ตอนที่ 20 ให้ข้าช่วยแบกเจ้าหรือไม่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 20 ให้ข้าช่วยแบกเจ้าหรือไม่ ?

“น้องสี่ เจ้าอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนพี่โม่หานก่อน ข้าจะไปดูว่าสามารถหาเช่าเกวียนได้หรือไม่” หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าเจียงโม่หานเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ขาอ่อนแล้ว กระนั้นเขาก็ยังกัดฟันทน นางจึงตัดสินใจด้วยตนเอง

ในที่สุดนางเด็กอ้วนก็ทำตัวน่าเชื่อถือเป็นเสียที เจียงโม่หานขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเตือนนาง “เจ้าไปผิดทางแล้ว ! ”

หลินเว่ยเว่ยตอบกลับเสียงแข็ง “ข้ารู้แล้ว ข้าก็แค่อยากไปซื้อของที่ด้านนั้นเสียหน่อย”

เมื่อมาถึงร้านให้เช่าเกวียน นางได้เช่าเกวียนแล้วพยุงบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานขึ้นไป จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งยกตะกร้าไม้ไผ่ซึ่งบรรจุของที่ซื้อน้ำหนักรวมประมาณสองร้อยกว่าชั่งขึ้นมา มืออีกข้างก็อุ้มเด็กน้อยให้ไปนั่งข้างเจียงโม่หาน ส่วนนางก็ไปนั่งข้างคนบังคับเกวียนเพื่อจะได้เรียนรู้วิธีบังคับเกวียนจากอีกฝ่าย

เจ้าหนูน้อยจ้องมองเจียงโม่หานอย่างไม่วางตา จากนั้นจึงเปิดห่อขนมในมือแล้วหยิบขนมก้อนน้ำตาลเข้าปาก ‘หวานจัง ! ’ เด็กน้อยหลับตาพริ้มด้วยความเอร็ดอร่อย

เจียงโม่หานมองบรรดาธัญพืชและเส้นหมี่ในตะกร้า จากนั้นก็ก้มมองขนมก้อนน้ำตาลในมือบุตรชายคนเล็กของตระกูลหลิน บุตรทั้งสี่ของครอบครัวหลินได้พึ่งพานางหวงเพียงผู้เดียว สถานการณ์ทางบ้านของพวกนางแย่เสียยิ่งกว่าบ้านของเขาอีก เหตุใดพวกนางจึงสามารถซื้อของดี ๆ ได้โดยไม่เสียดายเงิน ทั้งยังซื้อขนมให้บุตรได้อีก ?

เมื่อชาติที่แล้ว เจ้าเด็กโง่จมน้ำตายจึงทำให้นางหวงตรอมใจจนล้มป่วย หลินจื่อเหยียนต้องลาออกจากสำนักศึกษา ส่วนน้องเล็กก็ถูกชาวต่างชาติมาซื้อตัวไป ครอบครัวของนางจึงนำเงินที่ขายน้องชายได้มารักษาอาการป่วยให้นางหวง

ทว่าต่อมาที่พึ่งทางใจและแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตของเขาก็จากไป เขาจึงย้ายออกจากหมู่บ้านที่มีแต่ความทรงจำแสนเจ็บปวดแล้วเข้าร่วมกับกองทัพ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงและไม่ได้ข่าวคราวของตระกูลหลินอีกเลย !

ระหว่างนี้เกิดอันใดขึ้น ? เหตุใดเจ้าเด็กโง่ยังไม่ตายทั้งยังหายเป็นปกติ ? ไม่ได้มีสติปัญญาผิดแปลกและดูโง่เขลา

ส่วนเจ้าหนูน้อยได้ทานขนมอย่างเอร็ดอร่อย ที่แท้รสชาติของขนมน้ำตาลก้อนก็เป็นเช่นนี้เอง อร่อยมาก ! พี่รองช่างใจดีเหลือเกินที่ซื้อขนมอร่อยเช่นนี้ให้ข้ากิน !

เมื่อเห็นว่าเจียงโม่หานเอาแต่จับจ้องขนมในมือของตน แม้ว่ารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากแต่เด็กน้อยก็ยังมีใจแบ่งปันโดยแกะขนมอีกห่อนึงแล้วป้อนใส่ปากของเจียงโม่หาน “พี่โม่หาน หากท่านกินน้ำตาล ศีรษะของท่านก็จะไม่เจ็บแล้ว ! นี่คือขนมที่พี่รองซื้อให้ข้ากิน มันหวานมากเลย ! ”

เพราะมัวเหม่อลอยนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ จึงทำให้มิทันได้ระวังตัว สุดท้ายขนมก็ถูกป้อนเข้ามาในปากของเจียงโม่หาน เขาขมวดคิ้วแน่น ในใจอยากพ่นทิ้งออกมา ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อยและสายตาที่คาดหวังว่าเขาจะทานขนมอย่างเอร็ดอร่อยก็ทำให้เขาไม่อยากทำลายความสุขในวัยเด็กของอีกฝ่าย

