ซูสุ่ยเลี่ยนสบสายตาเอาจริงของเจียงอิ้งอวิ๋นอย่างแน่วแน่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มบางให้กับเจียงอิ้งอวิ๋นที่มีสีหน้าคาดหวัง พลางพยักหน้า นับว่ารับคำเชิญของเจียงอิ้งอวิ๋นแล้ว “เอาละ ข้ารับ”
ซูสุ่ยเลี่ยนยอมให้โอกาสตนเองได้ลองสักครั้ง เพื่อพิสูจน์คำสัญญาของหญิงที่ดูสง่าเปิดเผยเช่นนี้ จะควรแค่ที่นางจะเชื่อได้เหมือนภาพภายนอกหรือไม่
ความรู้สึกบอกนางว่า เจียงอิ้งอวิ๋นต้องมีความทุกข์ที่ไม่อาจบอกกล่าวผู้ใด
ไม่เช่นนั้น ด้วยสถานะเถ้าแก่รองร้านปักผ้าใหญ่สุดในเมืองไม่จำเป็นต้องเดินทางมากล่อมตนแต่เช้าด้วยตนเองเช่นนี้
คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งอย่างมีมารยาท “ข้าจะพยายามเร่งทำให้เสร็จราววันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง พวกเจ้าจะได้มีเวลาจัดการทำเป็นกำบังลมได้หลายวันหน่อย”
“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดีมากๆ!” เจียงอิ้งอวิ๋นได้ยินก็ดีใจผุดลุกขึ้นจากแท่นนั่ง ยื่นมือออกไปกุมมือซูสุ่ยเลี่ยนพลางขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณ! ขอบคุณ!” ขอบคุณที่นางรับงาน และขอบคุณที่นางเข้าใจ ครั้งนี้ตนนับว่าได้พบสมบัติล้ำค่าเข้าแล้ว การพนันนี้ได้ผลสำเร็จงดงาม!
……
“เช่นนั้นตกลงตามนี้ ข้ากลับถึงร้านก็จะรีบส่งคนนำภาพต้นแบบหยางกุ้ยเฟยเมาสุรากับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาให้” เจียงอิ้งอวิ๋นคุยงานกับซูสุ่ยเลี่ยนเรียบร้อย เห็นว่าสายมากแล้ว ที่ร้านยังงานรอนางกลับไปจัดการอีกไม่น้อย ได้แต่ลุกขึ้นกล่าวอำลากับซูสุ่ยเลี่ยน
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า กำลังจะส่งนางกับสี่ชุ่ยออกจากโถง ก็เห็นหลินซือเย่าสองศิษย์อาจารย์กับเสี่ยวเสวี่ยคาบตัวตุ่นไว้ตัวหนึ่งกลับมา
“อาเย่า พวกเจ้ากลับมาแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มเข้าไปรับมัดหญ้าเลี้ยงแพะจากมือเขามา และยังแนะนำเจียงอิ้งอวิ๋นที่ลุกขึ้นส่งสายตาประหลาดใจประเมินเขาอยู่ “อาเย่า คนนี้คือเถ้าแก่รองร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น แม่นางเจียงอิ้งอวิ๋น” หันไปยิ้มให้เจียงอิ้งอวิ๋น “อิ้งอวิ๋น นี่คือสามีข้า หลินซือเย่า”
โอ สวรรค์ เจียงอิ้งอวิ๋นยามนี้ได้แต่แอบหลุดอุทานขึ้นมาในใจ
การคาดเดาของนางช่างเหลวไหลห่างไกลความจริงจริงๆ
ชายตรงหน้าไหนเลยจะมีภาพของสามีชาวนา? เห็นชัดว่าเป็นวีรบุรุษรูปงามท่าทางสุขุมสง่างามหาได้ยากแท้!
