บทที่ 71 บรรพจารย์ที่พูดพร่ำไม่หยุด

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 71 บรรพจารย์ที่พูดพร่ำไม่หยุด

ท้องฟ้ากลางคืน แสงจันทร์สว่างกระจ่าง เมฆบางเคลื่อนคล้อย

แต่ที่นอกถ้ำยอดเขาที่หก บรรพจารย์สำนักวัชระยืนหันหลังให้กับแสงจันทร์ดูแล้วค่อนข้างหมองหม่น

ความกลัดกลุ้มของเขาเหมือนจะอึมครึมขึ้นอีกสามสี่ส่วนในความมืดนี้

ความจริงเขาไม่ได้ปวดใจกับทรัพย์สมบัติที่เสียไปสักเท่าไร เหตุผลที่ทำให้เขากระอักเลือดคือความโกรธแค้นที่สำนักถูกทำลาย

สำหรับหินวิญญาณพวกนั้น เขาแค่วางมันเอาไว้เฉยๆ ก็เท่านั้น

เรื่องที่เขากังวลจริงๆ คือศัตรูแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในสำนักเจ็ดโลหิตทุกวันๆ

ตอนนี้เขาเงยหน้ามองถ้ำข้างหน้าที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงตอบรับด้วยจิตใจร้อนรน

จวบจนเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ในที่สุดก็มีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากถ้ำ

“โหยวหลิงจื่อ ไม่พบกันเสียนาน”

สมญาเต๋าของบรรพจารย์สำนักวัชระคือโหยวหลิงจื่อ เพียงแต่ในพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นในสำนักหรือนอกสำนัก ส่วนมากล้วนเรียกเขาอย่างเคารพว่าบรรพจารย์ ดังนั้นสมญานามเต๋าของเขาจึงไม่ได้ยินจากปากของคนอื่นมานานมากแล้ว

ตอนนี้หลังจากบรรพจารย์สำนักวัชระได้ยิน สีหน้าก็มีร่องรอยนึกย้อนถึงความทรงจำ ถอนหายใจเสียงเบาออกมา

“ไม่เจอกันนานเลย”

ประตูหินที่ปิดสนิท ตอนนี้ก็ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ จากคำพูดที่ดังก้อง เผยให้เห็นความมืดเย็นเยือกข้างใน และในความมืดนั้นมีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาอย่างช้าเนิบท่ามกลางเสียงครึกๆ

ฝีเท้าของร่างนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ทุกย่างก้าวแข็งทื่อ จวบจนเมื่อเดินพ้นออกมา ใต้แสงจันทร์ก็เห็นว่านี่คือชายชราคนหนึ่ง สวมชุดนักพรตสีน้ำเงิน ใต้ผมสีดอกเลาเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมเข้มงวด

เขาเดินมาหยุดด้านหน้าบรรพจารย์สำนักวัชระ ตอนนี้ลมภูเขาพัดมา พัดเปิดชายเสื้อคลุมปลิว เผยให้เห็นขาทั้งสองข้างในนั้น มันไม่ใช่เลือดเนื้อ…

ขาสองข้างนั้นเป็นขาที่สร้างจากวัสดุหลอมอาวุธ สาดประกายแสงสีน้ำเงิน ยิ่งเพิ่มความเย็นชาใต้แสงจันทร์

“ในเมื่อไม่เจอกันนาน เช่นนั้นวันนี้เจ้ามาที่นี่…ด้วยเรื่องอะไรหรือ” ชายชราชุดสีน้ำเงินเงยหน้ามองเมฆบนฟ้ามืด เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ

ทั้งๆ ที่เขายืนอยู่กับบรรพจารย์สำนักวัชระ แต่กลับให้คนรู้สึกว่าเหมือนบรรพจารย์สำนักวัชระจะต่ำกว่าเขาหนึ่งขั้น

สีหน้าบรรพจารย์สำนักวัชระค่อนข้างทุกข์ระทม หลังจากเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็พูดเรื่องที่เกี่ยวกับสวี่ชิงขึ้นมา

