บทที่ 72 หวงเหยียนที่น่ากลัว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 72 หวงเหยียนที่น่ากลัว

หวงเหยียนเสียงดังลั่น สายตาเผยความโกรธออกมาอย่างแรงกล้า ราวกับสำหรับเขาแล้ว ที่คำพูดเจ้าของร้านหยามหมิ่นไม่ใช่ตัวสวี่ชิง แต่เป็นตัวเขาเอง

ถึงอย่างไรในของบนโต๊ะนั่น ก็มีอยู่สามชิ้นที่เขามอบให้กับสวี่ชิง

เผชิญหน้ากับความโกรธของหวงเหยียน สีหน้าเถ้าแก่ก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น มือขวายกขึ้นตะปบคว้ากะโหลกที่อีกฝ่ายโยนเข้ามาหาตนเองไว้

ขณะที่ถือกะโหลก เขาก็มองหวงเหยียนเย็นชาผาดหนึ่ง

ในใจแอบพูดว่าเจ้านี่ไม่ได้ออกจากกรมทดน้ำมาแปดปี เอาแต่ไล่ตามศิษย์พี่หญิงที่ไม่รู้ว่าเป็นสาวบ้านนอกคอกนาคนใด ส่งของขวัญให้ไปจำนวนมาก จนใครๆ ก็รู้ไปทั่ว จนกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ในเมื่อตอนนี้อยากจะหาเหาใส่หัว เช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน

จึงเอ่ยขึ้นแช่มช้า

“เจ้าพูดมาถูกต้อง นี่เป็นของโจร ดูท่าเจ้าเองก็จะเป็นพวกในคดีลักทรัพย์ของสำนักวัชระด้วยสินะ พวกเจ้า ไปรายงานกรมปราบพิฆาตเสีย คนร้ายคดีลักทรัพย์สำนักวัชระโผล่ออกมาติดกับเองแล้ว”

พนักงานในร้านทำท่าทำทางล้วงแผ่นหยกสื่อเสียงออกมาตามคำ หลังมองไปทางเถ้าแก่ ในใจก็เข้าใจว่าควรทำอะไร ดังนั้นจึงค่อยๆ ส่งสื่อเสียงแจ้งความไป

เวลานี้ศิษย์ยอดเขาต่างๆ ในร้าน แต่ละคนสายตาล้วนมีประกาย จ้องมองฉากตรงหน้านี้

ศิษย์ที่ฝากตัวเข้าเจ็ดเนตรโลหิตและยังเอาตัวรอดในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ได้ ส่วนใหญ่สติปัญญาล้วนไม่ธรรมดา ลูกไม้ง่ายๆ แค่นี้ แน่นอนว่ามองออกอย่างชัดเจน แต่ก็ล้วนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าจุดสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่คดีลักทรัพย์สำนักวัชระ แต่เป็นเพราะ…ยอดเขาลำดับหกมีคนต้องการจะหาเรื่องสวี่ชิงกับหวงเหยียนต่างหาก

ส่วนเรื่องที่ว่าจะทั้งสองคนหรือว่าคนใดคนหนึ่งก็ยังตัดสินไม่ได้ แต่รู้สึกว่าความเป็นไปได้น่าจะอยู่ที่สวี่ชิงที่ล้วงสิ่งของออกมา แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปาก กลับไปคอยดูอยู่ข้างๆ แทน จางซานเองก็เช่นกัน

สวี่ชิงไม่ได้ใส่ใจสีหน้าของคนอื่น เขาเวลานี้รู้สึกเกินคาดกับปฏิกิริยาของหวงเหยียนมาก แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพอใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ลึกซึ้งนัก ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายทำสวี่ชิงเกิดความสงสัยขึ้นมา

ขณะเดียวกันสำหรับเรื่องที่เถ้าแก่แจ้งกรมปราบพิฆาต รวมไปถึงท่าทีเสแสร้งของพนักงาน สิ่งนี้ยิ่งทำให้สวี่ชิงสงสัยขึ้นไปอีก ราวกับสถานการณ์นี้ เหมือนไม่ได้คิดจะเล่นงานตนเองให้ถึงตายอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้า