เจียงอิ้งอวิ๋นแต่ไรมาสายตาเฉียบคม จัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยหมดจด วิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุมีผล แต่สมองเถ้าแก่รองเจียงตอนนี้กลับเริ่มมึนงงอย่างแท้จริงแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนคนเดียวนางยังคิดไม่ตก ยังเพิ่มหลินซือเย่ามาอีกคน! เห็นชัดว่าประสบการณ์ในการทำการค้าของนางมาสิบกว่านี้ไม่ได้มากมายเลยจริงๆ
หันมองหลินซือเย่า เห็นชัดว่านิ่งสุขุมกว่านางมาก
จึงหันไปพยักหน้าให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ดึงเถียนต้าเป่าที่ถือกระบี่ยองลงนั่งรอดูเรื่องสนุกอยู่ออกไปริมท่าน้ำด้านหลังบ้าน ล้างมือให้สะอาดเตรียมทำอาหาร
“สุ่ยเลี่ยน…สามีเจ้า…” ทำไมดูแล้วไม่เห็นเหมือนชาวนา กลับเหมือนจอมยุทธ์ที่เร้นกายปลีกวิเวก
เจียงอิ้งอวิ๋นกลืนน้ำลายเอื๊อก เห็นหลินซือเย่าหน้าตาเย็นเยียบราวกับแม่ไก่ดึงตัวเด็กหนุ่มยิ้มร่าออกไป ไม่กี่ก้าวก็ไกลออกไปหลายจั้ง หายลับไปต่อหน้าทุกคน ก็อดอ้าปากค้างไม่ได้
“ขอโทษนะ อาเย่านิสัยเช่นนี้เอง” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดว่าเจียงอิ้งอวิ๋นนึกตำหนิที่หลินซือเย่าไร้มารยาท รู้สึกแอบเกรงใจไม่น้อย
คิดว่าชายผู้นั้นเป็นเช่นนั้นจริง ต่อหน้าคนอื่นเย็นชา แต่อยู่กับตนส่วนตัวแล้วร้อนแรงดังไฟ เผาจนนางแทบรับไม่ไหว โอ! นางคิดเรื่องน่าอายพวกนี้ขึ้นมาตอนนี้ได้อย่างไรกันนะ!
“ไม่เป็นไร มองออกว่าพวกเจ้าสัมพันธ์กันดีมาก” เจียงอิ้งอวิ๋นสัพยอกซูสุ่ยเลี่ยนราวกับนึกอิจฉาอยู่บ้าง
แม้ชายผู้นั้นเดินไม่พูดไม่จาสักคำเข้าไปหลังบ้านแล้ว แต่สายตาเขาเอาแต่จับจ้องตามซูสุ่ยเลี่ยน ไม่ยอมละสายตาแม้แต่น้อย แม้แต่ตอนที่พยักหน้าแสดงมารยาทให้ตน ก็ยังส่งสายตาจับจ้องแต่ซูสุ่ยเลี่ยน
ชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งหากมีชายที่ให้ความสำคัญกับตนเช่นนี้ได้ ยังมีอะไรให้ต้องเสียใจอีกเจียงอิ้งอวิ๋นแอบทอดถอนใจ
คิดว่าชีวิตนางนี้คงไม่อาจวาดหวังที่เกินหวังเช่นนี้ได้
สิบเอ็ดปีก่อน นางอายุสิบขวบ พี่สาวนางเจียงอิ้งเยว่อายุสิบหกปี บิดามารดาจากไประหว่างออกไปหาสินค้าเข้าร้านด้วยน้ำมือโจรภูเขา ทิ้งนางกับพี่สาวให้พึ่งพาอาศัยกันและกัน และรับดูแลกิจการร้านผ้าปักเยว่ อวิ๋นที่บิดามารดาเหลือไว้เพียงหนึ่งเดียวให้พวกนาง นี่คือกิจการที่บิดามารดานางสร้างขึ้นตอนนางอายุหกขวบ คำว่า เยว่อวิ๋น ก็มาจากชื่อตัวท้ายของนางและพี่สาวสองคน
สิบเอ็ดปีผ่านไปรวดเร็วราวอาชาควบทะยาน
ตอนนี้ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นลงหลักปักฐานมั่นคงในเมืองฝานลั่วนานแล้ว เป็นอันดับหนึ่งในวงการร้านผ้าปัก
แน่นอน ความสำเร็จทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะความเสียสละของเจียงอิ้งเยว่พี่สาวนาง เสียสละวัยสาวแรกแย้มงดงามของนาง ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ทุ่มเทดูแลร้านปักผ้า
ตอนนี้พี่สาวนางอายุยี่สิบเจ็ดได้แล้ว เป็นที่กล่าวขานในหมู่พ่อค้าใหญ่น้อยในเมืองฝานลั่ว นอกจากเสียงชื่นชมแล้ว ยังมีเสียงทอดถอนใจ ชื่นชมที่นางมีเก่งการค้า ทอดถอนใจที่นางต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้คู่