“สำนักประสบเคราะห์ไม่คาดคิด…เจ้าโจรนั่นก่อนจากไปก็แย่งชิงทรัพยากรสำนักข้าไปอย่างโหดเหี้ยม ทั้งยังวางเพลิงอย่างชั่วช้า เผาสำนักวัชระของข้าเสียจนวอดวาย

“หากเจ้าเด็กนี่เป็นคนทั่วไปก็ช่างเถอะ ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร แต่ข้าจ่ายเงินมหาศาลสืบได้ว่าหลังจากที่มันฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้วก็เหมือนจะค่อยๆ ยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคง นี่ทำให้ข้าหวาดหวั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นึกถึงตำราโบราณที่เคยอ่านหลายปีมานี้พวกนั้นอยู่หลายครั้ง

“จากประสบการณ์ที่ข้าได้จากการอ่านตำราโบราณนับไม่ถ้วน เมื่อเปรียบเทียบแล้วก็พบว่า ในตำราโบราณกล่าวว่าคนเช่นนี้ส่วนมากล้วนมีชะตายิ่งใหญ่ที่ไม่อาจต้านทานได้ ตอนนั้นข้าเลอะเลือน ไม่ควรลงมือด้วยตัวเองร่วมกันผู้อาวุโสของสำนักเพียงสองคนเท่านั้น ข้าควรใช้กำลังทั้งหมดที่มีของสำนัก ไม่สนใจค่าตอบแทนใดๆ สังหารมันให้ได้ หรือไม่ก็เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร มอบของกำนัลแสดงคำขอโทษถึงจะถูก…

“เฮ้อ เสียดายที่พลาดจังหวะนั้นไปเสียแล้ว จากการวิเคราะห์ของข้า ก่อนที่เขาจะเติบโตขึ้อย่างสมบูรณ์ หากไม่สามารถสะกดเอาไว้ได้…เช่นนั้นในอนาคตข้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน!

“ข้ามีลางสังหรณ์อย่างรุนแรงว่า หากคนคนนี้ผงาดขึ้นก็จะต้องนำฝนคาวเลือดมาให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างแน่นอน ทำให้สำนักของเจ้าต้องเผชิญกับอันตราย ตำราโบราณล้วนเขียนเอาไว้เช่นนี้ ถึงตอนนั้นแค่เจ้าเด็กนี่พูดส่งๆ สำนักวัชระของข้าคงดับสลายกลายเป็นเถ้าธุลี”

บรรพจารย์สำนักวัชระพูดจบก็ก้มหน้าอย่างทุกข์ระทม

บรรพจารย์ชุดน้ำเงินที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาสีหน้าค่อยๆ แปลกประหลาดขึ้น เขามองเจ้าสำนักวัชระ ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า

“โหยวหลิงจื่อเอ๋ย ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เจ้า…เจ้าทำไมยังพูดพร่ำไม่หยุดแบบนี้ บุคคลตัวเล็กๆ มาอยู่กับเจ้าก็กลายเป็นชะตายิ่งใหญ่เสียได้ ทั้งยังจะนำฝนคาวเลือดมาให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิต เป็นภัยล้างสำนักอย่างนั้นหรือ คำพูดหนึ่งก็สามารถล้างสำนักวัชระของเจ้า เรื่องแบบนี้เจ้าก็จินตนาการออกมาได้…”

“เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเชื่อความรู้สึกของข้า…” บรรพจารย์สำนักวัชระถอนหายใจเช่นกัน

เห็นบรรพจารย์สำนักวัชระเป็นเช่นนี้ ชายชราชุดน้ำเงินส่ายหน้าเบาๆ เขาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับอีกฝ่าย เพียงแต่หลายปีก่อนมีการติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้ในใจก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก

“เด็กคนนี้เข้าไปอยู่ที่ยอดเขาใด”

“ยอดเขาที่เจ็ด…จากการที่ข้าทุ่มเงินมหาศาลสืบเสาะ เขาชื่อว่าสวี่ชิง เข้าไปอยู่ที่กรมปราบพิฆาต” บรรพจารย์สำนักวัชระรู้ว่าไม่สามารถปกปิดได้ เอ่ยตอบเสียงเบา

