ตอนที่ 59 ชีวิตใหม่
วันรุ่งขึ้น แปดโมงตรง
หลินเยวียนยังไม่ทันได้กินข้าวเช้าก็ออกจากบ้าน
จุดประสงค์ที่เขาออกไปข้างนอกในครั้งนี้ก็คือ ซื้อบ้าน
ในบัญชีธนาคารของหลินเยวียนมีเงินที่มาจากค่าต้นฉบับในเดือนที่แล้วของนิยายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส หลังจากหักภาษีแล้วเข้ากระเป๋าเขาจริงๆ ทั้งหมดหนึ่งล้านสองแสนหยวน
เมื่อรวมกับส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดเพลง ก็แตะถึงสองล้านหยวน
ในจำนวนนั้น โดยมากส่วนแบ่งจากเพลงนั้นมาจากเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่ายซึ่งปล่อยไปเมื่อเดือนก่อน
จากนั้นก็มีนิยายขนาดสั้นเรื่องของขวัญแห่งเมไจที่ขายได้อีกสองแสนหยวน
เดิมทีเงินก้อนนี้ต้องโอนมาในเดือนหน้า แต่หลินเยวียนอยากมีเงินในกระเป๋าให้เพียงพอสักหน่อยก่อนซื้อบ้าน จึงให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจ่ายค่าต้นฉบับล่วงหน้า
คลังหนังสือซิลเวอร์บลูกับหลินเยวียนร่วมงานกันอย่างราบรื่น ดังนั้นอีกฝ่ายจึงตอบตกลงด้วยความยินดี
ในตอนนี้เงินสองแสนก็โอนมาแล้ว
ฉะนั้นตอนนี้หลินเยวียนมีเงินทุนในมือราวสองล้านสองแสน ความคิดจะซื้อบ้านของเขาฉุดไม่อยู่แล้ว
อันที่จริงตอนที่หลินเยวียนเพิ่งมาถึงบ้าน ก็มีความคิดจะซื้อบ้านใหม่แล้ว
นั่นก็เพราะบ้านที่ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ สภาพต่างๆ ค่อนข้างทรุดโทรม ไม่สะดวกต่อการใช้ชีวิต
ตัวอย่างเช่นความเป็นอยู่
บ้านสองห้องหนึ่งห้องรับแขกมีพื้นที่จำกัด
ยามปกติยังพอว่า มีแม่พักอาศัยอยู่เพียงคนเดียวก็นับว่าเพียงพอ
แต่เมื่อถึงช่วงตรุษจีน ทุกคนล้วนกลับบ้านมา พื้นที่สำหรับสี่คนก็จะเบียดเสียดมาก
ทำยังไงดี
มีแค่หลินเยวียนที่ได้อยู่ห้องเดี่ยว เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน
จากนั้นก็แบ่งห้องนอนของแม่ให้เป็นสองห้อง
พี่สาวกับน้องสาวนอนที่ห้องฝั่งซ้าย เบียดกันบนอยู่เตียงเดียว
ส่วนแม่นอนห้องฝั่งขวา
การเก็บเสียงย่ำแย่ พื้นที่ก็เล็ก อย่างเข้าห้องน้ำในตอนเช้า อาบน้ำในตอนบ่ายก็ต้องเวียนคิวห้องน้ำกัน หากว่ากันตามความเคยชินในการทำกิจวัตรประจำวันแล้วอันที่จริงก็อึดอัดมาก เพียงแต่ไม่มีใครปริปากบ่น
ตอนนี้มีเงินแล้ว ทำไมต้องปล่อยให้ทั้งครอบครัวอัดกันอยู่ในพื้นที่คับแคบแบบนี้ด้วยล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของบ้านหลังเก่าก็ไม่ดี ตั้งแต่การตกแต่งประดับประดาและสภาพเครื่องเรือน ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ แถมด้านการเดินทางก็ยังล้าสมัย ต่อให้เป็นแม่อาศัยอยู่ในที่แบบนี้คนเดียวก็ลำบากมากทีเดียว
ซื้อบ้าน จำเป็นจริงๆ
ก่อนออกจากบ้าน หลินเยวียนอุตส่าห์หาในอินเทอร์เน็ต ผลคือเขาพบว่าเงินสองล้านหยวนนั้นมากพอให้ซื้อห้องชุดดีๆ ในเมืองอวิ๋นแล้ว
ถึงยังไงที่ฉินโจว เมืองอวิ๋นก็เป็นเมืองเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
ก่อนหน้านี้ตนยังกังวลว่าเงินในมือจะไม่พอ คิดมากไปเองจริงๆ ด้วย
แน่นอนว่าหลินเยวียนก็เคยคิดว่าจะรับแม่ไปอยู่ที่เมืองซูด้วย แต่เมื่อวานตอนที่เขาลองเอ่ยขึ้นหยั่งเชิงแม่ก็ปฏิเสธกลับมา เธอยังคงตัดใจจากบ้านเกิดที่อยู่มานานหลายปีไม่ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินเยวียนก็ตัดสินใจมองในระยะยาว
อย่างไรเสียในตอนนี้หลินเยวียนก็ยังซื้อบ้านในเมืองซูไม่ไหว
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ในที่สุดหลินเยวียนก็นั่งรถประจำทางไปถึงศูนย์จัดจำหน่ายบ้าน
เขากินอาหารเช้าแถวนั้นเพื่อเติมพลังก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน
“สวัสดีครับคุณผู้ชาย”
พนักงานขายวัยหนุ่มหนึ่งในนั้นเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้าเปี่ยมความกระตือรือร้น “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายอสังหาริมทรัพย์ เรียกผมว่าเสี่ยวมู่ก็ได้ครับ ขอถามสักหน่อยว่าคุณแซ่อะไรเหรอครับ มาที่นี่เพราะต้องการซื้อบ้านใช่มั้ยครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า “ใช่ครับ ผมแซ่หลิน”
เสี่ยวมู่พยักหน้า “สวัสดีครับคุณหลิน คุณต้องการซื้อบ้านระดับราคาประมาณไหนเหรอครับ”
หลินเยวียนใคร่ครวญอยู่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง “สองล้านหยวน ไม่เกินกว่านั้นมากเกินไปครับ”
เสี่ยวมู่ชะงักงัน หลินเยวียนแลดูอายุน้อยมาก ท่าทางคล้ายว่าจะยังเป็นนักเรียนอยู่เลย ถึงกับเอ่ยปากถามหาบ้านราคาสองล้านหยวนขึ้นมาทันที?
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแนะนำบ้านหลายชุดให้กับหลินเยวียนอย่างขยันขันแข็ง โดยคุมราคาอยู่ที่ประมาณสองล้านหยวน
“ห้องนี้ไปดูได้มั้ยครับ”
หลินเยวียนเกิดความสนอกสนใจห้องชุดห้องหนึ่ง นี่เป็นบ้านราคาสองล้านหนึ่งแสนหยวน ราคาบ้านไม่ได้เกินกว่าที่หลินเยวียนคำนวณไว้
“แน่นอนครับ”
อีกฝ่ายพยักหน้าทันที “ทางผมมีกุญแจของห้องนี้พอดีครับ ผมพาคุณไปดูตอนนี้ได้เลย รอสักครูนะครับ ผมไปหยิบกุญแจประเดี๋ยว”
……
เสี่ยวมู่รีบร้อนเข้าไปหยิบกุญแจในห้อง
เพื่อนร่วมงานด้านหลังกระซิบว่า “เสี่ยวมู่ ลูกค้าคนนี้ไม่ต้องใส่ใจมากหรอก เขาคงจะแค่มาดู ไม่ซื้อหรอก”
เสี่ยวมู่ชะงัก “ทำไมล่ะ”
เพื่อนร่วมงานเห็นท่าทางของผู้มาเยือน มองไปยังหลินเยวียนซึ่งรออยู่ด้านนอก กล่าวกลั้วหัวเราะ “ทำงานแบบพวกเราก็ต้องมองต้องสังเกตให้มาก ลูกค้าคนนี้นั่งรถเมล์มา แถมเสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ได้ดูแพง ที่สำคัญก็คือ…”
“คืออะไร”
“ฉันเจอเขาตอนเดินผ่านร้านอาหารเช้า เขากินอาหารเช้าแล้วยังต่อราคากับเถ้าแก่ด้วยน่ะสิ ถามเถ้าแก่ว่าลดราคากว่านี้ได้มั้ย นายเคยเห็นคนกินอาหารเช้าแล้วต่อราคากับเถ้าแก่มั้ยล่ะ”
“แต่ร้านอาหารเช้าข้างๆ นี่ก็แพงจริงนั่นแหละ”
เสี่ยวมู่คล้ายกับว่าจะเห็นใจหลินเยวียนอยู่มาก “บะหมี่ชามละยี่สิบ ราคาเว่อร์มาก ในร้านอาหารเช้าข้างเขตของพวกเราขายบะหมี่แพงสุดก็แค่สิบเอ็ดหยวน แถมยังเติมเนื้อให้อีกตั้งเยอะ เพราะงั้นฉันก็เลยไม่เคยกินข้าวเช้าที่ร้านข้างๆ เลย”
เพื่อนร่วมงาน “…”
เสี่ยวมู่หยิบกุญแจเสร็จก็เดินออกไป
ไม่นานเขาก็พาหลินเยวียนมาถึงหนึ่งในเขตที่ดีที่สุดของเมืองอวิ๋น สวนดอกไม้หลงเจียง
“ที่เมืองอวิ๋น สวนดอกไม้หลงเจียงมีชื่อเสียงมากเลยนะครับ”
เสี่ยวมู่ยิ้มเอ่ย “เมื่อก่อนตอนที่ผมเป็นไรเดอร์ส่งอาหาร ทุกครั้งที่เข้าไปต้องลงทะเบียนที่หน้าประตูทางเข้าก่อน ส่วนกลางรับผิดชอบดีมากครับ สภาพแวดล้อมในเขตนี้ก็สวยงาม เหมาะแก่การพักอาศัยมากเลยนะครับ”
แนะนำไปได้ไม่กี่ประโยค
ทั้งสองก็เดินมาถึงห้องยูนิตหนึ่งของชั้นเก้าบนอาคารที่ยี่สิบแปด
เมื่อเข้ามาในห้อง หลินเยวียนก็พบว่าห้องชุดนี้ประดับตกแต่งได้ดูดี เป็นสไตล์นีโอไชนีส หรูหราแต่ไม่โบราณ เครื่องเรือนทั้งใหม่เอี่ยมและครบครัน
“ลูกค้าได้เห็นแล้วนะครับ”
เสี่ยวมู่เอ่ย “ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องมือสอง แต่ผมรับประกันได้ว่าที่จริงแล้วห้องชุดนี้ไม่เคยมีคนเข้าพักมาก่อน เจ้าของเป็นศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา เดิมทีคิดว่าจะซื้อห้องลงหลักปักฐาน เลยตกแต่งแล้วก็เตรียมพวกเฟอร์นิเจอร์ไว้ครบแล้ว แต่เพราะมีการโยกย้ายงานชั่วคราวไปที่ฉู่โจว จึงวางแผนว่าจะขายห้องนี้ แล้วซื้อห้องใหม่ที่ฉู่โจวน่ะครับ”
หลินเยวียนเดินออกไปมองที่ระเบียง
ทัศนียภาพดีมาก มองปราดเดียวก็เห็นต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม อากาศก็สดชื่น จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมากเลยครับ แต่ว่า…”
เสี่ยวมู่กล่าว “บอกได้เลยครับ”
เขาเองก็เคยดูแลลูกค้ามาประมาณหนึ่ง ฉะนั้นจึงรู้ว่าโดยปกติแล้วถ้าหากลูกค้าพูดแบบนี้ ก็หมายความว่าดีลนี้คงปิดยาก
หลินเยวียนพูด “ผมเข้าอยู่ได้ทันทีเลยมั้ยครับ”
เสี่ยวมู่อึ้งงัน “คุณจะซื้อเหรอครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า “ใช่ครับ ผมว่าดีมาก เอาห้องนี้แหละครับ”
เสี่ยวมู่ประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา “สินเชื่อธนาคารต้องผ่านขั้นตอน เจ้าของน่าจะต้องรอให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อก่อนนะครับ…”
หลินเยวียนพูด “ผมจ่ายสดเต็มจำนวนครับ”
หลินเยวียนคิดว่าตนเองไม่ได้มีหัวการค้าอะไร และไม่เข้าใจการลงทุน และยิ่งไม่รู้เรื่องเงินเฟ้ออะไรเทือกนั้น ความคิดอันเคยชินของคนกระเป๋าแฟบบอกเขาว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อธนาคารสูงมาก ต้องเสียเงินเยอะมาก ถ้ามีเงินจ่ายสดเต็มจำนวนไปก็หมดปัญหา
“อะไรนะครับ”
เสี่ยวมู่อ้าปากค้าง
แต่ชั่วขณะต่อมา เขาก็ข่มกลั้นความตื่นเต้นพลางกล่าวว่า “รอสักครู่นะครับ ผมจะโทรไปคุยกับเจ้าของก่อน!”
