ตอนที่ 36.2 ข้ามีแผนสำรอง (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

เมื่อกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วก็เห็นศิษย์น้องหญิงน้อยของเขากำลังฝึกฝนอยู่

หลี่ฉางโซ่วนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้พักหนึ่ง ต่อมาก็ส่ายศีรษะและอวยพรให้จิ่วอูโดยหวังว่าเขาจะมีบุตรในไม่ช้า และไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว ก็ขอให้พวกเขาสูงแปดฉื่อ

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็หันหลังกลับ ไปทำงานวุ่นวายของเขาต่อไป

เขาเริ่มสร้างกรงฟาราเดย์แบบพับได้ชุดใหม่

เมื่อเห็นการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของอาจารย์แล้ว มันก็พิสูจน์ได้ว่ากรงฟาราเดย์สามารถป้องกันและลดพลังสายฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้กรงที่สร้างขึ้นสำหรับอาจารย์จะถูกพลังแห่งเต๋าสวรรค์ทำลาย หลังจากต้านทานสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์สายแรก แต่เขาก็รู้ว่ามันยังอยู่ในขอบเขตที่เต๋าสวรรค์อนุญาต

หนึ่งกรงฟาราเดย์สามารถต้านทานสายฟ้าได้เพียงหนึ่งสาย?

เช่นนั้นเขาก็จะเตรียมกรงฟาราเดย์เก้ากรง เป็นไปได้ไหมที่จะรอดจากทัณฑ์สวรรค์โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ?

ในเรื่องนี้หลี่ฉางโซ่วทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าและยิ้มออกมา

สำหรับอาจารย์ของเขา การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์หมายถึงการเผชิญหน้ากับหายนะและความตาย ทว่าสำหรับหลี่ฉางโซ่วแล้ว ตราบใดที่เขาสามารถมั่นใจได้เก้าในสิบส่วนว่าเขาจะไม่ตาย มันก็จะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการได้ประโยชน์สูงสุด ที่เขาเคยได้รับจากเส้นทางการฝึกบำเพ็ญของเขา!

ประการแรก ทัณฑ์สวรรค์เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญที่จะทำลายรังไหม เปลี่ยนจากหนอนผีเสื้อให้กลายเป็นผีเสื้อ ซึ่งหมายถึงการกลายเป็นเซียนจริงๆ

เมื่อสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ฟาดลงมา วิญญาณก็จะถูกทำให้บริสุทธิ์ขึ้น

ร่างมนุษย์จะกลายเป็นอมตะ และวิญญาณจะก่อตัวขึ้นใหม่เป็นเซียน ผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้จะก้าวเข้าสู่โลกใหม่ทั้งหมด และในขณะนั้นเขาก็จะกลายเป็นดั่งมดที่แข็งแกร่งขึ้นในโลกบรรพกาล

ประการที่สอง ทัณฑ์สวรรค์ยังเป็นโอกาสที่จะได้เผชิญกับเต๋าสวรรค์โดยตรงอีกด้วย

หากผู้บำเพ็ญสามารถตระหนักรู้บางอย่างได้ในขณะที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ก็จะมีโอกาสที่พวกเขาจะมองเห็นวิวัฒนาการแห่งวิถีบำเพ็ญเพียรของพวกเขาในอนาคตข้างหน้าในระหว่างความเป็นและความตายนั้น จากนั้นพวกเขาก็อาจจะสามารถ ‘ทะยานขึ้น’ ไปได้จริงๆ

มีบันทึกในสำนักตู้เซียนแสดงให้เห็นว่า ปรมาจารย์หว่างฉิงได้บุกทะลวงเข้าไปในขอบเขตเซียนเสิ่นภายในครึ่งชั่วยามหลังจากข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้วโดยได้ก้าวกระโดดข้ามผ่านขอบเขตเซียนหยวน ทว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้ส่งผลให้รากฐานไม่เสถียรเท่านั้น แต่เขายังคงก้าวหน้าต่อไปในเส้นทางการฝึกฝนของเขาด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้

ตามบันทึกในตำราโบราณนั้น ยังได้บรรยายถึงผู้บำเพ็ญที่ได้ทะยานขึ้นไปหลังจากข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในสมัยโบราณ และกระทั่งมีบางคนที่สามารถทะลวงผ่านขึ้นสู่ขอบเขตเซียนเทียนได้

แน่นอนว่าหลี่ฉางโซ่วไม่ได้คาดหวังสูงอะไรมากเช่นนี้ เขาเพียงต้องการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ซึ่งต่ำกว่ามาก

เขาเพียงต้องการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย และทำให้แน่ใจว่ารากฐานเต๋า ของเขาสมบูรณ์ไร้ที่ติเท่านั้น

เพื่อที่จะดำรงอยู่ยืนยาวได้ เขาต้องมีรากฐานมั่นคง!