“หน่วยใดไม่สำคัญ เพียงแต่ลูกศิษย์ล่างเขาของสำนักข้าแม้จะเป็นการเลี้ยงกู่ ปล่อยให้พวกเขาสังหารกันเองเหมือนลูกหมาป่า แต่สำนักก็มีกฎบางข้อที่จะทำลายไม่ได้…”

พูดถึงตรงนี้ชายชราชุดน้ำเงินเห็นบรรพจารย์สำนักวัชระสีหน้าหมองหม่นก็ถอนหายใจพูดขึ้น

“ช่างเถอะ อย่างมากข้าจะช่วยเจ้าเตือนเด็กนี่ ให้เขาคายของที่เอาไปจากสำนักวัชระ หากไม่พอก็ให้เขาเอาของที่มีทั้งหมดในตัวมาหักกลบลบหนี้”

พูดจบก็หยิบแผ่นหยก ถ่ายทอดเสียงกำชับสั่งการ จากนั้นก็ชี้บรรพจารย์สำนักวัชระ

“เอาล่ะ สั่งการลงไปแล้ว แต่เจ้าน่ะ มีเวลาก็ไปฝึกฝนให้ดีเถอะ หลายปีมานี้ยังเป็นระดับสร้างฐานขั้นต้นไม่พัฒนา อย่าไปอ่านตำราโบราณซี้ซั้วพวกนั้นนัก วันๆ เอาแต่พร่ำบ่น หากเป็นแบบนี้ต่อไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะเกิดจิตมาร”

บรรพจารย์สำนักวัชระอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุด นี่ไม่เหมือนกับผลลัพธ์ที่เขาคิดเอาไว้ แต่เห็นอีกฝ่ายวาจาเฉียบขาด กระนั้นแล้วจึงได้แต่ถอนหายใจในใจ สุดท้ายก็ประสานหมัดโค้งคารวะ

……

กลางคืนไร้เรื่องจะกล่าว

วันที่สองเช้าตรู่ สวี่ชิงลืมตาขึ้นมาจากการนั่งสมาธิ ก้มหน้าดูถุงหนังข้างกายตัวเอง

นี่เป็นสิ่งที่หวงเหยียนมอบให้เมื่อคืนนี้ ในนั้นมีชิ้นส่วนอสูรกลายพันธุ์สามชิ้น

กระดูกทรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวสองชิ้น ขนนกหนึ่งอัน

บนนั้นมีประกายแสงสีแดงกะพริบ เหมือนจะเป็นชิ้นส่วนที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน กลิ่นอายไม่ธรรมดา น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวว่ามันไม่เกี่ยวกับการเสริมให้แข็งแรงขึ้น เป็นการเพิ่มพลังด้านวิชาเวทและความเร็วมากกว่า

“ไม่รู้ว่าขายจะได้หินวิญญาณมากี่ก้อน

“แล้วก็ยังมีลูกกลอนขาวของข้า สะสมไว้ได้เกือบพันเม็ดแล้ว…” สวี่ชิงสำรวจทรัพย์สินของตัวเอง เดินออกมาจากเรือเวท มาถึงร้านอาหารเช้าที่ไปทุกวัน

เจ้าของร้านอาหารเช้าเป็นชายกลางคน ไม่มีพลังบำเพ็ญ เป็นประชาชนทั่วไปในเมืองหลัก ใบหน้าซื่อๆ เมื่อเห็นสวี่ชิงก็ฉีกยิ้ม

เขามีจำเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาของกรมปราบพิฆาตคนนี้ได้ลึกฝังใจเป็นพิเศษ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่มีความโหดเหี้ยมในฐานะที่เป็นลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเลย อีกทั้งยังมีมารยาทมาก ด้วยเหตุนี้สวี่ชิงจึงไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารเช้า เถ้าแก่ก็นำซาลาเปาและไข่ตุ๋นมาให้ ทั้งยังแถมกับข้าวให้อีกหนึ่งจานด้วย

สวี่ชิงเอ่ยขอบคุณ นั่งตรงนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วละเลียดกิน ทุกวันนี้เขาคุ้นชินกับการใช้ตะเกียบแล้ว เมื่อกินจนเกลี้ยง ก็วางเหรียญวิญญาณไว้บนโต๊ะเหรียญหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นเดินไปยังกรมปราบพิฆาต

