ตอนที่ 59 เจียงอิ้งอวิ๋นแห่งร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

“ไม่สนใจข้าจริงหรือ”

ตกค่ำ เขาโอบนางนั่งพิงหัวเตียง กระซิบเย้าถามขึ้น “แต่ว่าก่อนหน้าเจ้ารับปากไว้ดิบดีนะ รอให้หมักสุราดอกกุ้ยเสร็จ จะลองดื่มตามประเพณีคืนแต่งงาน[1] อีกครั้ง หากไม่สนใจข้า แล้วสุรานี้จะดื่มอย่างไร” วาจาเขากระทบโสตสัมผัสที่เขินอายง่ายของนางทันที นางที่ไม่อาจทนต่อการยั่วเย้าได้ก็แดงเถือกไปทั้งตัว แต่ก็ยังดึงดันวางท่าไม่ยอมอ่อนข้อ

“นั่นต้องอีกสามปีห้าปีโน่น” ซูสุ่ยเลี่ยนงึมงำหาข้ออ้าง ตอนคืนวันไหว้พระจันทร์นางเมาแบบนั้น แล้วบอกไปว่าจะหมักสุราดอกกุ้ยไว้ลองดื่มตามประเพณีคืนแต่งงานอีกครั้ง เพียงแต่นางสงสัยตนเองว่าพอเมาแล้วพูดเหลวไหลเช่นนั้นออกไปจริงหรือ แต่เขายืนยันว่านางกล่าวไว้เช่นนั้นจริง

คืนเมาสุราคืนนั้นได้หลุดวาจาออกมาใหญ่โตว่าจะหมักสุราดอกกุ้ยชั้นดีมาลองแลกจอกดื่มกันดู เพียงแต่นางสงสัยมากว่าหลังเมาสุราแล้วพูดอะไรเหลวไหลออกไปบ้าง แต่เขาก็ยืนยันหนักแน่นว่านางพูดแค่นี้

เอาละ ดังนั้นต้นเดือนก่อนตอนเก็บดอกกุ้ยมาได้ ก็เลยลองหมักสุราดอกกุ้ยดูสักไห ตอนนี้กำลังฝังไว้ใต้ต้นอิงเถาป่าที่มีใบเขียวชอุ่มราวกับร่มคันใหญ่ให้ร่มเงา

ส่วนก่อนอาหารค่ำนั้นบอกว่าจะลงโทษพวกเขาสองคนด้วยการยกเลิกบัวลอยข้าวหมักดอกกุ้ย ก็ยังยกขึ้นโต๊ะตามที่สัญญาไว้ กินกับปูแม่น้ำอวบอ้วนกลิ่นหอม อาหารอุดมสมบูรณ์มื้อหนึ่ง ส่วนลูกหมาป่าที่ทำได้แค่แทะจนแหลกให้เสียของ ก็ได้แต่กอดเนื้อซีอิ๊วกับหมั่นโถวอย่างฮึดฮัด

“เช่นนั้นเจ้ากะว่าจะไม่สนใจข้าในสามปีห้าปีนี้หรือ สุ่ยเลี่ยน…เจ้าบอกเองว่า สามีภรรยาต้องรู้ใจกัน สามปีห้าปีไม่สนใจกันจะรู้ใจกันได้อย่างไร” หลินซือเย่ายังตามรุกไม่ลดละ อยู่ด้วยกันมาครึ่งปีกว่า เขารู้นิสัยนางกระจ่างนานแล้ว

ตามคาด ซูสุ่ยเลี่ยนหันขวับมาทันที แก้มแดงเถือก สุราข้าวชามหนึ่งสำหรับนางถือว่าฤทธิ์ไม่น้อยแล้ว

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้…แท้จริงแล้วข้าไม่ได้โมโห…เพียงแต่…” รู้สึกเสียหน้าเท่านั้น ต่อหน้าศิษย์อายุสิบสอง แสดงท่าทางราวกับคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย

“ข้ารู้ ต้าเป่าควรต้องจัดการ” เขาคิดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เข้าจะจัดการลูกศิษย์ไร้กตัญญูที่ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่และยังมีนิสัยซุกซนเช่นนี้ได้อย่างไร

เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องพวกนี้ นอนอยู่บนแผ่นหนังหมีดำที่เพิ่งเย็บเสร็จไม่กี่วัน อย่างไรก็ควรจะกล่าวเรื่องอบอุ่นอ่อนโยนไม่ให้ต้องรู้สึกเสียดายของดีอย่างมัน…

……

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินซือเย่าถือโอกาสที่ท้องฟ้าแจ่มใสนำต้าเป่าไปฝึกวิชากระบี่ที่สนามหญ้าเชิงเขาซิ่วเฟิงเหมือนเดิม ด้านหลังยังมีเสี่ยวเสวี่ยตามออกมาด้วยท่าทางดีใจ

พอพวกเขาออกไปได้ไม่นาน ซูสุ่ยเลี่ยนก็เริ่มขยับตัวลงมือทำงาน ล้างมือบ้วนปากเสร็จก็ไปนั่งเฝ้าอยู่ที่โต๊ะในครัว ในมือถือพื้นรองเท้าที่เตรียมจะเย็บให้หลินซือเย่าไว้ป้องกันความหนาว เหลือบมองไปยังข้าวต้มที่ต้มอยู่บนเตาตลอดเวลา กลัวว่าจะไหม้ก้นหม้อ

“พี่สุ่ยเลี่ยน พี่สุ่ยเลี่ยน พี่อยู่บ้านไหม” ยามนั้นได้ยินเสียงสี่ชุ่ยดังก้องมาจากนอกรั้ว พร้อมกับเสียงเคาะห่วงประตูหลายที

ซูสุ่ยเลี่ยนนึกสงสัย รีบออกจากห้องครัวไปเปิดประตูให้นาง

“สี่ชุ่ย เช้าเช่นนี้มาหาข้ามีเรื่องด่วนอันใด” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางดึงนางเข้ามา

พอคิดจะปิดประตูก็เห็นว่าด้านหลังสี่ชุ่ยยังมีสตรีอายุราวยี่สิบกว่าตามมาด้วย ยังมีรถม้าหรูหราที่จอดอยู่บนถนนไม่ไกลนัก

“ท่านนี้คือ?” ซูสุ่ยเลี่ยนมองสี่ชุ่ยอย่างไม่เข้าใจ

“พี่สุ่ยเลี่ยน…ข้า…” สี่ชุ่ยดึงมือซูสุ่ยเลี่ยนโยกไปมาครู่หนึ่ง วาจากลับเอาแต่อึกอัก

“อย่าได้ตำหนิสี่ชุ่ย ข้าดึงดันจะให้นางพามาพบฮูหยินหลินเอง ข้าคือเถ้าแก่รอง ‘ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น’ เจียงอิ้งอวิ๋น” เจียงอิ้งอวิ๋นค้อมกายให้ซูสุ่ยเลี่ยนเล็กน้อยพลางยิ้มแนะนำตนเอง พร้อมกับแอบลอบสังเกตซูสุ่ยเลี่ยน ช่างปักผ้างามพร้อมจากปากสี่ชุ่ย

นี่คือสตรีตระกูลใหญ่ต้นแบบคนหนึ่ง นี่เป็นคำประเมินในใจของเจียงอิ้งอวิ๋นในแวบแรกที่ได้เห็นซูสุ่ยเลี่ยน

เกล้ามวยผมสูงแสดงให้เห็นว่าเป็นสตรีออกเรือนแล้วเด่นชัด ตลอดทางมาได้รับรู้จากคำบอกของสี่ชุ่ยว่าสามีนางแซ่หลิน

เพียงแต่โฉมสะคราญงดงาม ท่วงท่าดูมีกิริยางามเช่นนี้ ไม่มีอันใดไม่บ่งเลยว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ได้รับการดูแลทะนุถนอมมาอย่างดี

แต่คุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไหนกันที่จะมีฝีมือปักที่โดดเด่นเช่นนี้ หรือว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ใดกันที่ยอมลดตัวมาแต่งกับชาวนาและต้องมาปักผ้าหาเลี้ยงครอบครัว

เจียงอิ้งอวิ๋นคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก

ซูสุ่ยเลี่ยนพอได้ยินว่าร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น ก็เข้าใจเรื่องได้คร่าวๆ แล้ว

