บทที่69 เทียนซิง อย่ากะพริบตา
เสียงนุ่มทุ้มกำลังทำให้เด็กสาวสั่น
มู่เทียนซิงสูดจมูก ถือโทรศัพท์ไปข้างหน้าต่าง มองดูบริเวณไม่ไกลจากรั้วบ้าน มีเพียงไฟถนนสีเหลืองนวลเสาหนึ่ง ไม่มีอะไรอีก
เธอเช็ดน้ำตาอย่างผิดหวัง
เธอรู้ ว่าคุณอาของเธอไม่เหมือนกับตัวละครในนิยายรัก ที่พระเอกจะโผล่มาในตอนที่นางเอกกำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวดแล้วก็หมดหวัง ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเท่ๆ
ไม่มีทาง!
แต่
“เทียนซิง อย่ากะพริบตานะ!”
มีเสียงของเขาดังออกมาจากโทรศัพท์ มันอ่อนโยนเหมือนกับความฝัน
เธอลืมตากว้างแล้วก็มองจ้องอยู่ตรงนั้น สายลมในตอนกลางคืนพัดผ่าน เป่าให้น้ำตาที่อยู่บนแก้มเธอแห้งไป
แต่สิ่งที่เห็น จู่ๆเสาไฟต้นสูงที่ยืนอยู่ต้นนั้น ราวกับมีปีกสดใสกางออกมาต่อหน้าต่อตาเธอ อยู่ๆก็มีจอโฆษณาใหญ่ยักษ์เปิดขึ้น หันมาทางด้านหน้าต่างห้องเธอ!
บนจอโฆษณามีแสงสว่างจ้า มีตัวอักษรเขียนอยู่ชัดเจน
“ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับนายหลิงเล่และคุณหนูมู่เทียนซิง สุขสันต์วันหมั้น”
ตัวอักษรที่ตาเธอมองเห็น ก็คือสิ่งที่เขาพูดเสียงนุ่มให้เธอฟังผ่านโทรศัพท์ และตัวอักษรบรรทัดนี้ก็ถูกเขียนอยู่ใต้รูปภาพระดับHD และคนในรูปก็คือเธอกับหลิงเล่!
รูปที่เธอซบอยู่กับอกของหลิงเล่ หลุบตาลงต่ำอย่างเขินๆ และเขาก็กำลังโอบเธอและจูบลงบนหน้าผากเธอ
ผู้ชายดูสุขุมแต่ก็ดูมีราศีมีตระกูล ผู้หญิงก็ดูมีชีวิตชีวาและอ่อนโยน รูปนี้ทำไมถึงดูแล้วดูหวานแหววอบอุ่น
ที่แปลกไปกว่านั้น!
ในรูปคือขาของหลิ่งเล่กำลังยืนอยู่!
ศีรษะของมู่เทียนซิงอยู่ที่ตำแหน่งหน้าอกของเขา หมายถึงหัวใจของเขา!
เธอเอามือปิดปากไว้ น้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา “ฮึกๆ~ คุณทำได้ยังไง?”
หลิงเล่อธิบายผ่านโทรศัพท์ “เมื่อวานตอนที่กินข้าวเที่ยงกับตระกูลหนีเสร็จ เธอเมาแล้วซบอยู่บนอกฉัน ฉันก็ถ่ายมาไม่มีกี่รูป เสร็จแล้วก็ส่งให้ลูกน้องจัดการโฟโต้ช็อปนิดหน่อย แล้วก็ปริ้นท์ออกมา ตอนแรกตั้งใจว่ารอพรุ่งนี้เธอตื่นขึ้นมาตอนเช้า พอเปิดหน้าต่างก็จะเห็นมัน แต่ว่าเมื่อกี้เธอร้องไห้หนักมาก ฉันไม่รู้ว่าจะปลอบเธอยังไงดี”
ดังนั้น เซอร์ไพรซ์ชิ้นนี้ก็เลยโดนเปิดล่วงหน้า
มู่เทียนซิงเช็ดน้ำตา เธอไม่สะอื้นอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าความรู้สึกกลับซับซ้อนไปหมด “พ่อฉันบอกว่า ต้องการให้ฉันกับเสี่ยวหลงหมั้นกันเดือนหน้า”
“เธอคงบอกว่าไม่!”
“ฉัน คุณรู้ได้ไงว่าฉันไม่ยอม?”
“ถ้าเกิดเธอยอม เธอคงไม่เสียใจจนร้องไห้หนักขนาดนี้ ถ้าเกิดเธอยอม เธอก็ไม่เหมาะสมให้ฉันเชื่อใจ ถ้าเกิดเธอยอม เธอก็คงไม่ใช่มู่เทียนซิง”
เขาพูดเรื่องพวกนี้ด้วยเพียงแค่ลมหายใจเดียว หัวข้อสนทนาเปลี่ยนอีกครั้ง “อย่าคิดมาก รีบๆพักผ่อน ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกแล้วหรอ? แค่เธอให้แสงเล็กๆแก่ฉัน อย่างนั้นโลกที่เหลือก็ปล่อยให้ฉันจัดการเถอะ ฉันจะทำให้มันสว่างขึ้นมาเอง!”
“คุณมีวิธีอะไรงั้นหรอ?” มู่เทียนซิงมองป้ายโฆษณาด้านนอก ยิ่งดูใจก็ยิ่งปั่นป่วน “คุณทำแบบนี้ พ่อของฉันต้องโกรธมากกว่าเดิมแน่ๆ”
เกี่ยวกับเรื่องที่จะรับมือกับพ่อตาในอนาคตยังไง หลิงเล่ก็พอจะมีไอเดีย “เด็กดี นอนได้แล้ว วันนี้อยู่บนรถทั้งวัน เธอไม่เหนื่อยหรือไง?”
“เหนื่อยค่ะ แต่ว่านอนไม่หลับ” มู่เทียนซิงคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจถามเขา “คุณอาคะ พ่อของฉันบอกว่าคุณอาเป็นคนซับซ้อน ต่อให้คุณอาเป็นคนที่ปกติแข็งแรงมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน เขาก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องของเรา คุณ..พื้นหลังของคุณทำอะไรกันแน่คะ? ทำไมคุณถึงมีเงินเยอะขนาดนี้?”
“หึๆ ฉันก็แค่พ่อค้าคนธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ซับซ้อนอะไร”
คุณอา คุณอาคงไม่ได้ทำพวกเรื่องที่มันผิดกฎหมายอะไรพวกนั้นหรอกใช่ไหม? พวกลักลอบนำเข้า ค้าอาวุธอะไรพวกนี้?”
“ตกลงในสมองของเธอมีอะไรอยู่ด้านใน?” หลิงเล่หัวเราะ “เธอสบายใจเถอะ ฉันเป็นพ่อค้าที่มีจรรยาบรรณ เรื่องทำอะไร เอาไว้ค่อยบอกเธอวันหลัง ฉันมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ เธอรีบนอน เดี๋ยวฉันค่อยไปหาเธอในฝัน”
“แต่ว่า ป้ายโฆษณานี่มันใหญ่ไปหน่อย แถมยังสูงขนาดนี้อีก ก็แค่กลัวว่าคนละแวกนี้เขาจะรู้กันหมดแล้ว อย่างนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้งคะ?”
“เทียนซิงตอนนี้เธอไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เป็นเด็กดีอยู่ในบ้านกินอาหารอร่อยๆ ดื่มเครื่องดื่มดีๆ เรื่องที่เหลือฉันจัดการเอง ถ้าเป็นเรื่องของเธอฉันต้องเป็นคนชนะ!”
แก้มเธอแดงปลั่ง อยู่ๆก็เชื่อคำพูดของเขา
ต่างคนต่างบอกฝันดี เธอยืนอยู่ข้างๆหน้าต่างอยู่นาน สุดท้ายก็ทำใจปิดม่านไม่ได้ เลยนอนอยู่บนเตียงทั้งแบบนี้ มองหน้าหลิงเล่ในรูปแล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลง
ชั้นล่าง
คนที่เห็นรูปภาพบนป้ายโฆษณาเป็นคนแรกก็คือผู้ดูแลของบ้านตระกูลมู่
เขาตกใจจนยืนอึ้ง แล้วรีบหมุนตัวเอาข่าวไปบอกเจี่ยงซิน เจี่ยงซินออกมาดู ก็รีบไปเรียกมู่อี้เจ๋อออกมา สุดท้ายเสี่ยวหลงก็ตามออกมาด้วย
เมิ่งเสี่ยวหลงขมวดคิ้ว “โดนถอนหมั้นไปแล้ว ยังจะเอาของแบบนี้มาขึ้นจออีก ไม่เข้าใจจริงๆว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน! เป็นผู้ชายแท้ๆ ควรจะรู้จักเลือกให้ได้ปล่อยวางให้เป็น กัดไม่ปล่อยแบบนี้ หมายความว่ายังไง?”
เจี่ยงซินมองมู่อี้เจ๋อ “ฉันจะขึ้นไปบอกเทียนซิงดีไหม ลองถามเทียนซิงดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ต้องครับ!” เมิ่งเสี่ยวหลงขัดจังหวะพูดของเจี่ยงซิน “ น้าซิน เทียนซิงหลับไปแล้ว บอกเธอเรื่องนี้ก็เหมือนเอาเรื่องไปวุ่นวายไปโยนใส่เธอ ผมว่าไม่บอกจะดีกว่า ผมลองคิดวิธีเอารูปพวกนี้ลงไปดีกว่า!”
เจี่ยงซินถอนหายใจ พยักหน้า “ก็จริง เทียนซิงกับซือซ่าวไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เรื่องแบบนี้อย่าให้เทียนซิงรู้จะดีกว่า”
คิดถึงเรื่องประสบการณ์ที่ลูกสาวเจอเมื่อไม่กี่วันมานี้ เจี่ยงซินก็ปวดใจ อยู่ๆก็โดนซือซ่าวพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ แถมยังไม่รู้อีกว่าในใจรู้สาวรู้สึกกลัวมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ถอนหมั้นได้ ก็ควรจะรีบพาลูกสาวออกมาจากเงาของซือซ่าวจะเป็นอันดีที่สุด แล้วก็ไม่ต้องไปมีสัมพันธ์อะไรกับเขาอีก
เห็นตัวอักษรบนจอ มู่อี้เจ๋อก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าโมโห “ผมไปดูที่ตึกหน่อย ให้เขาจัดการเอาของพวกนี้ออกไปซะ!”
เจี่ยงซินพยักหน้ารัวๆ “คุณรีบไปเถอะ ! นี่ก็เพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน น่าจะมีคนเห็นแค่ไม่กี่คน ถ้าเกิดยังช้าต่อไปละก็ ชื่อเสียงของเทียนซิงของเราจะเสียหายเอาได้!”
“เข้าใจแล้ว ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
“คุณลุงมู่ครับ!ผมไปด้วยครับ!”
มู่อี้เจ๋อกำลังจากลานบ้าน เมิ่งเสี่ยวหลงก็รีบวิ่งตามไป
กลางดึกกลางดื่น ชายสองคนท่าทางรีบร้อนมุ่งตรงไปยังอาคารใหญ่
ทั้งๆที่เลยเวลางานของพนักงานแล้วแท้ๆ มีแค่รปภ.เฝ้าตึกแค่คนเดียว พอมู่อี้เจ๋อเข้าไป สายตาก็รีบกวาดมองไปทั่วตึกมืดแห่งนี้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “ถนนในชุมชนนี้ไม่เคยมีการเปิดจอขึ้นป้ายโฆษณา ทำไมอยู่ๆถึงมีขึ้นมา? แผงควบคุมอยู่ตรงไหน? พวกคุณรู้หรือเปล่า?”
ตอนนี้คือตอนดึกสงัด ไฟก็ถูกปิดหมดแล้ว มองไม่เห็นใครทั้งนั้น
รปภ.ส่ายหน้า “ผมไม่แน่ใจ ผมแค่ดูแลประตูหน้าอย่างเดียว”
มู่อี้เจ๋อถอนหายใจ เขาหงุดหงิด แต่ก็ไม่ยอมที่จากกลับไปทั้งแบบนี้ คิดแต่ว่าจะทำยังไงดี
อยู่ๆเมิ่งเสี่ยวหลงก็พูดขึ้น “คุณลุงมู่ ที่บ้านมีบันไดไหมครับ? ปีนขึ้นไปตัดสายส่งก็ได้แล้ว ไม่ก็หาผ้าปูที่นอนผืนใหญ่ๆมาสักสองผืน แล้วก็เอาคลุมจอเอาไว้ อย่างอื่น รอให้พรุ่งนี้อาคารเปิดทำงานค่อยว่ากัน!”