วางหนังสือเชิญหัวหน้าช่างปักผ้าลงบนโต๊ะหนังสือก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ[1] เท้าคางจ้องมองหนังสือเชิญ

ควรเรียกว่าวาสนาไหมนะ จากร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่วแห่งตระกูลซูมาสู่ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น ชีวิตนางเหมือนจะต้องเกี่ยวข้องกับการปักผ้าอย่างไม่อาจแยกจากกันได้

บางทีควรกล่าวว่าร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่วสร้างนางที่มีฝีมือปักล้ำลึกขึ้นมา จึงได้ทำให้นางยืนอยู่ท่ามกลางเมืองซูโจวในยุคสาธารณรัฐที่ดูแปลกแยกได้อย่างราบรื่น

หัวหน้าช่างปักผ้า? ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มมุมปาก ผละสายตาหยิบหนังสือเชิญใส่ตู้หนังสือ ในเมื่ออาเย่าให้นางตัดสินใจเอง เช่นนั้นนางก็ทำตามใจต้องการ รอให้ปักภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุราเสร็จค่อยตัดสินใจแล้วกัน

……

นางเปิดแบบปักภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุรา ตามคาด ไม่ต่างจากที่นางคาดเอาไว้ เป็นภาพฉากบังตา ‘หยางกุ้ยเฟยเมาสุรา’

ซูสุ่ยเลี่ยนจ้องสามภาพแบบปักที่เป็นภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุราในแบบที่แตกต่างกัน ตัวละครเอกอย่างหยางกุ้ยเฟย ภาพแรกนางยกจอกสุราเชื้อเชิญจันทรา ภาพสองเหมือนหลังดื่มไปแล้ว นางกำลังยกมือแตะเครื่องประดับบนศีรษะที่มีน้ำหนักรูปทรงอลังการ กำลังชมดอกเบญจมาศด้วยอาการมึนเมาสุราเล็กน้อย ภาพสุดท้าย นางถูกประคองเดินเข้าไปยังห้องด้านใน เหมือนจะเข้าไปพักผ่อนอิริยาบถ

ดูภาพแบบปักเสร็จ ปฏิกิริยาแรกของซูสุ่ยเลี่ยนก็คือ นี่น่าจะสำหรับงานปักฉากบังตาแบบหกบาน ไม่ใช่แปดบาน ไม่อย่างนั้นภาพรวมก็จะถูกแยกออก เพียงแต่งานปักเกือบห้าเมตรทำแค่หกบาน เหมือนว่าแต่ละบานจะกว้างไปสักหน่อย

ซูสุ่ยเลี่ยนลองกะสัดส่วนตัวละครและทิวทัศน์ในแบบปัก คิดว่าควรกะอย่างไรให้เหมาะสม จึงจะจัดให้ลงตัวกับงานปักแปดบานได้

พอคิดเช่นนี้ ภาพ ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ครั้งก่อนที่เอาไปทำภาพผนังดูจะผ่อนคลายกว่าไปเลย

อาจเพราะร้านปักต้องการทดสอบนางกระมัง ซูสุ่ยเลี่ยนเอียงคอครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ ส่วนใหญ่หากเป็นฉากบังตาก็จะทำเครื่องหมายแบ่งไว้บนแบบปักคร่าวๆ ว่าจะแบ่งบานอย่างไร

แต่การเป็นหัวหน้าช่างปักผ้าไม่เพียงแค่ต้องรู้จักเลียนแบบภาพให้เหมือน แต่ยังต้องคิดถึงแต่ละองค์ประกอบมารวมกันด้วย

ตามมาตรฐานที่ร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่วของนางจ้างช่างปัก งานออกแบบ วาดภาพ ปักผ้า ลงมือผลิต…ทั้งหมดทดสอบแล้ว ก็จะต้องมาดูภาพเดี่ยวและภาพรวม คนที่ได้คะแนนประเมินสูงสุดจึงจะชนะ

ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนในฐานะหลานสาวคนโตสายภรรยาเอกแห่งตระกูลซู หัวหน้าช่างปักผ้าห้าปีแห่งร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่ว ไม่ว่าวาดภาพ ปักผ้า หรือผลิตเป็นชิ้นงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานซูซิ่วก็ล้วนถือเป็นอันดับหนึ่งในทุกด้าน

เช่นนั้น แผนทดสอบเล็กๆ จาก ‘ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น’ ทำให้นางอับจนหนทางได้หรือ

ซูสุ่ยเลี่ยนหยิบพู่กันเล็กขึ้นลองกะขนาดแบบปักดูแล้วก็ทำเครื่องหมายเล็กๆ ที่นางมองออกเพียงคนเดียวลงไปอย่างมั่นใจ เช่นนี้จะไม่ทำลายความงามของแบบปัก และยังเตือนนางว่าปักถึงไหนต้องทิ้งช่องว่างเท่าไรเพื่อทำเป็นฉากบังตาในกรอบไม้ได้พอดี

นำสามภาพตัดออกเป็นแบบปักฉากบังตาขนาดแปดบานเท่าๆ กัน แน่นอนนางไม่ได้ทำลายภาพรวมของกุ้ยเฟยด้วยเช่นกัน ยังมีเชิงชายชุด ใบไม้ดอกไม้ที่จัดไปไว้ฉากบังตาอีกบาน แต่ยิ่งขับเน้นความมีเอกลักษณ์ตรงที่แต่ละบานมีความเกี่ยวเนื่องกันเป็นภาพต่อกัน

ถอนหายใจเบาๆ วางพู่กันลง นับว่าแบ่งแบบปักเป็นฉากบังตาแปดบานเสร็จแล้ว

จากนี้ก็จะได้เริ่มปักแล้ว

สีพื้นของภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุราน่าจะใช้ไหมสีไข่เป็ดอ่อนให้ดูดั้งเดิม ดังนั้นตามแบบปัก สีสันไหมปักแต่ละสีก็จะเข้ากันขับเด่นกับสีพื้นภาพมาก

ซูสุ่ยเลี่ยนดูภาพแบบไปก็เลือกสีเส้นไหมแต่ละสีไป แทบจะรวบเอาบรรดาเส้นไหมปักหลากแบบหลากสีจากร้านต่างๆ น้อยใหญ่ในเมืองฝานลั่วมากระมัง แม้แต่สีทองดอกซิ่งกับสีเงินวาวสองสีที่ครั้งก่อนนางหาไม่ได้ ก็มีด้วย นี่คือผลพลอยได้จากความลำบากปักผ้าครั้งนี้หรือ

ซูสุ่ยเลี่ยนแอบขำพลางส่ายหน้า ในใจคิดว่าครั้งนี้ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นแอบส่งสัญญาณเตือนนางว่าต้องปักหยางกุ้ยเฟยเมาสุราให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดกระมัง ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองฝานลั่วใช้สถานะอะไรไปข่มพวกนาง

ช่างเถอะ ถือว่าได้ทำเพื่ออาชีพงานปักที่นางรัก นางควรทุ่มเทแรงทั้งหมดปักมัน นับประสาอันใดกับตอนนี้นางได้แต่ต้องอาศัยอาชีพช่างปักสั่งสมเงินทอง

แม้ว่าหลินซือเย่าเน้นย้ำกับนางหลายรอบแล้วว่า ค่าใช้จ่ายในบ้านวันหน้าไม่ต้องให้นางมาแบกรับ นางแค่ทำสิ่งที่ชอบและไม่ทำลายสุขภาพตนเองก็พอ เช่นอ่านหนังสือยามว่าง ปักผ้าบ้างบางเวลา…และเป็นเพื่อนเขา…ข้อเสนอสุดท้าย นางอายจนต้องอุดหู แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

แต่นางไม่คิดว่าภาระในบ้านควรให้เขาแบกรับทั้งหมดคนเดียว นางก็ควรมีส่วน แม้ว่าลงนาไม่ไหว ขึ้นเขาไม่ได้ ทำงานใช้แรงไม่ได้ แบกน้ำไม่ไหว…แต่นางปักผ้าเก่ง งานปักประณีตงดงาม ในเมื่องานปักหาเงินได้ และยังไม่ทำลายสุขภาพที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ แน่นอนนางรับทำ และรับได้อย่างเต็มที่ จึงจะไม่เสียทีที่นางได้ฉายาว่าหัวหน้าช่างปักผ้าแห่งร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่ว