ขนมก้อนน้ำตาลเป็นลูกอมมีราคาถูกที่สุด มันทั้งหวานทั้งเหนียวและชอบติดตามซอกฟัน ให้ความรู้สึกหนุบหนับน่ารำคาญ แต่ผู้ที่ไม่ชอบทานของหวานเช่นเขากลับรู้สึกว่าก้อนน้ำตาลนี้หอมหวานไปถึงหัวใจ

ในชาตินี้มารดายังไม่จากไป ตัวเขาก็ยังไม่ต้องจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดและความเศร้าโศก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีโอกาสได้เลือกทางเดินใหม่อีกด้วย

“ดื่มน้ำสักหน่อยหรือไม่ ? ” กระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำสะอาดไว้เต็มกระบอกถูกยื่นมาตรงหน้า

เจียงโม่หานจับจ้องไปที่กระบอกไม้ไผ่อยู่นานก่อนจะยื่นมือไปรับแล้วยกดื่มหลายอึก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเวียนศีรษะจนอาเจียนออกมา

ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะค่อย ๆ หายไปและก่อนที่จะไม่รู้สึกตัวนั้นก็ได้เห็นใบหน้าอวบอ้วนที่ดูเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างยิ่ง

หลินเว่ยเว่ยรีบเข้ามาประคองศีรษะของเขาก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ ย้ายมันมานอนทับบนขาของตน

“พี่รอง พี่โม่หาน… ” เด็กน้อยมองไปยังเจียงโม่หานด้วยความกังวล

“ไม่เป็นไรหรอก เขาแค่หมดสติไป” หลินเว่ยเว่ยประคองศีรษะของชายหนุ่มอย่างเบามือเพื่อพยายามลดแรงกระแทกในขณะที่เกวียนกำลังเคลื่อนตัวอยู่

เวลานี้ชายผู้บังคับเกวียนเริ่มเกิดความไม่พอใจเข้าแล้ว “เจ้าหนุ่มผู้นี้คงไม่มาตายบนเกวียนของข้าใช่หรือไม่ ? หากบนเกวียนของข้ามีคนตายขึ้นมา ต่อไปจะมีผู้ใดกล้าเช่าเกวียนของข้าอีก ? พวกเจ้าลงจากเกวียนไปเถิด ข้าไม่คิดเงินหรอก ! ”

“ท่านลุง เขาแค่เวียนศีรษะเพราะเมาเกวียน ใช่ เขาแค่เมาเกวียนเท่านั้น อีกประเดี๋ยวเขาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาไม่ตายแน่นอน ! ” หลินเว่ยเว่ยพยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถ

ทว่าผู้บังคับเกวียนมองไปที่บาดแผลของชายหนุ่ม ทั้งยังมองไปที่ใบหน้าซีดเผือดและรูปร่างผอมบางก็รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้พร้อมตายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงหยุดเกวียนแล้วหยิบเงินอีแปะออกมาพวงหนึ่ง จากนั้นยื่นให้นางพลางกล่าวว่า “ข้าคืนเงินให้เจ้าเพื่อเอาไปรักษาเขา แต่ข้าไม่บังคับเกวียนต่อแล้ว ! ”

เดิมทีหมู่บ้านฉือหลี่โกวทั้งอยู่ไกลและทุรกันดาร เขาก็ไม่อยากบังคับเกวียนอยู่แล้ว เห็นแก่ที่หลินเว่ยเว่ยยอมจ่ายหนักถึง 100 อีแปะ เขาจึงยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ผู้ใดจะรู้ว่ากลายเป็นความโชคร้ายถึงเพียงนี้เพราะเขาต้องมาบังคับเกวียนเพื่อพาคนใกล้ตายไปส่ง หากเจ้าหนุ่มผู้นี้ตายจริงแล้ว ชาวบ้านคงไม่กล้ามาเช่าเกวียนของเขาอีกแน่ !

หลินเว่ยเว่ยพยายามโน้มน้าวอยู่นาน แต่คนบังคับเกวียนก็ยังยืนกรานคำเดิม สุดท้ายนางจึงยอมประนีประนอมด้วย “ท่านลุง เช่นนั้นท่านช่วยข้าลากเกวียนพาน้องชายและตะกร้าใบนั้นไปได้หรือไม่ ข้าจะจ่ายให้ท่านเท่าเดิมโดยไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียว ท่านคิดว่าอย่างไร ? ”

คนบังคับเกวียนเพียงแสดงท่าทีให้เห็นว่าขอแค่ไม่ต้องให้เขาลากคนเจ็บ เรื่องอื่นก็สามารถเจรจากันได้ ด้วยความจนปัญญานี้ หลินเว่ยเว่ยจึงต้องแบกเจียงโม่หานขึ้นหลัง

นางต้องแบกเขากลับหมู่บ้านฉือหลี่โกว สำหรับนางแล้ว น้ำหนักเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสักนิด ดังนั้นความเร็วในการเดินของนางทั้งที่มีคนเจ็บอยู่บนหลังมิด้อยไปกว่าเกวียนของท่านลุงเลย ทำให้คนบังคับเกวียนตกใจอยู่ไม่น้อย ทั้งยังคอยชำเลืองมองมาที่นางอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อเกวียนมาหยุดที่หน้าประตูบ้านตระกูลหลิน เจ้าหนูน้อยก็รีบกระโดดลงจากเกวียนแล้วไปเคาะประตูบ้านของนางเฝิงทันที คนบังคับเกวียนต้องการย้ายตะกร้าไม้ไผ่ลงให้พวกเขา ทว่าต่อให้พยายามเพียงใดมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย เขาจำได้ว่าเด็กอ้วนถือมันได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น !