การขานทำงานของกรมปราบพิฆาตนั้นง่ายมาก แค่นำป้ายฐานะไปแตะที่หินอัคนีในลานใหญ่ของหน่วยปราบนิลกาฬก็ได้แล้ว

สวี่ชิงที่ทำทุกอย่างจนคุ้นชิน เมื่อขานชื่อทำงานเสร็จก็อาศัยช่วงที่ต้องเข้าเวร เดินอยู่บนถนนใต้แสงอาทิตย์ในยามสายนี้

บนถนนก็ได้เจอศิษย์กรมปราบพิฆาตบ้าง ส่วนมากล้วนทักทายเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ หลังจากศึกต่อสู้นกเขาราตรี สวี่ชิงก็มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในกรมปราบพิฆาต

ตอนนี้เดินอยู่บนถนน สวี่ชิงซื้อสาลี่สามสี่ลูก กินพลางเดินมุ่งหน้าไปยังร้านขายยาด้วย เขาคิดว่าจะขายลูกกลอนขาวก่อน แล้วค่อยดูว่าหลังจากที่ขายของที่หวงเหยียนให้เมื่อวานอย่างหนึ่ง สุดท้ายแล้วตัวเองยังขาดอีกเท่าไรจึงจะสามารถแลกซื้อกระดูกหัววาฬยักษ์ที่ต้องการได้

เวลาไม่นาน ร้านยาก็อยู่ข้างหน้าสวี่ชิงลิบๆ และยังคงเป็นร้านที่เขาซื้อขายสมุนไพรและยาลูกกลอนร้านนั้น คนเดินเข้าๆ ออกๆ คึกคักมาก

ก็นับว่าสวี่ชิงเป็นลูกค้าประจำแล้ว การปรากฏตัวของเขาทำให้เจ้าของร้านที่ยุ่งจนหัวหมุนเห็นทันที ดวงตาวาววาบ เดินออกมาจากโต๊ะรับลูกค้ายิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า

“ไม่เจอเจ้าสักพักแล้ว ครั้งนี้จะซื้อสมุนไพรหรือขายยาลูกกลอน”

“ขายยาลูกกลอน”

ได้ยินคำพูดของสวี่ชิง เถ้าแก่ก็ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นไปอีก เขาเพียงแค่กวาดตามองดูลูกกลอนที่สวี่ชิงเอาออกมาก็จ่ายยี่สิบหินวิญญาณออกไปอย่างไม่ลังเล

“ไม่ดูสักหน่อยหรือ” สวี่ชิงมองเถ้าแก่

“ลูกกลอนของเจ้าไม่ต้องตรวจสอบแล้ว” เถ้าแก่ยิ้มพลางโบกมือ

สวี่ชิงพยักหน้า เขามั่นใจยาลูกกลอนของตัวเองว่าทุกเม็ดล้วนคุณสมบัติยอดเยี่ยม ดังนั้นหลังจากที่ประสานหมัดโค้งคารวะแล้วก็เดินออกจากร้านไป

เห็นสวี่ชิงจากไปแล้ว เถ้าแก่ก็รีบหยิบแผ่นหยกออกมา หลังจากสื่อเสียงให้กับเจ้าของร้านแล้ว ก็เรียกลูกจ้างในร้านให้นำลูกกลอนของสวี่ชิงไปใส่ไว้ในกล่อง แล้วให้พวกเขารีบเอาไปส่งที่ยอดเขาที่สองทันที

ลูกจ้างในร้านคนนี้ก็หัวไวมาก รู้ว่าเจ้าของร้านเหมือนจะให้ความสำคัญกับลูกกลอนพวกนี้มาก ดังนั้นเมื่อออกจากร้านมาแล้วก็รีบวิ่งตะบึงไปทางลัดสู่ยอดเขาที่สอง

ไม่นานนัก กล่องใบนี้ก็ถูกส่งมายังถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขาที่สอง วางไว้ข้างหน้าเด็กสาวคนหนึ่ง

เด็กสาวดูแล้วอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด สวมชุดนักพรตสีส้มอ่อน นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างงดงามเย็นตา นางยกมือหยิบลูกกลอนเม็ดหนึ่งจากในกล่องแล้วยกขึ้นมาสำรวจ

ผิวของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาทั้งสองเหมือนน้ำใสบริสุทธิ์ ผมดำขลับรวบมวยอย่างองค์หญิง บนมวยผมปักปิ่นดอกไม้จากอัญมณี บนนั้นยังมีพู่ห้อย ฉายความปราดเปรียวมีชีวิตชีวาใต้แสงอาทิตย์

เด็กสาวคนนี้ก็คือเจ้าของร้านยา และก็เป็นคนที่สวี่ชิงเจอที่หน้าประตูร้านขายยาในวันนั้น

ตอนนี้เด็กสาวร้องเอ๊ะขึ้นมาจากการตรวจสอบ คิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววตกใจ

“ความบริสุทธิ์สูงขึ้นอีกหรือนี่”

ก่อนหน้านี้นางศึกษาลูกกลอนของสวี่ชิง พบว่าแม้ตัวเองจะทำได้เหมือนกัน แต่กลับทำไม่ได้ถึงขั้นนั้นทุกครั้ง ดังนั้นในใจจึงมีความอยากเอาชนะเล็กๆ

“ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดทำได้ ข้าในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญวิถีลูกกลอนไม่มีเหตุผลทำไม่ได้!”

มืองามของเด็กสาวเพียงสะบัด สมุนไพรแต่ละต้นก็ลอยมาจากรอบด้าน สีหน้าของนางฉายแววจริงจัง เริ่มหลอมลูกกลอน

ในขณะที่นางจะแข่งวิถีลูกกลอนกับสวี่ชิงอยู่ทางนี้ สวี่ชิงกลับกำลังเดินอยู่บนถนน มองร้านหลอมอาวุธของลูกศิษย์ยอดเขาที่หกรอบๆ คิ้วขมวดเล็กน้อยอย่างไม่อาจจับสังเกตได้ ดวงตาฉายแววสงสัย

เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ขณะเวลาเดินผ่านร้านค้าเหล่านี้ เถ้าแก่ร้านของยอดเขาที่หกหลายร้านเหมือนจะกวาดตามองมาที่ร่างของเขาทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ คล้ายว่าจะยืนยันอะไรบางอย่าง

แต่ก่อนไม่เป็นแบบนี้

“พวกเขากำลังสำรวจข้าอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงหรี่ตา ภาพที่ผิดปกตินี้ทำให้เขายิ่งระแวดระวังมากขึ้น ดังนั้นจึงล้มเลิกที่จะไปร้านของยอดเขาที่หกทุกร้าน

เขาไม่ได้เข้าไปขายวัตถุดิบในร้านใดทั้งนั้น แต่กลับมายังท่าจอดเรือที่เจ็ดสิบเก้า ฝึกบำเพ็ญด้วยความระแวดระวังสูงสุด

หลายวันผ่านไป ไม่มีคลื่นลมอะไรปรากฏขึ้น ในใจสวี่ชิงลังเล แต่ก็ยังคงระมัดระวัง ทุกวันฉวยโอกาสที่เข้าเวรต้องเดินผ่านร้านของยอดเขาที่หกทีละร้านก็แอบตรวจสอบอยู่หลายครั้ง

การสำรวจเขาแบบนั้นไม่เกิดขึ้นอีก แต่สวี่ชิงก็ยังคงไม่วางใจ รออีกหลายวัน หลังจากที่มั่นใจว่าปกติดีแล้ว จึงได้หาร้านที่ไม่เคยสำรวจเขามาก่อน เตรียมจะเข้าไป

เพราะอยากจะยกระดับเรือเวทจริงๆ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องไปร้านยอดเขาที่หกซื้อขายวัตถุดิบ และร้านยอดเขาที่หกที่เกี่ยวกับการหลอมเรือแทบทุกร้านล้วนอยู่ที่เขตท่าเรือเหมือนถูกผูกขาด ร้านของยอดเขาที่หกในเขตอื่น ล้วนไม่ทำกิจการวัตถุดิบเรือเวท

ดังนั้นแม้จะยังรู้สึกว่าไม่เหมาะอยู่นิดๆ แต่สวี่ชิงก็ยังคงจะเตรียมไปลองดูสักหน่อย

จากนั้น สวี่ชิงจึงเดินอยู่บนถนนด้วยความระมัดระวัง ฝีเท้าก้าวเร็วถี่ แต่ในตอนที่เขาจะถึงร้านที่เลือก ข้างหลังก็พลันมีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น

“สวี่ชิง”

สวี่ชิงหันกลับมา เห็นเงาร่างของเจ้าอ้วนน้อยหวงเหยียนอยู่ข้างหลังห่างออกไปไม่ไกลนัก

หวงเหยียนเห็นสวี่ชิงมาแต่ไกลแล้ว ตอนนี้กำลังโบกมืออย่างกระตือร้น วิ่งเร็วๆ ไปสามสี่ก้าว ก้อนเนื้อบนร่างกายสั่นกระเพื่อมตามจังหวะวิ่ง จนเมื่อมาอยู่ข้างหน้าเขาก็เอ่ยปากขึ้นอย่างได้ใจ

“สวี่ชิง เจ้ารู้หรือไม่ ศิษย์พี่หญิงข้าตอบจดหมายข้าแล้ว ฮ่าๆ ไปๆๆ วันนี้ข้ามีความสุข ข้าเลี้ยงไข่เจ้า”

พูดจบ เขาก็จะลากสวี่ชิงไป สวี่ชิงถอยหลังหลบ แต่นึกถึงความอัศจรรย์ของไข่ และเรื่องที่อีกฝ่ายเมื่อหลายวันก่อนยังมอบวัตถุดิบให้กับตน ดังนั้นจึงลังเลเล็กน้อย

“ข้าจะไปขายวัตถุดิบ”

“ขายวัตถุดิบรึ เจ้าขาดอะไร ข้าให้เจ้าเอง” หวงเหยียนเอ่ยอย่างใจป้ำ

สวี่ชิงส่ายหน้า

“ก็ได้ เช่นนั้นข้าไปขายวัตถุดิบกับเจ้า จากนั้นเจ้าก็ไปดื่มไข่กับข้า ตกลงตามนี้แหละ” หวงเหยียนใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข เห็นได้ชัดว่าร้อนใจอยากแบ่งปันกับคนอื่น พูดจบก็มองไปรอบๆ แล้วชี้ไปที่ร้านข้างๆ

“ร้านนี่แหละ ร้านนี้ข้าเคยไปหลายครั้ง ไม่เลวเลย”

สวี่ชิงหันไปมองร้านที่หวงเหยียนชี้ ร้านนี้เป็นร้านเป้าหมายครั้งนี้ของเขาเเหมือนกัน ในนั้นมีลูกศิษย์มากมายกำลังซื้อขายกันอยู่ สวี่ชิงสายตากวาดไปก็เห็นคนคุ้นเคยกันคนหนึ่ง เป็นจางซานนั่นเอง

เขาก็กำลังซื้อวัตถุดิบเหมือนกัน หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิงอยู่ข้างนอกร้านก็ยิ้มให้พลางทักทาย

“ไปเถอะ พวกเรารีบขายให้เสร็จๆ ดื่มไข่สำคัญที่สุด” หวงเหยียนพูดพลางมองสวี่ชิง

สายตาสวี่ชิงกวาดมองเถ้าแก่ในร้าน ไม่ลังเลอีกต่อไป ก้าวเดินเข้าไปทันที

ร้านนี้ใหญ่มาก มีทั้งหมดสองชั้น ในนั้นมีชิ้นส่วนอสูรกลายพันธุ์มากมายแขวนอยู่ ทุกชิ้นล้วนราคาไม่ธรรมดา ตอนนี้เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เถ้าแก่ร้านที่อยู่ข้างโต๊ะรับลูกค้าก็เงยหน้าขึ้นมา

เถ้าแก่คนนี้เป็นชายกลางคน มีหนวดตวัดซ้ายขวา ดูแล้วฉลาดหลักแหลมนัก ตอนนี้เขามองสวี่ชิง ยิ้มพลางเอ่ยถาม