สายโทรศัพท์ต่อติดอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวมู่คุยกับอีกฝ่ายจบ ก็พูดกับหลินเยวียนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตอนแรกทางนั้นไม่ยอม แต่หลังจากได้ยินว่าคุณเตรียมจ่ายสดเต็มจำนวน ก็ตกลงยอมให้คุณเข้าอยู่ได้เลยครับ ตอนนี้คุณต้องกลับไปเซ็นสัญญาที่บริษัทกับผมก่อนครับ ทางเจ้าของจะเข้ามาติดต่อด้วยครับ”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า เสี่ยวมู่กลับบริษัทไป
เพื่อนร่วมงานยิ้มกรุ้มกริ่มเอ่ย “เป็นไง ฉันพูดไว้ไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ”
เสี่ยวมู่มองเพื่อนร่วมงานด้วยสายตาประหลาด “ลูกค้าจะเซ็นสัญญาตอนนี้ เย็นนี้จะเข้าไปอยู่ เขาจ่ายเงินสดเต็มจำนวน ทางผู้ขายเลยยินดีเซ็นสัญญา”
“หา?”
เพื่อนร่วมงานอึ้งงันไปชั่วขณะ
ซื้อแล้วเหรอ? แถมยังจ่ายสดเต็มจำนวน?
หรือว่านี่จะเหมือนที่ว่ากันว่ายิ่งรวยยิ่งสมถะ?
ในตอนนั้นเสี่ยวมู่ก็ออกไปแล้ว และหลินเยวียนก็พูดคุยกับเจ้าของครู่หนึ่ง ก็เซ็นสัญญาซื้อห้อง ทั้งยังโอนเงินไปในวันนั้น
“หลังจากซื้อห้องไปแล้วแนะนำให้คุณเปลี่ยนกุญแจนะครับ”
เสี่ยวมู่พูดอย่างยิ้มแย้ม “โดยทั่วไปซื้อห้องแล้วจะทำแบบนี้น่ะครับ อีกอย่างคือหลังจากนี้ยังมีขั้นตอนอีกเล็กน้อย คุณหรือไม่ก็คนที่บ้านคุณต้องไปๆ มาๆ อีกสักหน่อย ผมจะรับผิดชอบขั้นตอนทั้งหมดเองครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า “ได้ครับ งั้นก็ขอบคุณมากครับ”
นอกจากซื้อบ้านแล้ว เขายังจ่ายภาษีจิปาถะและค่าส่วนกลางไปประมาณสามหมื่นหยวน ตอนนี้ในบัญชีของเขาเหลือเงินไม่ถึงสามหมื่นแล้ว แต่ว่าในใจของเขาก็ยังอิ่มเอิบ โทรศัพท์หาพี่สาวในทันที
พี่สาวถาม “มีอะไร ไม่เห็นเธอตั้งแต่เช้า ออกไปไหนแล้วล่ะ”
หลินเยวียนตอบ “พี่พาแม่กับน้องมาหน่อยได้มั้ย ผมอยู่ที่สวนดอกไม้หลงเจียง”
หลินเยวียนออกมาซื้อบ้านโดยไม่ได้บอกคนในครอบครัว
ไม่ใช่เพราะอยากเซอร์ไพร์สคนในครอบครัว
เขากลัวยิ่งกว่าว่าคนในครอบครัวจะห้ามไม่ให้เขาใช้เงิน และให้เขาเก็บเงินไว้รักษาอาการป่วยอะไรเทือกนั้น
“ทำไม เธอเกิดเรื่องอะไรเหรอ”
“พวกพี่มาก็แล้วกัน”
หลินเยวียนทิ้งปริศนาเอาไว้
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง แม่กับพี่สาวและน้องสาวก็ปรากฏตัวที่สวนดอกไม้หลงเจียง หลินเยวียนรอพวกเขาอยู่ที่ทางเข้า
“เรียกพวกเรามาทำไมเหรอ”
หลินเซวียนมองหลินเยวียนด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “พี่นึกว่าเธอเกิดเรื่องอะไรซะอีก”
“นั่นซิ แม่ตกใจหมด”
แม่ยังคงมีท่าทางกังวลอยู่มาก
หลินเหยาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หนูกำลังอ่านหนังสืออยู่เลย”
หลินเยวียนหัวเราะร่า พูดว่า “งั้นเธอก็มาอ่านหนังสือที่นี่เลย”
“หมายความว่ายังไง”
“พี่ซื้อบ้านที่นี่แล้ว”
หลินเยวียนไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป และพาคนในครอบครัวซึ่งกำลังสับสนเข้าไปในบ้านใหม่ จากนั้นก็เอ่ยแนะนำเลียนแบบคำพูดของเจ้าหน้าที่คนกลาง “พื้นที่หนึ่งร้อยสี่สิบตารางเมตร สี่ห้องนอน หนึ่งห้องรับแขก สองห้องน้ำ สองห้องหันทางทิศใต้ สัดส่วนเหมาะสมลงตัว ทางนี้ยังมีห้องหนังสือที่เงียบสงบ ระเบียงกว้างขวาง ทัศนียภาพดีเยี่ยม…”
หลินเยวียนพบว่าไม่มีใครสนใจตนเลย
เขาหันกลับไป ก็พบว่าคนในครอบครัวยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองมายังตนด้วยสายตาซับซ้อน ทั้งสามคนเบื้องหน้าไม่มีใครตื่นเต้นเหมือนที่หลินเยวียนจินตนาการไว้เลยสักนิดเดียว
หลินเยวียนเดาเหตุผลออก
เขาจึงยิ้ม “ก่อนหน้านี้ผมไปตรวจที่โรงพยาบาลมาครั้งนึงแล้ว หมอบอกว่าร่างกายผมไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก ให้
แค่กินยาตามกำหนด สุดท้ายจะกลับมาแข็งแรงแน่นอน!”
“อะไรนะ”
“จริงเหรอ”
ทบทวนอยู่ชั่วครู่ คนในครอบครัวก็ขอบตาแดงก่ำ แม่ก็ดึงหลินเยวียนมาตรงหน้าด้วยท่าทางกึ่งร้องไห้กึ่งหัวเราะ “ลูกไม่ได้หลอกแม่ใช่มั้ย”
“เปล่าฮะ”
หลินเยวียนเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าไม่เชื่อ ผมไปตรวจที่โรง’บาลกับแม่ก็ได้นะ”
“ไปเดี๋ยวนี้เลย!”
แม่ลากหลินเยวียนออกไปข้างนอก
หลินเยวียนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก ทำได้เพียงไปพร้อมกับแม่ เพื่อให้คนในครอบครัวสบายใจ เขาเคยถามระบบแล้วว่า โรงพยาบาลตรวจไม่พบปัญหาอะไรก็เพราะร่างกายของเขาอยู่ระหว่างการฟื้นฟู
เป็นดังคาด
หลังจากตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้ว หลินเยวียนนอกจากร่างกายอ่อนแอกว่าคนปกติแล้ว โรครักษาไม่หายที่เป็นก่อนหน้านี้ก็กำลังค่อยๆ ฟื้นฟู
“ดีเหลือเกิน”
แม่กอดหลินเยวียนร้องไห้ พี่สาวกับน้องสาวก็ลอบปาดน้ำตา ถึงจะไม่มีใครพูดออกมา แต่ความจริงแล้วร่างกายและอาการป่วยของหลินเยวียนก็ทำให้คนในครอบครัวทุกข์ทรมานมาโดยตลอด
หลินเยวียนรู้สึกปวดใจ “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
“กลับบ้านไหน”
“แน่นอนว่าบ้านใหม่”
“แล้วบ้านหลังเก่าของพวกเราล่ะ” ครั้งนี้แม่เป็นคนถามขึ้น
“ถ้าแม่ชอบก็ปล่อยไว้แบบนั้น เก็บไว้เป็นความทรงจำ เผื่อแวะเวียนไปบ้าง…หลังจากนี้พวกเรามาอยู่บ้านใหม่กัน” หลินเยวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้”
ทั้งสามตอบพร้อมเพรียงกัน ในตอนนี้ทุกคนได้ปล่อยวางภาระและมีความสุขกับบ้านที่เพิ่งซื้อมา เพราะความสุขนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของสุขภาพที่แข็งแรงของหลินเยวียน และไม่ใช่สิ่งที่หลินเยวียนใช้เวลาในชีวิตซึ่งเหลือไม่มากมาจัดหาให้กับคนในครอบครัว
บ้านหลังใหม่
การเริ่มต้นใหม่
ชีวิตใหม่
………………………………………………