ดังนั้นอีกหนึ่งเดือนครึ่งจากนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็จะรับบทบาทอาชีพช่างปักภาพเต็มตัว

แน่นอนอาหารสามมื้อ และเวลาให้ย่อย ดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ…ขอเพียงเป็นคำขอก่อนหน้าของหลินซือเย่านางล้วนทำตามอย่างเป็นเด็กดี ไม่เพียงแต่เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงยืนยาว แต่ยังเพื่อให้นางมีอิสระในการทำงานปักได้ยืนยาว

ใช่แล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังปักภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุรา กำลังคิดตัดสินใจเซ็นสัญญารับงานเป็นช่างปักคนแรกของร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น

มีร้านปักผ้ามั่นคงยิ่งใหญ่หนุนหลังเคียงข้างนางไม่มีอะไรไม่ดี นับประสาอันใดกับการที่พวกเขาเสนอเงื่อนไขเสียเปรียบทำเอานางซาบซึ้งใจยิ่ง เดือนละหนึ่งตำลึงนะ! นางควรรู้สึกพอไม่ใช่หรือ

ค่าใช้จ่ายในบ้านครึ่งปีมานี้ ซูสุ่ยเลี่ยนรู้แล้วว่าเงินหนึ่งตำลึงมีค่าในการใช้จ่ายมากเพียงใด

นางกับหลินซือเย่าสองคน รวมกับลูกหมาป่าข้างนอกสองตัวที่กินแต่เนื้อ ทุกเดือนมากที่สุดก็ต้องใช้เงินสามร้อยเหรียญทองแดงถึงจะพอ ก็หมายความว่าหนึ่งตำลึง พวกเขาใช้ได้สบายๆ ไปถึงสามเดือนห้าเดือน ยังมีพวกค่าข้าวกับแป้งสาลีที่ต้องซื้อหามาอีก แต่หากปีหน้าที่นาสองหมู่ของพวกนางเก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์ดี ก็จะประหยัดเงินเข้าไปอีกใช่ไหม

คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดตบแก้มตนเองไม่ได้ จริงๆ เลย นางกลายเป็นคนช่างคิดคำนวณเช่นนี้ไปตอนไหนกัน! ไม่ลองคิดดูบ้างว่าหลายครั้งที่บนโต๊ะอาหารมีจานเนื้อ ล้วนเป็นอาเย่าเสี่ยงภัยไปจับไปทอดแหมา

คิดถึงเงินทองที่เขาล่าสัตว์ไปขายได้มาล้วนให้นางเก็บไว้หมด ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดแย้มยิ้มมุมปากไม่ได้

หลินซือเย่าช่างใส่ใจนางมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรในบ้านหรือลงนาเพาะปลูก เขาล้วนทุ่มเททำทั้งแรงกายแรงใจ แม้แต่การรับต้าเป่าเป็นศิษย์ เขาก็ทุ่มเทความเมตตาและความเข้มงวดจนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

ชายเช่นนี้ย่อมเคยประสบความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้ยอมละทิ้งอดีต ละทิ้งสถานะ ยอมมาอยู่บ้านนาห่างไกลเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับนาง เป็นแค่ชาวนาธรรมดาสามัญ นางควรรู้จักพอใจในชีวิตและเสพวาสนาสุขนี้

เหตุนี้เอง นางจึงยิ่งคิดจะอาศัยสองมือคู่นี้สร้างครอบครัวแสนอบอุ่นนี้ให้ยิ่งงดงามและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ใช้ชีวิตอยู่เมืองฝานฮัวกับเขาไปอย่างเรียบง่ายสงบสุข มีลูกหลานสืบทอดและใช้ชีวิตไปจนแก่เฒ่าพร้อมกันกับเขา…

—————————–

[1] เก้าอี้ไม้แบบจีนโบราณที่มีที่เท้าแขน