คาดว่าตอนสี่ชุ่ยไปปฏิเสธงานปักหยางกุ้ยเฟยเมาสุรา อีกฝ่ายยังไม่ยินยอม ต้องการตามมาเกลี้ยกล่อมนางด้วยตนเอง

“เถ้าแก่เจียง คิดว่าสี่ชุ่ยได้บอกแทนข้าไปหมดแล้ว งานปักครั้งนี้สำหรับข้าแล้ว เวลากระชั้นเกินไป เกรงว่าทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปพยักหน้าให้อีกฝ่ายพลางอธิบายด้วยรอยยิ้มบาง

“ไม่ทราบว่าฮูหยินหลินต้องการเวลานานเท่าไร จึงจะยอมรับงานปักภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุรานี้” เจียงอิ้งอวิ๋นน้ำเสียงเหมือนจะหารือ

นางเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ตั้งแต่ใต้เท้าหวังหรือใต้เท้าเจ้าเมืองตอนได้ชมฉากบังตาฝีมือปัก ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ แล้ว ใต้เท้าก็มาเยือนร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นด้วยตนเอง ต้องการให้ช่างปัก ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ซึ่งก็คือซูสุ่ยเลี่ยนมาปักหยางกุ้ยเฟยเมาสุราให้เขา ไม่อย่างนั้นร้านปักของนางที่มีช่างปักประจำและช่างรับงานพิเศษก็คงออกมารับงานนี้ได้

“เถ้าแก่เจียง…” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ตกใจเงยหน้ามองเจียงอิ้งอวิ๋น ในเมื่อเป็นงานปักในเวลาจำกัด จะให้ช่างปักเลือกวันได้อย่างไร ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นไม่ใช่เป็นร้านปักที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฝานลั่วหรือ ไม่ควรจะขาดแคลนช่างปักที่มีฝีมือกระมัง

“ฮูหยินเรียกข้าว่าอิ้งอวิ๋นก็พอ คำว่าเถ้าแก่ดูห่างเหินไป” เจียงอิ้งอวิ๋นยิ้มแก้คำเรียกขานของซูสุ่ยเลี่ยนพร้อมกับถูสองมือที่หนาวจนแข็งของตนไปมา

ยามเช้าในหน้าหนาวนี้แม้ไม่มีลมพัดมา แต่ยืนข้างนอกนานก็รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ไม่น้อย

นับประสาอันใดกับการที่นางตื่นมาแต่ยามอิ๋นเพื่อนั่งรถม้ามาเมืองฝานฮัว เมื่อคืนนางเร่งเดินทางกลับจากเมืองจิ่นตู ได้ยินพี่สาวนางพูดเรื่องนี้ก็นอนหลับไม่สนิทมาทั้งคืน

ครั้งนี้แม้ไม่ได้คิดถึงเงินห้าสิบตำลึง แค่สถานะใต้เท้าเจ้าเมืองก็ไม่ใช่คนที่ร้านปักผ้านางจะล่วงเกินได้ อีกเรื่องก็คือร้านปักผ้าไม่อาจถูกคนเอาไปพูดว่าที่ร้านไม่มีช่างปักที่ไม่อาจรับงานปักได้

ดังนั้นจึงอาศัยข้อมูลที่สี่ชุ่ยเคยให้ไว้ที่ร้านปัก คลำหาทางมาถึงที่นี่แต่เช้ามืด ไปขอร้องสี่ชุ่ยตั้งนานกว่าจะยอมพานางมากล่อมซูสุ่ยเลี่ยน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางเจียงก็เรียกข้าว่าสุ่ยเลี่ยนก็พอ เข้ามาคุยกันก่อน” ซูสุ่ยเลี่ยนย่อมเห็นท่าทางของเจียงอิ้งอวิ๋น จึงได้รู้สึกว่าตนเองต้อนรับแขกบกพร่อง ได้แต่ยิ้มขอโทษ เชิญนางกับสี่ชุ่ยเข้าไปในห้องโถงด้วยกัน