ทันทีที่นางเฝิงเดินออกจากในบ้านก็ชะงักไปครู่หนึ่งค่อยจำได้ว่าเด็กหนุ่มที่บุตรสาวคนรองของนางหวงแบกไว้บนหลังคือบุตรชายของตน เกิดเรื่องใดขึ้น ? วันนี้ตอนเช้าเขากลับเข้าเมืองแล้วมิใช่หรือ ? เหตุใดใบหน้าของเขาจึงบวมช้ำแล้วถูกแบกกลับมาเช่นนี้ อีกทั้งตรงศีรษะยังมีบาดแผลฉกรรจ์มากด้วย

“เกิดอันใดขึ้น ? ” นางเฝิงเริ่มตื่นตระหนกและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร

หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นจึงพูดปลอบใจว่า “น้าเฝิงอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย ลูกของท่านแค่หมดสติไปเท่านั้น ตอนนี้บาดแผลตรงหลังศีรษะของเขาเป็นอันตรายมาก ท่านต้องรีบไปเชิญหมอเหลียงมา ประเดี๋ยวข้าจะช่วยแบกเขาเข้าไปเอง ! ”

บังเอิญกับที่ในยามนี้เจียงโม่หานได้ยินเสียงมารดาจึงทำให้เขาค่อย ๆ ได้สติคืนมา

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก็ได้เห็นใบหน้าที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำมานานแสนนาน ใบหน้าที่งดงามหมดจด สีหน้าโอบอ้อมอารีและรูปร่างผอมบาง นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอที่เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ท่ามกลางความยากลำบากและสถานการณ์บ้านเมืองที่เต็มไปด้วยสงคราม ยิ่งไปกว่านั้นนางยังคอยเน้นย้ำให้เขาเรียนหนังสือเพื่อสอบเป็นขุนนางสร้างชื่อเสียงให้แก่ตน

เจียงโม่หานมองไปยังมารดาผู้ที่เลี้ยงเขามาเป็นเวลานานสิบกว่าปี เขาไม่กล้าแม้แต่กะพริบตาเพราะกลัวว่ามารดาจะหายไป !

ความทรงจำในวัยเด็กมันเลือนลางไปนานแล้ว ในตอนนั้นเขามักต้องหลีกหนีเด็กคนอื่นเพราะโดนกลั่นแกล้ง ดูหมิ่นและถูกขับไล่อยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีเด็กมาด่าทอเขาด้วยถ้อยคำหยาบคายเช่น ‘ไอ้บุตรกำพร้าพ่อ’ “ไอ้เด็กไม่มีพ่อดูแล’ หรือ ‘เจ้าขอทาน’ มารดาก็มักใช้ร่างกายที่อ่อนแอแบกรับการทารุณทั้งหมดเพื่อเขาและกลายเป็นความอบอุ่นเดียวในหัวใจของเขา

ช่างดีเหลือเกิน ! แสงสว่างเดียวภายในใจของเขายังมิดับไปและความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวนี้ยังคงอยู่

“เจ้าลูกคนนี้ จำแม่ไม่ได้แล้วหรือ ? เหตุใดไม่ยอมพูดสักคำ ? เจ้ายิ้มหรือ…ทั้งที่บาดเจ็บถึงเพียงนี้แต่เจ้าก็ยังยิ้มออกมา ลูกของแม่คงมิได้ล้มจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วใช่หรือไม่ ? ” นางเฝิงเริ่มร้อนใจจนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

หลินเว่ยเว่ยจึงรีบปลอบทันที “อาจเพราะเขายังได้สติกลับมาไม่เต็มที่ น้าเฝิง ท่านรีบไปเชิญหมอมาตรวจอาการเขาเถิด ! ”

เจียงโม่หานจับจ้องไปที่นางเฝิงจนกระทั่งนางหายลับไปจากสายตาของตน

“ปล่อยข้าได้แล้ว ! ” เขาผงะไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เพิ่งกลับมาเกิดใหม่จึงเป็นเรื่องยากที่ในชั่วขณะหนึ่งจะสามารถปกปิดน้ำเสียงเย่อหยิ่งในฐานะโฉวฝู่ผู้มีอำนาจได้ หลังจากนี้เขาต้องระวังให้มากขึ้นเพื่อป้องกันมิให้เผยพิรุธต่อหน้าผู้อื่น

ตอนต่อไป