เพราะถ้าคิดจะเล่นงานตนเองจนตายล่ะก็ ลงมือกับตนเองเลยก็จบแล้ว ไม่จำเป็นต้องดึงกรมปราบพิฆาตเข้ามา ทำให้เรื่องซับซ้อนยิ่งไปอีก ศิษย์ด้านล่างภูเขาอย่างพวกเขาสำหรับคนระดับสูงแล้ว สังหารไปก็ไม่ใช่เป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกพรรคเรียกพล นี่มันไม่สมเหตุสมผล

เรื่องนี้ เหมือนคิดจะหยิบยืมโอกาสนี้มาเล่นงานตนเอง ให้ต้องไปติดต่อสำนักวัชระ

อีกเรื่องคือก่อนที่เขาจะเข้ามาในร้านเมื่อครู่ก็สังเกตรอบร้านดูแล้ว ไม่มีคลื่นพลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่เลย เวลานี้ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนมีผู้แข็งแกร่งมากอยู่

สวี่ชิงทำท่าเหมือนครุ่นคิด จากคำพูดของเถ้าแก่ที่จะแจ้งกรมปราบพิฆาต หวงเหยียนก็ส่งสายตาขุ่นเคืองออกไป

“กรมปราบพิฆาต? สวี่ชิงก็เป็นกรมปราบพิฆาต!”

“โอ้? รู้กฎแต่ก็ยังฝ่าฝืนกฎ อย่างนี้โทษก็เพิ่มไปอีกหนึ่งกระทง!” เถ้าแก่มองหวงเหยียน ขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นแช่มช้า

หวงเหยียนโมโหจัดจนหัวเราะ ตอนคิดจะเดินขึ้นหน้าไป ความสงสัยในใจสวี่ชิงต่อเรื่องนี้ยิ่งหนักขึ้น ยกมือขวางเขาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า

“หวงเหยียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

จากนั้นเขาก็มองไปที่คอของเถ้าแก่ สีหน้าเรียบเฉย เอ่ยขึ้นแช่มช้า

“สิ่งเหล่านี้เป็นสินสงครามที่ข้าได้มาจากตัวคนร้ายในประกาศจับ เจ้าไม่จำเป็นต้องมาใส่ความ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”

เถ้าแก่ระแวดระวังขึ้นทันที ปฏิกิริยาของสวี่ชิง ทำให้เขาตระหนักได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาตามที่คาดไว้ อันที่จริงหลังจากที่บนยอดเขาสั่งการเรื่องนี้ลงมา เดิมทีไปจะหาสวี่ชิงเพื่อให้เขาส่งคืนมาตรงๆ เลยก็ได้ แต่ศิษย์ที่รู้เรื่องนี้ซึ่งรวมเขาด้วย คิดจะหากำไรจากเรื่องนี้ ดังนั้นจึงกุเรื่องใส่ความขึ้นมา

ทว่าวันนี้ อีกฝ่ายมองแผนของตนเองออกอย่างชัดเจน อันที่จริงเขาก็เข้าใจนิสัยใจคอสวี่ชิงอยู่บ้าง รู้ว่าคนที่โดดเด่นในกรมปราบพิฆาต ไม่ใช่พวกเล่นด้วยง่ายๆ แน่นอน

และเขาในฐานะที่เป็นเถ้าแก่ เบื้องหลังมีคนคุ้มกันอยู่ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องคอยเลี้ยงกู่ ปกติแล้วศิษย์ด้านล่างภูเขาก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับคนแบบเขา

แต่ความเย็นวาบที่คอก็ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนความคิดในทันที ไม่คิดจะสร้างความขัดแย้งกับสวี่ชิงมากกว่านี้ ประกอบกับรู้สึกว่าเล่นงานไปมากเพียงพอแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะเอ่ยปากประนีประนอม เอ่ยเงื่อนไขที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้กับบนยอดเขาออกมา

แต่ตอนนี้เอง หวงเหยียนที่ถูกสวี่ชิงขวางเอาไว้ ก็คำรามออกมาด้วยความโกรธ

“สวี่ชิงเจ้าไม่ต้องช่วยข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า และเพ่งเป้ามาที่หวงเหยียนตัวข้าอย่างชัดเจน ข้ารู้แล้ว จะต้องเป็นเจ้าจงเหิงของกรมเคลื่อนย้ายคนนั้นแน่ เขาเกลียดข้า รู้ว่าข้าชอบมาที่นี่ ดังนั้นจึงสมคบคิดกับร้านนี้ คิดจะสาดโคลนใส่ข้า!”