เพียงแต่นางจะปล่อยให้พี่ใหญ่ต้องโดดเดี่ยวไร้คู่ครองได้อย่างไร หากไม่อาจหาคู่แต่งงานที่ทำให้พี่สาวนางมีวาสนาสุขได้ เช่นนี้ก็ให้นางเป็นเพื่อนพี่สาวนางไปจนแก่เฒ่าก็แล้วกัน
นับประสาอันใดกับตอนนี้นางก็เลยยี่สิบแล้ว เลยวัยแรกแย้มออกเรือนมาแล้ว ผ่านช่วงอายุที่ชายทั้งหลายต้องการที่สุดมาแล้ว
แม้ตอนนี้นางไม่เลือกมาก ยอมแต่งงาน แต่เกรงว่าคู่ที่รอนางอยู่ไม่ใช่แก่เฒ่าพิการอ่อนแอก็คงเป็นพวกสติปัญญาบกพร่อง คู่ครองเช่นนี้ นางยอมไม่แต่งเสียดีกว่า ยอมเหมือนพี่สาวนาง ออกให้ห่างไกลจากหมู่ชายทั้งมวล
พี่สาวนางตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้จะไม่แต่งงาน
แม้ว่ามีบรรดาพ่อค้าไม่น้อยที่มองเห็นคุณค่านาง แต่ก็ถูกนางยิ้มปฏิเสธอ้อมๆ เพียงแต่เรื่องสำคัญในชีวิตเจียงอิ้งอวิ๋นน้องสาวคนเดียวของนาง นางต้องคอยย้ำเตือน มองหาคู่ครองวัยเหมาะสมให้เจียงอิ้งอวิ๋นไม่ว่า ยังฝากแม่สื่อแอบลองสืบดู ทันทีที่ได้ข่าวว่ามีคู่ครองที่ดี เจียงอิ้งเยว่ก็จะรีบส่งแม่สื่อไปสอบถามถึงที่ทันที
เพียงแต่น่าเสียดายที่ถึงตอนนี้ ผู้ชายที่นางเจอมา ไม่ใช่พวกเจ้าชู้ประตูดินก็พวกไร้เดียงสาไร้สมอง
หลังจากเจอประสบการณ์เช่นนี้หลายครั้งเข้า นางก็หมดใจ พี่สาวนางได้แต่หยุดเร่งรัดนางชั่วคราวอย่างเสียไม่ได้
คิดถึงตรงนี้ เจียงอิ้งอวิ๋นก็รู้สึกปวดปลาบส่ายหน้า ความเศร้าผุดทะลักขึ้นมาในใจ
สิบเอ็ดปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคู่รักงดงามตรงหน้าแล้วรู้สึกสงสารตนเอง ทำให้นางที่แต่ไรมาก็ฝึกความนิ่งสุขุมมาได้ตลอดต้องออกอาการวุ่นวายใจ
……
“อาเย่า ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
หลังอาหารเช้า ซูสุ่ยเลี่ยนก็เข้าไปพูดกับหลินซือเย่าที่เก็บจานชามจากโต๊ะมากำลังล้างอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว นางก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบายิ่ง
“มีงานปักผ้า?” หลินซือเย่าเงยหน้ากวาดตามองนางแวบหนึ่ง เห็นสีหน้านางละอายใจเหมือนทำอะไรผิด ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
“เอ๋? เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้าตกใจ พอดีสบเข้ากับดวงตาลึกๆ ที่เหมือนมีรอยยิ้มของเขาพอดี ตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกถึงอารมณ์ตำหนิของเขาอันใด
“สุ่ยเลี่ยน ข้าไม่ได้ห้ามเจ้ารับงาน เพียงแค่ไม่ใช่งานปักแบบครั้งก่อนที่เป็นงานปักเร่งรีบแทบไม่มีเวลากินข้าว ข้าก็ไม่ห้ามเจ้าทำ” อย่างไรนี่ก็เป็นความชำนาญของนาง และเป็นสิ่งที่นางชอบทำ
หลินซือเย่าเก็บจานล้างสะอาดเสร็จก็เช็ดมือ ดึงซูสุ่ยเลี่ยนเข้าไปที่ห้องโถงที่อุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ ดึงนางนั่งลงบนแท่นนั่งอุ่น
“ไม่ๆ ครั้งนี้เวลามากพอ” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบทำมือรับรอง ทำเอาหลินซือเย่าหัวเราะขำพักใหญ่
“ข้าน่ากลัวขนาดนั้นหรือ” เขาแอบขโมยจุมพิตริมฝีปากนางทีหนึ่ง อมยิ้มถามให้แน่ใจ เขาไม่อยากให้เขาในใจนางค่อยๆ กลายเป็นผู้ชายที่ไม่รู้ความและน่ากลัว
“เปล่า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงสุขภาพข้า” ซูสุ่ยเลี่ยนส่ายหน้า แต่ไรมานางไม่เคยรู้สึกว่าเขาจะน่ากลัวตรงไหน
อ้อ แน่นอน แวบแรกในถ้ำบนเขาต้าซื่อ นางกลัวเขาอยู่บ้าง อย่างไรตอนนั้นเขาก็เปล่งรัศมีเย็นเยียบแผ่ซ่านยากคาดเดามากจริงๆ