พอเชิญทั้งสองนั่งลงบนแท่นนั่งที่กำลังอุ่นพอดีแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็เข้าไปในครัว ยกหม้อข้าวต้มที่ต้มเสร็จอยู่บนเตาที่ไฟมอดแล้วลง แล้วค่อยต้มชงชาดอกกุ้ยผสมซานเหมยกาหนึ่งออกมาที่ห้องโถง

“สุ่ยเลี่ยน ข้าพูดจริง หวังว่าเจ้าจะรับงานปักหยางกุ้ยเฟยเมาสุรา ขอเพียงเร่งทำให้เสร็จก่อนสิ้นปี ส่งมอบให้ข้าก็พอ” เจียงอิ้งอวิ๋นจิบชาไปคำหนึ่งก็แอบคิดว่าหอมจริง จากนั้นก็ไม่คิดพูดจาอ้อมไปมากับซูสุ่ยเลี่ยนอีก เอ่ยถึงเจตนาในการมาครั้งนี้ของตนอย่างตรงไปตรงมาทันที

“ก่อนสิ้นปี? นี่ไม่ใช่ฉากบังตาที่ไว้เป็นของขวัญปีใหม่หรือ จะทันได้อย่างไร” ซูสุ่ยเลี่ยนมึนงง งานปักเอาไปทำเป็นฉากบังตา ขั้นตอนระหว่างนั้นยุ่งยากมาก ไม่มีเวลาสิบวันถึงครึ่งเดือน ไหนเลยจะทัน

“เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงรับรองว่าเสร็จถึงมือข้าก่อนวันสิ้นปี ข้าก็มีวิธี” เจียงอิ้งอวิ๋นส่งแววตาแสดงถึงความรู้สึกซาบซึ้ง ปากยังคงกล่อมซูสุ่ยเลี่ยน

นางกับพี่สาวนางเจียงอิ้งเยว่ทำงานปักมาสิบกว่าปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเอางานปักไปทำเป็นฉากบังตาต้องผ่านขั้นตอนเท่าไร อย่างน้อยก็ต้องหลายวัน แต่ในเมื่อซูสุ่ยเลี่ยนไม่รับงานเพราะกลัวเวลาไม่พอ เช่นนั้นนางก็ได้แต่ใช้แผนรับมือนี้มาผ่อนคลายนาง

ใช่แล้ว เจียงอิ้งอวิ๋นกำลังพนันว่าหากซูสุ่ยเลี่ยนรับงานปักนี้ก็ต้องส่งมอบให้นางก่อนวันสิ้นปี เช่นนี้นางก็มีเวลาทำงานจากนั้นต่อให้เสร็จได้ เวลาสี่วัน หากว่าไม่หลับไม่นอนเร่งทำด้วยแรงกำลังทั้งหมดของร้าน นางไม่เชื่อว่าทำไม่ได้

หากร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นคิดจะประคองสถานะให้มั่นคงต่อไปในเมืองฝานลั่วแล้วละก็ นางคิดได้เพียงสองทาง หนึ่ง ใช้สรรพกำลังที่มีอยู่ของร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นลงมือบีบให้ซูสุ่ยเลี่ยนรับ แต่วิธีนี้ตั้งแต่นางได้เห็นซูสุ่ยเลี่ยนแวบแรกก็ล้มเลิกไปหมดสิ้น ตอนนี้เหลือแค่ทางที่สอง เป็นเพียงวิธีเดียวที่ไม่อาจไม่ลอง พยายามใช้เวลาที่มากพอมากล่อมซูสุ่ยเลี่ยนให้รับปักงานหยางกุ้ยเฟยเมาสุรา

“แม่นางเจียง…” ซูสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ขออภัยที่ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นพี่ชายผ่านประสบการณ์ ในการทำการค้ามาอย่างโชกโชนไม่น้อย ไม่อาจไม่นึกสงสัยข้อเสนอของเจียงอิ้งอวิ๋น

