ้างว้างของเขา ความเย็นเยือกที่บาดลึกไปถึงกระดูกเช่นเดียวกับน้ำค้างแข็งที่ทับถมมาเนิ่นนานราวกับว่าในใจของเขามีเพียงความหนาวเหน็บเท่านั้น

เพียงชั่วพริบตาเธอก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลายากลำบากที่สุดของชาติที่แล้ว เด็กสาวอายุสิบกว่าปีถูกเลี้ยงดูอยู่ภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ถูกเด็กคนอื่นรังแกเอารัดเอาเปรียบเพียงเพราะเธอสอบได้คะแนนดีกว่าผู้ใด พอเข้าเรียนในโรงเรียนก็ถูกเพื่อนร่วมชั้นหัวเราะเยาะ พูดจาถากถางและหาเรื่องกลั่นแกล้งสารพัดเพียงเพราะรู้ว่าเธอเป็นเด็กกำพร้า

ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลากลางดึกอันเงียบสงัด เธอก็มักขดตัวอยู่ตรงมุมเตียงด้วยความเงียบเหงาราวกับว่าบนโลกใบนี้เหลือเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนว่าเธอเป็นวัชพืชน้ำที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำโดยไร้ที่พึ่งพิง

เพียงแต่ความเยือกเย็นและความอ้างว้างในแววตาของบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ ดูเหมือนผ่านประสบการณ์เลวร้ายมายิ่งกว่าตน หรือว่าเขาถูกกลั่นแกล้งในสำนักศึกษากันนะ ? จะว่าไปแล้วเขาคนนี้ก็มีใบหน้างดงามยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก บางทีบทสรุปที่เลวร้ายกว่านั้นอาจเป็นเพราะเขาถูก…

เจียงโม่หานเข้าใจความคิดของเด็กอ้วนผ่านทางแววตาที่ซับซ้อนของนาง หากแววตาสามารถสังหารคนได้ หลินเว่ยเว่ยคงโดนลูกศรนับหมื่นแทงทะลุหัวใจไปนานแล้ว ! หากเป็นเมื่อชาติที่แล้ว เขาคงมีวิธีสังหารเด็กอ้วนคนนี้สารพัด !

แต่ตอนนี้เขารู้สึกปวดและเวียนศีรษะจนยืนแทบไม่ไหว ! เจียงโม่หานขมวดคิ้วมุ่นแล้วกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้า…ปล่อยข้าลง ! ”

แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่เจียงโม่หานก็มั่นใจแล้วว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใด ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กเมื่อประมาณสามสิบปีที่แล้วได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่เขายังเรียนอยู่ที่ในเขตเริ่นอันและไม่ยอมแต่งบทกลอนให้อู๋ปัวคู่กรณีที่ให้บ่าวมารุมทำร้ายเขา

ในปีนั้นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นครอบครัวจึงต้องขายสมบัติทั้งหมดที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิตเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้

เนื่องจากความขัดแย้งของเขากับอู๋ปัวจึงทำให้ทางครอบครัวของคู่กรณีไม่ยอมรับซื้องานปักผ้าของมารดา เป็นเหตุให้มารดาต้องออกไปยังต่างหมู่บ้านซึ่งต้องเดินเท้าผ่านป่าไปไกลกว่าเดิม ด้วยความเหนื่อยล้าและหิวโหยทำให้มารดาหมดสติอยู่กลางป่า แต่กว่าจะมีคนไปพบเข้ามารดาก็ถูกสัตว์ป่ารุมกัดแทะจนไม่เหลือเค้าหน้าเดิมแล้ว !

ในปีนั้นเขาได้สูญเสียความอ่อนโยนและแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตไป นับแต่นั้นมาเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะได้กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด เขาได้เข่นฆ่าผู้คนมากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ !

“พี่โม่หาน ท่านเจ็บหรือไม่ ? ”

เมื่อได้สติกลับมา เจียงโม่หานก็พบว่าตอนนี้เจ้าเด็กโง่ปล่อยตัวเขาลงแล้ว เพียงแต่ว่าเขายังเวียนศีรษะจนหน้ามืดตาลายอยู่จึงทำให้ยืนได้ไม่มั่นคง นางจึงต้องคอยประคองเขาเอาไว้

พอเขาก้มไปมองก็พบว่าคนที่ถามเมื่อครู่คือเด็กผู้ชายซึ่งมีรูปร่างทั้งผอมและตัวเล็กจ้อย เขาจึงพยายามนึกย้อนความทรงจำที่มีต่อคนในหมู่บ้านนี้ตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนและดูเหมือนว่าในความทรงจำเจ้าเด็กน้อยคนนี้ก็คือบุตรชายคนเล็กของบ้านตระกูลหลินที่อยู่ติดกัน

“พี่รอง เหตุใดพี่โม่หานไม่ยอมพูดสักคำ คงมิได้ล้มหัวฟาดจนกลายเป็นเหมือนพี่รองในอดีตใช่หรือไม่ ? อย่าบอกว่าเขาลืมทุกคนไปหมดแล้ว” เจ้าหนูน้อยเห็นว่าเจียงโม่หานจับจ้องมาที่ตนเป็นเวลานาน อีกทั้งในแววตายังเจือไปด้วยความรู้สึกเหมือนเห็นคนแปลกหน้า เด็กน้อยจึงอดเดินไปแอบด้านหลังพี่รองด้วยความกลัวมิได้ เพราะบางครั้งคนโง่ก็ชอบทุบตีทำร้ายร่างกายผู้อื่น !

‘พี่รองเช่นนั้นหรือ ? ’ เจียงโม่หานเงยหน้ามองเจ้าเด็กโง่ ภาพจำคือบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินที่อยู่ถัดไปเป็นสตรีผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่นางเป็นคนโง่เขลา อีกทั้งยังตกสระน้ำตายไปเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เขาจะถูกบ่าวของอู๋ปัวรุมทำร้าย

“เจ้ายังเวียนศีรษะและอยากอาเจียนหรือไม่ ? ” หลังจากหลินเว่ยเว่ยเห็นว่าบัณฑิตหน้าหวานฟื้นแล้วจึงถามด้วยความเห็นใจ “ให้ข้าไปส่งเจ้าที่โรงหมอหรือไม่ ? ”

“มิต้อง ! ” โรงหมอน่ะหรือ ? ตอนนี้เขาเป็นเพียงบัณฑิตยากจนซึ่งอาศัยงานปักของมารดาประทังชีวิต เขาจะมีเงินไปพบหมอได้เช่นไร เขาเอามือไปสัมผัสที่ด้านหลังศีรษะและมือก็กลายเป็นสีแดงทันที

ไอหยา ! บุรุษหน้าหวานเลือดออกเยอะมาก ไม่รู้ว่าน้ำจากน้ำพุวิญญาณของข้าจะช่วยห้ามเลือดได้หรือไม่ หลินเว่ยเว่ยจึงฉีกชายเสื้อของตนออก จากนั้นก็ใช้น้ำในกระบอกไม้ไผ่ของตนเทใส่จนเปียกชุ่ม “ข้าช่วยล้างแผลให้เจ้าดีกว่า อากาศร้อนเช่นนี้หากไม่ล้างแผลให้สะอาดก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ ! ”

เจียงโม่หานมองเศษชายเสื้อสีหม่นในมือของนาง เขาเริ่มกลัวว่าหากนางช่วยเช็ดแผลให้แล้วจะไม่ยิ่งทำให้แผลติดเชื้อกว่าเดิมหรือ ?

“ไม่ต้องห่วงหรอก แม้เสื้อผ้าของข้าจะเก่าแต่ก็ซักมันอย่างสะอาด หากไม่วางใจก็ใช้เสื้อผ้าของเจ้าแทนได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยเข้าใจสายตาของอีกฝ่ายจึงยื่นมือไปเหมือนทำท่าจะฉีกเสื้อของเขา

เจียงโม่หานจึงรีบยกมือขึ้นห้าม เขามีชุดบัณฑิตแค่สองชุดเท่านั้น หากโดนฉีกแล้วจะให้เอาหน้าไปไว้ที่ใด ? ดังนั้นเขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา

หลินเว่ยเว่ยแย่งผ้าเช็ดหน้ามาแล้วนำน้ำพุวิญญาณในกระบอกไม้ไผ่เทบนผ้า จากนั้นก็จับเขาหันหลังแล้วบรรจงเช็ดแผลตรงท้ายทอยให้อย่างเบามือ

เจ้าเด็กโง่ ! นี่เจ้าโง่งมไปถึงไหน เจ้าไม่รู้ความแตกต่างระหว่างชายหญิงเลยหรือ เหตุใดมาจับศีรษะบุรุษกลางถนนเช่นนี้ ?

เจ้าคิดว่าตนมีรูปร่างสูงใหญ่แล้วจะไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่นก็ได้หรือ ? เจ้าคิดว่าสามารถตัดสินใจแทนผู้อื่นได้หรือไร ? เช่นนั้นเจ้าเคยถามความสมัครใจของผู้อื่นบ้างหรือไม่ ?

‘ข้าเป็นถึงโฉวฝู่ผู้เปี่ยมอำนาจและยิ่งใหญ่ เจ้าบังอาจมาก ! หากเป็นเมื่อชาติที่แล้ว ข้าคงใช้นิ้วดีดเจ้าตายไปแล้ว ! นางเด็กอ้วน เจ้าจำไว้เลย ! ’

ว่าที่โฉวฝู่ในอนาคตจะขอจดจำชื่อของเจ้าเด็กโง่คนนี้ไว้ให้ขึ้นใจ ตอนนี้เขากลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นเขาเป็นเพียงบัณฑิตยากจน ไม่มีเงินและไร้อำนาจใดจึงทำได้เพียงปล่อยให้ผู้อื่นรังแก ความรู้สึกนี้ช่างน่าอัปยศเหลือเกิน !

ขณะที่บัณฑิตหน้าหวานกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหอยู่นั้น หลินเว่ยเว่ยก็เช็ดแผลที่หลังศีรษะของเขาจนสะอาดหมดจด โชคดีที่บาดแผลไม่ลึกมาก เลือดจึงค่อย ๆ หยุดไหล

เขายังมีรอยแผลอยู่ตรงหน้าผาก ใบหน้าที่หวานเสียยิ่งกว่าสตรีบัดนี้มีรอยฟกช้ำน้อยใหญ่ทั่วใบหน้า หลินเว่ยเว่ยจึงอดสงสารมิได้จึงตั้งใจจะช่วยเช็ดคราบเลือดให้เขา

เจียงโม่หานตกตะลึง “…” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มมาเช็ดหน้าของตนอย่างโมโห

“ตรงนี้ยังเช็ดไม่สะอาดเลย” หลินเว่ยเว่ยจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตาเลยสักจุด

เจียงโม่หานปัดมือนางออก จากนั้นก็ถลึงตามองแล้วออกแรงเช็ดบริเวณที่นางเน้นย้ำจนแก้มปรากฏรอยแดงขึ้นมา !

หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก บุรุษหนุ่มหน้าหวานทำหน้าโมโหแล้วเหมือนลูกหมาป่ายิ่งนัก !

เจียงโม่หานรู้ดีถึงพลังอำนาจแห่งการคุกคามที่สะท้อนออกจากแววตาของตน ไม่ว่าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยหรือทหารนายใดก็ตามที่มีความขลาดก็มักตกใจกลัวจนหมดสติไปเป็นแถว แต่เจ้าเด็กโง่ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับมีอารมณ์มาหัวเราะ สรุปแล้วนางเป็นคนกล้าหรือคนบ้ากันแน่ ?

“เจ้าไม่กลัวข้าเลยหรือ ? ” เจียงโม่หานอดถามมิได้

หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ย้อนถามด้วยความประหลาดใจ “แล้วเหตุใดข้าต้องกลัวเจ้าด้วย ? หรือเพราะหน้าตาของเจ้ารูปงามเกินไป ? เจ้าดูสิ เจ้ายังสูงไม่เท่าข้าเลย อีกทั้งไม่มีรูปร่างที่แข็งแกร่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังเหมือนข้าที่แค่ใช้นิ้วสะกิดเจ้าก็เซแล้ว ต้องเป็นเจ้าต่างหากที่กลัวข้าถึงจะถูก”

นางยื่นมือมาดันเขาจริง เจียงโม่หานถูกนางใช้นิ้วดันที่บ่าจนเข่าอ่อนเซไปเล็กน้อย หากไม่ได้หลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามาประคองไว้ได้ทัน ป่านนี้เขาคงล้มหงายหลังไปแล้ว

เจียงโม่หานคิดในใจ ‘เจ้าเด็กโง่ เจ้ารอข้าก่อนเถิด ! ! เจียงโม่หานเขียนชื่อนางลงบัญชีแค้นไว้แล้ว ! ’

“เอาล่ะ ! เลิกโมโหได้แล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังปลอบเด็กน้อยให้เป็นเด็กดี “ดูสภาพเจ้าตอนนี้ด้วย คิดว่ายังกลับไปที่สำนักศึกษาไหวหรือ ? เจ้าอยากให้ข้าไปที่สำนักศึกษาเพื่อช่วยสั่งสอนคนที่ทำร้ายร่างกายเจ้าหรือไม่ ? ”

ข้าเป็นถึงโฉวฝู่ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของคนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น เหตุใดต้องให้เด็กอ้วนเยี่ยงเจ้ามาคอยสั่งสอนด้วย ?

เจียงโม่หานคิดได้เช่นนั้นก็กล่าวอย่างเย็นชา “กลับหมู่บ้าน ! ”

“รับทราบ ! ” หลินเว่ยเว่ยมองเขาด้วยสีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเดินเองไหวหรือไม่ ? ให้ข้าช่วยแบกเจ้าดีหรือไม่ ? ”

“ไม่ ! จำ ! เป็น ! ” เจียงโม่หานกัดฟันพูดทีละคำ

ไม่อยากให้ข้าแบกก็บอกดี ๆ ได้นี่ เหตุใดต้องทำกระฟัดกระเฟียดโมโหด้วย ? เหตุใดบัณฑิตหนุ่มจอมหยิ่งถึงได้กลายเป็นบัณฑิตน้อยเจ้าอารมณ์ไปเสียได้ ? ไม่รู้ว่าข้าไปทำให้เขาโมโหได้เช่นไร น่าปวดหัวเสียจริง !

ตอนต่อไป