“สหายทั้งสองต้องการซื้ออะไรหรือ”

“จะขายวัตถุดิบ”

สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง เดินไปที่หน้าโต๊ะรับลูกค้า หยิบวัตถุดิบออกมาจากถุงหนังภายใต้สายตาของเถ้าแก่ ไม่เพียงแต่ของกำนัลที่หวงเหยียนมอบให้เท่านั้น แต่ยังมีผลเก็บเกี่ยวที่เขาฆ่าคนร้ายบางอย่างด้วย

เถ้าแก่มองๆ สวี่ชิง แล้วกวาดตาดูวัตถุดิบที่วางอยู่บนโต๊ะรับลูกค้า พึมพำพลางหยิบขึ้นมาสามสี่ชิ้น หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดก็เงยหน้ามองสวี่ชิงอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึม แสงในดวงตาก็เฉียบคมขึ้นมา

“สหายน้อยผู้นี้ วัตถุของเจ้าพวกนี้ไม่ค่อยชอบมาพากล

“หลายวันก่อนเจ้าสำนักวัชระมาแจ้งกับยอดเขาที่หกของข้าว่าสำนักของเขาถูกขโมย ทรัพยากรจำนวนมากหายไป วัตถุของเจ้าพวกนี้…มีอยู่ในบันทึกคดี เป็นของที่หายไปของสำนักวัชระ สหายน้อย เจ้าเอาของโจรมาขายให้พวกเราหมายความว่าอย่างไร

“หรือคดีขโมยของของสำนักวัชระจะเกี่ยวกับเจ้า

“เป็นถึงลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่กลับไปขโมยของของสำนักวัชระอย่างนั้นหรือ”

เถ้าแก่เห็นได้ชัดว่าจงใจ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ดังไปทั้งร้าน ลูกศิษย์ยอดเขาต่างๆ ในร้านเงียบทันที พากันมองมาทางนี้

สวี่ชิงไม่แปลกใจ แค่ถอนหายใจเบาๆ ในใจเท่านั้น เขารู้สึกว่าตัวเองระมัดระวังมากพอแล้วจริงๆ แต่ก็ยังหลบไม่พ้นอยู่ดี ทว่าก็รู้ว่านี่เกี่ยวกับบรรพจารย์สำนักวัชระ จิตสังหารผุดขึ้นในใจทันที ความรู้สึกอันตรายรุนแรงมาก เขามองออกว่าคนที่ช่วยบรรพจารย์สำนักวัชระจะต้องเป็นบุคคลยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งของยอดเขาที่หกแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงกวาดมองคอของเถ้าแก่ร้านและวัตถุดิบต่างๆ ที่วางอยู่บนชั้นรอบๆ แล้วมองไปทางทะเล ไอเย็นเยียบในดวงตาใกล้ปะทุเต็มที ชั่งน้ำหนักในใจว่าจะลงมืออย่างเอิกเกริกแล้วจากไปหรือจะพยายามถกเถียงด้วยเหตุผลดี

แต่ในตอนที่สวี่ชิงกำลังชั่งน้ำหนักในใจ เจ้าอ้วนน้อยหวงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ดวงตาก็ถลึงเบิกกว้าง ร่างกระโดดขึ้นมา ตบโต๊ะรับลูกค้าอย่างรุนแรง จนเสียงปังดังลั่น

“ของโจร นี่ก็เป็นของโจรเหมือนกันหรือ”

เจ้าอ้วนน้อยหยิบกระดูกอสูรกลายพันธุ์ที่มอบให้สวี่ชิงเป็นของกำนัลในวันนั้นขึ้นมา ดวงตาแฝงด้วยความโมโหอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนว่าตัวเองถูกดูหมิ่นอย่างแสนสาหัส คำรามขึ้นมา

“ของนี่เป็นของของข้า เจ้ากล้าพูดว่าของของข้าเป็นของโจรอย่างนั้นรึ”

เจ้าอ้วนน้อยโมโหเดือดดาล โยนกระดูกในมือใส่หน้าเถ้าแก่ร้าน