“เรียกข้าว่าอิ้งอวิ๋นก็ได้ สุ่ยเลี่ยน” เจียงอิ้งอวิ๋นยิ้มแก้คำเรียกขานด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อิ้งอวิ๋น ขออภัยที่ข้าขอเอ่ยถามตรงๆ หากว่าภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุราเป็นผลงานใช้เป็นของขวัญปีใหม่ ลากยาวส่งมอบงานไปถึงปีหน้า ใช่ว่าทำให้พวกเจ้าผิดสัญญาหรือ คงไม่ได้คิดให้ข้ามารับผิดชอบความเสียหายครั้งนี้กระมัง” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มอ่อนโยนถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ไม่ใช่นางคิดมากไป แต่เรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะที่อาจเกี่ยวพันกับการขัดแย้งผลประโยชน์ นางไม่อาจไม่ป้องกันไว้ก่อน หลักการพวกนี้เป็นเรื่องที่นางเรียนรู้มาจากพี่ชาย

“ฮ่าๆ…สุ่ยเลี่ยน ควรบอกว่าเจ้าฉลาด หรือควรบอกว่าเจ้าเปิดเผยดี?” เจียงอิ้งอวิ๋นยิ้มกว้าง

นางรู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของซูสุ่ยเลี่ยน ไม่ควรเป็นความสามารถในการโต้ตอบของเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนสตรีในตระกูลใหญ่ที่ถูกเก็บตัวแต่ในจวนควรจะรู้ได้

ซูสุ่ยเลี่ยนแท้จริงเป็นสตรีเช่นไร ดูเหมือนอ่อนโยนบอบบางราวกับสตรีที่ได้รับการดูแลทะนุถนอมมาอย่างดี แต่ก็ฉลาดเฉลียวราวกับนายหญิงตระกูลดังที่รู้จักจัดการตระกูลได้ดี

แต่ความจริงนางกลับเป็นแค่ช่างปักผ้าที่ไร้ชื่อเสียง เป็นภรรยาของชายชาวนาในหมู่บ้านห่างไกล

ต่อให้เป็นเถ้าแก่รองร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นอย่างเจียงอิ้งอวิ๋นที่เฉลียวฉลาด คิดให้ตายก็คิดไม่ออกอยู่ดี

“สุ่ยเลี่ยน หากเจ้าเชื่อใจข้า ก็ขอเจ้าวางใจได้เลย เราตกลงกัน ขอเพียงปลายปีนี้เจ้าส่งมอบภาพปักหยางกุ้ยเฟยเมาสุราผลงานมาตรฐานให้ก็พอ ตอนนั้นมือหนึ่งรับงานมือหนึ่งจ่ายเงิน สิบตำลึงเริ่มต้นไว้ก่อน เพิ่มรางวัลตามคุณภาพงานอีกส่วน” เจียงอิ้งอวิ๋นยิ้มกล่าวถึงค่าตอบแทนที่มากกว่าปกติ เริ่มเอ่ยถึงเงื่อนไขที่นางคิดว่าน่าจะจูงใจออกมาต่อ “คุณภาพฝีมือดีอย่าง ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ เพิ่มแปดตำลึงเป็นอย่างน้อย”

“สวรรค์!” สี่ชุ่ยที่ยืนฟังนางสองคนเจรจากันไปจิบชาไปเงียบๆ อยู่ข้าง ได้ยินก็ตกใจอุทานปิดปากนิ่ง อดส่งเสียงเรียกเตือนเบาๆ ไม่ได้ว่า “พี่สุ่ยเลี่ยน!” ยังไม่รีบรับอีก! นางร้อนใจส่งสายตาให้ซูสุ่ยเลี่ยน

ไม่ถึงสองเดือน เงินสิบแปดตำลึงหย่อนใส่ถุงเงินเงียบๆ! โอ! สวรรค์! มากกว่าก่อนหน้าที่นางคาดไว้ว่าสิบตำลึงเต็มๆ นั่นอีก! ไหนเลยจะยังหางานดีๆ เช่นนี้ได้อีก หากไม่ใช่สี่ชุ่ยยังมีความสามารถไม่ถึงขั้นละก็ นางคงร้องไห้วิงวอนเข้าแย่งรับงานปักนี้ให้ตนเองแล้ว เทพโชคลาภสำแดงอภินิหารโดยแท้!

————————————-

[1] ธรรมเนียมบ่าวสาวคืนแต่งงานดื่มสุราไปคนละครึ่งจอกจากนั้นแลกกันดื่มให้หมด