“รู้แล้วก็ดี สรุป แม้ว่ารับงานปัก ทุกวันนอกจากกินอาหารสามมื้อตรงเวลา ระหว่างปักต้องลุกมาดื่มน้ำเดินไปมาบ้าง ไม่อย่างนั้นข้าจะริบงานปักเจ้า” หลินซือเย่าสั่งอีกครั้ง และยังแสร้งทำข่มขู่เด็ดขาดอีกด้วย
อย่างไรตอนนี้เขาก็มีรายได้แล้ว สัตว์ป่าที่ล่ามาได้ก่อนหน้าก็เอาไปขายมาได้รวมทั้งหมดถึงเจ็ดแปดตำลึง แน่นอนต้าเป่าหารายได้ได้มากกว่าเขามาก ส่วนแบ่งในเรื่องนี้แต่ไรมาเขาไม่เคยเอามาก เพียงแค่สองคนเข้าป่าด้วยกัน ไปตลาดนัดขายด้วยกัน พอได้เงินมา เขาก็จะแบ่งกับต้าเป่าแบบสี่หก แต่หลังจากบ้านเถียนไม่ยินยอม เขาก็ไม่ได้พาต้าเป่าขึ้นเขาต้าซื่อฝึกกระบี่กับล่าสัตว์อีก แต่ว่ามีไปแถวเขาซิ่วเฟิงบ้างบางครั้ง ก็ล่าสัตว์ได้มาบ้างไม่น้อย เพียงแต่ขายได้ราคาถูกหน่อยเท่านั้น
……
วันนั้นเพิ่งเลยเที่ยงมา คนงานร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นก็ขับรถม้านำเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ปักภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุราต้องใช้ทั้งหมดมาส่งถึงมือซูสุ่ยเลี่ยน และมอบจดหมายที่เถ้าแก้ร้านเจียงอิ้งอวิ๋นเขียนด้วยตนเอง ก็คือหนังสือเชิญ
ความว่า จากนี้ไปหากแม่นางซูสุ่ยเลี่ยนรับ ก็จะเป็นหัวหน้าช่างปักของร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น ไม่ต้องไปทำงานที่ร้านปัก เลือกงานปักได้อิสระ ทุกเดือนไม่ว่ารับงานปักหรือไม่ ก็จะมีเงินค่าจ้างหนึ่งตำลึงประจำเดือน นอกจากนี้งานปักที่รับนั้นยังคงให้ค่าตอบแทนและรางวัลตามสัญญาแยกเฉพาะงานทุกครั้ง
ซูสุ่ยเลี่ยนอ่านแล้วก็พูดไม่ออก ทำเช่นนี้มีผลดีอะไรกับร้านปักกัน
ไม่ว่านางรับหรือไม่รับงานปัก ทุกเดือนก็มีรายได้หนึ่งตำลึง หากรับงานปัก ค่าตอบแทนและเงินรางวัลของงานปักก็ยังใช้รูปแบบการคิดเงินเหมือนเดิม เช่นนั้นร้านปักใช่ว่าเสียเงินเดือนละหนึ่งตำลึงให้นางกินเปล่าหรือ
“พวกเขาคิดรั้งเจ้าไว้” หลินซือเย่ากวาดตาอ่านหนังสือเชิญ ก่อนจะกล่าววาจาแสนมั่นใจออกมา ด้วยฝีมือปักยอดเยี่ยมอย่างที่สุดของซูสุ่ยเลี่ยน ไม่ว่าเซ็นสัญญากับร้านปักไหนก็ล้วนสร้างชื่อให้ร้านปักนั้น ส่วนความเร็วของการข่าวนั้นก็ย่อมขึ้นกับจำนวนงานปักที่นางรับทำแล้ว
ดังนั้นร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นจึงคิดจะชิงลงมือแย่งตัวซูสุ่ยเลี่ยนไปเซ็นหนังสือเชิญก่อนใคร ไม่ว่านางรับงานปักหรือไม่ หรือหนึ่งปีรับกี่ครั้งก็ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่บอกได้ชัด ก็คือทันทีที่เซ็นสัญญาเป็นหัวหน้าช่างปักเป็นลายลักษณ์ ซูสุ่ยเลี่ยนก็จะไม่รับงานปักร้านอื่นอีก
ใช่แล้ว ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นตั้งใจเช่นนี้
แน่นอน สำหรับซูสุ่ยเลี่ยน สัญญาพวกนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีผลเสีย ยังมีแต่รายรับที่มั่นคง และสำหรับร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น การทำเช่นนี้ก็ป้องกันความเสี่ยงที่ร้านปักผ้าอื่นจะมาชิงตัวนางไป
ดังนั้นสำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว หากซูสุ่ยเลี่ยนยอมรับงาน ก็ควรพูดได้ว่าเป็นเรื่องดีที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว