ตอนที่ 58 ค่าต้นฉบับของฉู่ขวง

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 58 ค่าต้นฉบับของฉู่ขวง

ใช่แล้วล่ะ โหยวหรงไม่กล้าเสนอราคา!

เขาเป็นหัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารอ่านสนุกมานับสิบปี อ่านนิยายสั้นชั้นเยี่ยมมานับไม่ถ้วน เบื้องหน้านี้นับเป็นหนึ่งในผลงานที่เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตการทำงานสิบปีของเขาเลย แน่นอนว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัวของโหยวหรง ถึงอย่างไรมุมมองของคนต่อผลงานศิลปะก็แตกต่างกัน

ทว่าโหยวหรงเชื่อว่าใครได้อ่าน ‘ของขวัญแห่งเมไจ’ ก็ยากที่จะให้คำวิจารณ์ เพราะเรื่องนี้ซาบซึ้งกินใจเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนจบของเรื่องนี้เหนือความคาดหมายของผู้คน ความรู้สึกหลังอ่านจบยังคงซาบซ่านอยู่ในใจ

แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไร้ข้อกังขาก็คือ

เขาต้องการนิยายเรื่องนี้!

โหยวหรงสูดหายใจเข้าลึก โทรศัพท์หาฉู่ขวง และบอกกล่าวความคิดของตนเองไปตามตรง “เป็นเกียรติของผมมากที่ได้เป็นผู้อ่านนิยายสั้นเรื่องนี้เป็นกลุ่มแรก ผมยินดีเป็นตัวแทนของบริษัทเสนอราคาซื้อนิยายสั้นเรื่องนี้ในราคาสองแสนหยวน ไม่ได้หมายความว่านิยายเรื่องนี้ราคาสองแสนหยวนนะครับ แต่โดยทั่วไปแล้วค่าต้นฉบับวงการนิตยสารของพวกเรามีลิมิต…”

“สองแสนเหรอครับ”

หลินเยวียนครุ่นคิดแล้วก็ตอบตกลง อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เพียงแค่มอบช่องทางในการเผยแพร่เรื่องของขวัญแห่งเมไจ ตนก็ไม่ได้ต้องขายลิขสิทธิ์นิยายทำนองนั้น เขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย

“อะไรสองแสนเหรอ”

ในตอนนั้นหลินเยวียนกำลังช็อปปิงเป็นเพื่อนพี่สาวกับน้องสาว พี่สาวได้ยินหลินเยวียนคุยโทรศัพท์ ก็หูผึ่งขึ้นมาทันที แต่ว่าหลินเยวียนก็ไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนของตนเอง เพียงแค่ตอบไปลวกๆ “พวกเงินเดือนน่ะ”

“เหยาเหยา ไปเร็ว!”

หลินเซวียนได้ยินคำพูดนี้ ก็ลากน้องสาวเดินกลับไป “เสื้อตัวเมื่อกี้สวยมาก ถึงราคาจะสามพันกว่าหยวน แต่ใครใช้ให้เธอมีพี่ชายรวยขนาดนี้กันล่ะ”

“ไม่เอาอะ”

หลินเหยาตัดใจซื้อไม่ลง

ถึงแม้หลินเยวียนจะดูเหมือนมีเงินขึ้นมา แต่การประหยัดเงินก็เป็นนิสัยซึ่งฝังอยู่ในกระดูกของเด็กเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นหลินเยวียน หลินเซวียน หรือหลินเหยาก็ไม่มีทางถึงกับใช้เงินมือเติบเพียงเพราะอยู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมาหรอก

หลินเยวียนพูด “งั้นพวกเรากลับเถอะ”

หลินเซวียนแค่นเสียงหึ “พี่ชายขี้งก”

หลินเยวียนส่งรอยยิ้มตระหนี่ไปตามน้ำ เขาไม่มีทางยอมรับว่าก่อนหน้านี้เสื้อกันหนาวสองตัวที่ตนซื้อให้หลินเหยานั้นไม่มีตัวไหนที่ราคาต่ำกว่าสามพันหยวนเลย ไม่อย่างนั้นน้องสาวสวมแล้วจะรู้สึกเป็นภาระ

เมื่อกลับถึงบ้าน

หลินเซวียนก็เริ่มรับโทรศัพท์หลายสาย น่าจะเป็นงานที่ต้องจัดการซึ่งสะสมระหว่างช่วงวันหยุด หลังจากรับ

โทรศัพท์หลายสายต่อเนื่องกัน หลินเซวียนก็นอนแผ่บนโซฟาด้วยความหดหู่ บ่นว่า “รุ่นพี่ในบริษัทบอกว่าตรุษจีนทุกปีพวกนักเขียนจะชอบยืดเวลาส่งต้นฉบับ วันนี้ฉันได้เจอเองกับตัวแล้ว เดือนหน้าคงจะมีนักเขียนสักครึ่งหนึ่งที่เปิดหน้าต่างสวรรค์ บรรณาธิการบริหารแทบจะมาฆ่าฉันอยู่แล้ว”

“เปิดหน้าต่างสวรรค์คืออะไรเหรอ”

หลินเหยาน้องสาวสงสัยเรื่องนี้มาก

หลินเซียนอธิบายว่า “เปิดหน้าต่างสวรรค์ก่อนหน้านี้เป็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ หมายถึงหน้านิตยสารที่เดิมทีถูกจัดคิวมาแล้ว แต่นักเขียนกลับส่งต้นฉบับมาไม่ทันจนคอลัมน์นั้นอยู่ในสภาพว่างเปล่า เหมือนกับการเปิดหน้าต่างสวรรค์ไว้โล่งๆ ในวงการนิยายของพวกเรา เปิดหน้าต่างสวรรค์ก็คือการเลื่อนส่งต้นฉบับนั่นแหละ”

หลินเหยาถาม “งั้นเลื่อนส่งต้นฉบับแล้วทำยังไงล่ะคะ”

หลินเซวียนถอนหายใจ “โดยทั่วไปสำหรับนักเขียนแล้วก็จะมีเส้นตาย อย่างแรกคือตอนที่นัดกับบ.ก.ว่าจะส่งต้นฉบับ แล้วส่งต้นฉบับในเวลาก็ยังจะสามารถทวนต้นฉบับได้อย่างสบายใจ และอย่างหลังก็คือถ้าเขียนไม่เสร็จก็จะส่งผลต่อเวลาเผยแพร่ นั่นหมายรวมไปถึงการตีพิมพ์ต่างๆ และจำเป็นต้องทำต้นฉบับให้เสร็จในเวลาถึงจะได้ เรียกได้ว่าเส้นตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับนักเขียน แต่สำหรับนักเขียนที่มีทั้งพรสวรรค์แล้วก็ชื่อเสียง เปิดหน้าต่างสวรรค์หรือเหยียบบนเส้นตายก็กลายเป็นฉลากประจำตัวของเขาไปแล้ว”

หลินเหยาถามอย่างเป็นห่วง “จะหักเงินมั้ย”

หลินเหยาส่ายศีรษะ “นักเขียนตัวเล็กๆ ไม่กล้าเลื่อนส่งต้นฉบับหรอก พวกเรามีระบุในสัญญา ถ้าเขียนต้นฉบับออกมาไม่ได้ก็จะหักเงิน ถ้าเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงถึงแม้จะมีสัญญา แต่ในความจริงแล้วเราไม่กล้าหักค่าต้นฉบับเพราะพวกเขาเลื่อนส่งต้นฉบับหรอก อย่างเช่นโจรเฒ่าลมบูรพา คนคนนี้เป็นนักเขียนเบอร์ใหญ่ที่สุดที่สำนักพิมพ์เราร่วมงานด้วย เขามักจะเลื่อนส่งต้นฉบับหลายเดือนกว่าจะส่งสักครั้งหนึ่ง แต่พวกเราไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก ทำได้แค่เร่งไปตามเดิม”

“อย่างงั้นเหรอ”

แม้ว่าจะเป็นบทสนทนาระหว่างพี่สาวกับน้องสาว แต่ว่าหลินเยวียนกลับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ด้านข้าง ถึงแม้เขาจะเผยแพร่นิยายในฐานะฉู่ขวง แต่แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เข้าใจระบบนิเวศของวงการแบบนี้เลย

เพราะฉะนั้นฟังแล้วก็สนุกดีอยู่เหมือนกัน

อย่างเช่นที่พี่บอกว่า นักเขียนกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เคยผ่านประสบการณ์การเลื่อนส่งต้นฉบับมาทั้งนั้น ดูท่าการตีพิมพ์หนังสือก็เหมือนกับนิยายออนไลน์ของโลกเดิม มักจะทำให้คนอ่านหัวเสียกับปัญหาที่นักเขียนไม่ขยันอัปเดต

“และมีข่าวดีอยู่เรื่องหนึ่ง”

จู่ๆ หลินเซวียนก็พูดด้วยความตื่นเต้น “ก่อนตรุษจีนพี่ไปเยี่ยมอาจารย์ท่านหนึ่งที่เพิ่งหมดสัญญากับสำนักพิมพ์อื่น เชิญเธอมาเขียนหนังสือที่สำนักพิมพ์ของพวกเรา ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ตกลง ตอนนี้เป็นนักเขียนเบอร์ใหญ่ที่สุดที่พี่ดูแลอยู่ ผลงานใหม่ที่เธอเขียนพี่ก็อ่านแล้ว รู้สึกว่าสุดยอดมาก น่าจะวางขายอย่างเป็นทางการหลังช่วงตรุษจีน!”

“บ.ก.ได้ส่วนแบ่งหรือเปล่า”

หลินเยวียนถามคำถามที่ตนใส่ใจ

พี่สาวส่ายหน้า “จะเรียกว่าส่วนแบ่งคงไม่ได้ แต่ความหมายก็ใกล้เคียงกัน ที่สำคัญคือเป็นเกณฑ์การวัดผลงานของบ.ก.อย่างหนึ่งละ ถ้าไม่มีนักเขียนเก่งๆ อยู่ในความดูแล ผลงานก็อาจจะแย่มากจนสุดท้ายแล้วส่งผลต่อการจ่ายเงินเดือนกับโบนัส เพราะงั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับส่วนแบ่งหรอก ไม่อย่างนั้นพี่จะต้องลำบากลำบนออกไปเชิญนักเขียนมาทำไมล่ะ”

“แล้วฉู่ขวงล่ะ”

เหยาเหยาน้องสาวถามข้อสงสัยขึ้นในฉับพลัน “พี่ไม่ได้บอกเหรอว่าตัวเองรู้จักกับฉู่ขวง งั้นพอเขาเขียนนิยายที่มีอยู่จบ พี่จะไปดึงเขามาอยู่ในมือตัวเองแล้วให้เขาเขียนหนังสือเรื่องใหม่ได้มั้ย”

“…”

หลินเซวียนหลุดหัวเราะ “เธอยังสนใจฉู่ขวงอยู่อีกเหรอ…ฉู่ขวงเซ็นสัญญากับบริษัทที่ชื่อว่าคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ที่นั่นเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในฉินโจว ถ้าเทียบกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้ว บริษัทของพี่เทียบไม่ติดเลย เพราะงั้นจะไปเชิญฉู่ขวงมาไม่ได้หรอก คลังหนังสือซิลเวอร์บลูคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ร่วมงานกับฉู่ขวงต่อ”

“งั้นเขาก็ดังมากเลยล่ะสิ”

หลินเหยาเหลือบมองหลินเยวียน

หลินเซวียนพยักหน้า “ในฐานะที่เป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีเยาวชนหน้าใหม่ ฉู่ขวงเรียกได้ว่ากลายเป็นเทพด้วยนิยายเล่มเดียว ยอดขายเดือนที่แล้วของปรินซ์ออฟเทนนิสรวมแล้วหนึ่งล้านสี่แสนเล่ม จัดอยู่ในอันดับที่สิบสองของผลงานแนวแฟนตาซีเยาวชน…”

“อันดับสิบสองเองเหรอ?”

“อะไรคืออันดับที่สิบสองเอง ขายได้หนึ่งล้านสี่แสนเล่มท่ามกลางการแข่งขันในตลาดขนาดยักษ์ใหญ่ หมายความว่าค่าส่วนแบ่งต้นฉบับของฉู่ขวงในเดือนที่แล้วคือหนึ่งล้านกว่าหยวน นี่พี่แค่สมมุติว่าเขาเซ็นสัญญาแบบนักเขียนหน้าใหม่นะ แน่นอนว่าถ้าคิดตามเงื่อนไขนี้ หลังจากตรุษจีนไป ส่วนแบ่งในสัญญาของเขาน่าจะสูงกว่านี้แล้ว”

หลินเยวียนตะลึงงัน

พี่สาวถึงขั้นรู้ค่าต้นฉบับโดยประมาณในเดือนที่แล้วของเขา!

แต่จะว่าไปแล้ว ยอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสท้ายที่สุดก็ทะลุหนึ่งล้าน ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากนักเทนนิสมืออาชีพ ถึงหลินเยวียนจะไม่ได้สนใจสถานการณ์เท่าไหร่ ก็ยังรู้ว่ามีนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพที่ยอมรับความเฉพาะทางและคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ จนทำให้กระแสของหนังสือเล่มนี้เพิ่มขึ้นไปด้วย

ต่อจากนั้น

หลินเยวียนก็พลันจับจุดสำคัญในคำพูดของพี่สาวได้ จึงถามขึ้น “ทำไมพี่ถึงบอกว่าส่วนแบ่งของฉู่ขวงจะเพิ่มขึ้น

ล่ะ”

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วไง”

หลินเซวียนตอบฉะฉาน “ส่วนแบ่งนักเขียนหน้าใหม่ของปรินซ์ออฟเทนนิสอยู่บนพื้นฐานที่ว่าไม่มีใครคาดคิดว่า

หนังสือเล่มนี้จะดัง แต่ตอนนี้พอหนังสือเล่มนี้ดังแล้ว โดยทั่วไปสำนักพิมพ์จะพิจารณาเพิ่มส่วนแบ่งให้ฉู่ขวง ไม่งั้นหนังสือเรื่องต่อไปพวกเขาก็อาจรั้งฉู่ขวงให้อยู่ต่อไม่ได้”

“มีเหตุผล”

หลินเยวียนแสดงความเห็นด้วยอย่างจริงจัง

หลินเซวียนพูดอย่างขบขัน “เธอไม่รู้เรื่องการเขียนหนังสือ เล่าให้เธอฟังไปแล้วได้อะไร เธอทำงานอยู่ในสตาร์ไลท์ ไม่สู้เล่าเรื่องซุบซิบของดาราในบริษัทพวกเธอให้พี่ฟังจะดีกว่านะ…”

…………………………………………….