เหตุผลที่หลี่ฉางโซ่วสร้างกรงฟาราเดย์เป็นตัวสำรองนั้นก็เพื่อป้องกันสายฟ้าสุดท้ายหรือสายฟ้าสองสายสุดท้าย

เขาต้องต้านทานสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์สองสามสายแรก เพราะเขาต้องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้เขายังมั่นใจเต็มที่ว่าเขาจะผ่านมันไปได้!

เพื่อป้องกัน ‘กลไกขัดข้อง’ กรงฟาราเดย์แบบพับได้นี้จึงเป็นกรงที่หกที่เขาทำในช่วงสองวันที่ผ่านมา

ด้วยอุปกรณ์อันทรงพลังนี้ เขาย่อมสามารถมั่นใจได้ถึงการเอาชีวิตรอดมากขึ้น ความจริงแล้วเขายังมั่นใจสูงถึงเก้าสิบเก้าในหนึ่งร้อยส่วน ว่าอย่างน้อยเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดจากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้

นอกจากนี้เขายังสามารถหาเวลาศึกษาพระสูตรนิรกรรมได้ และเมื่อเขาทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นเก้าด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง เขาก็สามารถมั่นใจได้ถึงเก้าสิบห้าในหนึ่งร้อยส่วนได้ว่าเขาจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้อย่างราบรื่น

และสิ่งเหล่านี้ย่อมเพียงพอที่จะทำให้เขายอมเสี่ยงชีวิต

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงแรกของวิถีการฝึกฝนของเขา เมื่อหลี่ฉางโซ่วคำนวณโอกาสที่เขาจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ เขาก็คิดอย่างไร้ยางอายอยู่สักหน่อยว่าเขาจะต้องทนรับกับสายฟ้าถึงเก้าสาย

เขากำลังกดดันตัวเองให้ต่ำและฝึกฝนอย่างหนักต่อไป

ทว่าเหตุใดถึงบอกว่าไร้ยางอายหรือ

อย่างไรก็ตามมีเพียงสุดยอดอัจฉริยะเท่านั้นที่จะเผชิญกับสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์เก้าสาย และหลี่ฉางโซ่วก็ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญอัจฉริยะ

เพียงแต่ในขณะที่คนอื่นพักผ่อน เขาก็จะใช้เวลาว่างทั้งหมดในการฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น

“อ้อ ใช่แล้ว! ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เร่งด่วน ข้าต้องรีบจดไว้ก่อน”

จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ และหยุดสร้างกรงของเขาทันที จากนั้นก็หยิบม้วนตำราหยกออกมาและใช้พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาในการเขียนชื่อและย่อหน้าที่ด้านล่างในนั้น

‘มารยาทที่ต้องปฏิบัติเมื่อเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์

ทัณฑ์สวรรค์ คือประสบการณ์สัมผัสเต๋าสวรรค์สำหรับผู้บำเพ็ญ แม้ว่าเต๋าสวรรค์จะเป็นกลางและไม่เห็นแก่ตัว แต่บรรพชนเต๋าอาจทำให้เต๋าสวรรค์ได้รับสัมผัสของมนุษยชาติเมื่อจะสร้างทัณฑ์สวรรค์ขึ้นมา

ตามหลักการการเลือกที่จะเชื่อว่าอะไรดีหรือไม่ดี แม้นข้าไม่แสวงหาคุณธรรมแต่ก็ไม่แสวงหาความผิด เมื่อเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ต้องเตือนตัวเองว่าไม่ควรให้นิ้วกลาง ไม่ควรสาปแช่ง ไม่ควรพร่ำบ่นถึงวิถีแห่งสวรรค์ในใจตน ข้าต้องคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ทัณฑ์สวรรค์เป็นโอกาสอันดีที่มอบให้แก่ตนเอง เป็นจุดตัดแห่งความเสี่ยงและโอกาส เป็นภัยพิบัติพื้นฐานที่พิสูจน์ว่าทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน

แล้วควรทำอะไรก่อนเมื่อเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ ก่อนอื่นข้าจะให้การคารวะเต๋าแก่ทัณฑ์สวรรค์…’

“ข้าควรจะพูดขอบคุณหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเต๋าสวรรค์ส่งสายฟ้าแรกฟาดลงมาในขณะที่ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการขอบคุณ” หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งแล้วเขียนต่อไปด้วยพลังปราณสัมผัสของเขา

หลังจากพิจารณาในรายละเอียดอย่างหนักและถี่ถ้วนแล้ว ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งและการสะสมวิชาเวทของเขาจะดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังต้องเตรียมพร้อมในด้านอื่นๆ เพื่อการต้านทานทัณฑ์สวรรค์หลายครั้ง

แน่นอนว่าด้วยพระสูตรนิรกรรม เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเกินไป

……

แล้วสี่วันก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลี่ฉางโซ่วทำงานมาสามวันครึ่งในหอโอสถของเขา และใช้เวลาอีกครึ่งวันที่เหลือเพื่อรวบรวมทุกอย่าง

ระหว่างเดินทาง เซียนเสิ่นสิบหกคนและศิษย์จำนวนสิบเอ็ดคนนั่งบนเมฆขาวขนาดใหญ่ แต่ละคนล้วนนั่งขัดสมาธิโดยระวังการจำกัดพื้นที่ของตัวเอง

เซียนเทียนสองสามคนขี่เมฆขาวเดี่ยวสองสามก้อนในท่าป้องกัน เมฆเหล่านั้นลอยอยู่ด้านบนเมฆขาวขนาดใหญ่ ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านล่างจากมุมสูงได้ทั้งหมด

ส่วนปรมาจารย์หว่างฉิงอยู่บนเมฆขาวรูปทรงบงกชที่ด้านหน้าของกลุ่ม

ด้วยมีปรมาจารย์มากมายคอยปกป้องพวกเขา หลี่ฉางโซ่วจึงรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง

หลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่ตรงหัวมุม เพลิดเพลินไปกับสายลมโชยอ่อนๆ บนท้องฟ้า พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขากำลังกวาดผ่านสำรวจไปทั่วสภาพแวดล้อมรอบกายของเขา เขาถือตุ๊กตากระดาษสองตัวเอาไว้ระหว่างนิ้วของเขา

ในฐานะผู้นำที่แท้จริงของกลุ่ม โหย่วฉินเสวียนหย่าจึงนั่งอยู่ด้านหน้า นางแต่งกายด้วยชุดสีแดงเพลิงตัวโปรดของนาง มีเครื่องประดับผมหางหงส์ที่ประณีตงดงามอยู่บนศีรษะ และเป็นอีกครั้งที่นางดูประหนึ่งบุปผาวิญญาณอัคคีที่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง ดูงดงามมีเสน่ห์และสูงส่งสง่างาม

ในฐานะผู้นำกลุ่มจอมปลอม หลี่ฉางโซ่วซ่อนตัวอยู่ที่ตรงมุมหนึ่งไกลๆ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะนั่งสมาธิ แม้เสื้อคลุมบนร่างกายของเขาจะสะอาดแต่ก็ดูธรรมดามาก ซึ่งบรรดาศิษย์ต่างๆ สามารถหามาได้โดยง่ายจากหอไป่ฝาน

ทว่าเห็นได้ชัดว่าโหย่วฉินเสวียนหย่าไม่ต้องการเป็นผู้นำในลักษณะนี้…ที่อยู่ข้างหน้าคนเดียวและตราไว้ด้วยภาพลักษณ์ของความเป็นเลิศ

เพียงครึ่งชั่วยามหลังจากที่พวกเขาเริ่มออกเดินทาง โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางสง่างาม นางถือกระบี่ขนาดใหญ่ และเดินไปยังพื้นที่ว่างถัดจากหลี่ฉางโซ่ว

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” โหย่วฉินเสวียนหย่าถามเสียงต่ำ “ข้าขอนั่งตรงนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วพลันคิดในใจว่า เจ้านั่งลงเถอะ แต่ข้าจะย้ายไปที่อื่นในภายหลังเอง

“ศิษย์น้องโหย่วฉิน อย่าได้มากพิธีเลย เชิญเจ้านั่งลงเถอะ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มพลางชี้ไปยังจุดที่ห่างจากเขาเล็กน้อย

โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าเบาๆ ยกกระโปรงของนางขึ้นเล็กน้อยแล้วนั่งลงขัดสมาธิอย่างสง่างามยิ่ง

แต่สายตาของหลี่ฉางโซ่วเหลือบไปมองมือของนางเข้าโดยบังเอิญ…

นางสวมถุงมือหนาพิเศษซึ่งดูไม่เข้ากับชุดกระโปรงยาวของนางเลย

ช่างมีความใส่ใจและรอบคอบจริงๆ

…………………………………………………………………