เมื่อคำพูดหวงเหยียนออกไป สีหน้าเถ้าแก่ในร้านก็แปลกประหลาดขึ้นมา เหลือบมองหวงเหยียนลึกๆ เหมือนมองตัวประหลาด สวี่ชิงก็มองหวงเหยียนแบบเดียวกัน ดวงตาหรี่ลง เขาอยากจะแก้ปัญหา แต่หวงเหยียนก็เหมือนอยากจะดึงปัญหามาอยู่กับตัวเองเสียอีก

และขณะเดียวกัน หวงเหยียนก็ตบลงบนโต๊ะเสียงปังดังสนั่น พอคิดจะโวยวายต่อ ตอนนี้เอง ด้านนอกร้านก็มีเสียงย่ำเท้าพร้อมเสียงที่อึมครึมกว่าดังลอดเข้ามาด้วย

“ใครกันที่ยิ่งใหญ่เสียขนาดนี้” ระหว่างที่เสียงดังขึ้น ร่างเงาหลายร่างก็ย่ำเท้าเข้ามาในร้าน

สวี่ชิงหันหน้ากลับชำเลือง หรี่ตาลง

เงาที่ประตู เข็มกลัดสัญลักษณ์กรมปราบพิฆาตบนชุดนักพรตสีเทาสะดุดตา เปล่งประกายเย็นเยียบ คนที่มาเป็นศิษย์ของกรมปราบพิฆาต คนที่นำมาคือนายกองสามหน่วยพสุธา เด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่สวี่ชิงสะกดรอยมากว่าครึ่งเดือนคนนั้นนั่นเอง

ด้านหลังเขา มีสมาชิกกลุ่มสามอีกสี่คนติดตามอยู่ ตอนที่เดินเข้ามา เด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนี้ก็ชำเลืองตามองสวี่ชิง

“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง”

สวี่ชิงไม่พูดอะไร แต่ความระแวดระวังในใจลกับโถมขึ้นสูงสุด กรมปราบพิฆาตมาไวถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มาก็เด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเขาอีก นี่มันไม่ปกติเอาเสียเลย

เขารู้สึกว่าเรื่องวันนี้ซับซ้อนลึกเหลือเกิน มีเรื่องสามเรื่องรวมกัน เรื่องที่หนึ่งคือเถ้าแก่ร้านคิดจะเล่นงานตนเอง แต่ก็เป็นเพียงแค่เคาะตีเท่านั้น สามารถสะสางได้

เรื่องที่สอง คือหวงเหยียนเหมือนจงใจจะดึงเรื่องนี้เข้าไปหาตนเอง เป้าหมายไม่ชัดเจน

เรื่องที่สาม การมาเยือนของเด็กหนุ่มเผ่าเงือก บอกว่าบังเอิญได้ยากมาก

ดังนั้น ก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์ สวี่ชิงจึงไม่คิดจะบุ่มบ่ามทำอะไร

ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่เดินเข้ามาในร้านขาย ชำเลืองไปยังคนที่อยู่รอบๆ สายตามีความหยามหมิ่น

อันที่จริงการเข้าร่วมสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่ใช่เจตนาเดิมของเขา แม้ว่าเผ่าเงือกไม่ใช่เผ่าที่ใหญ่นัก แต่สถานะในเผ่าของเขาสูงส่ง บ่มเพาะใหเขามีนิสัยเย่อหยิ่ง โดยเฉพาะต่อเผ่ามนุษย์ เขารู้สึกดูถูกหยามหมิ่นจากก้นบึ้งจิตใจ

และเรื่องในวันนี้ หลังจากที่กรมปราบพิฆาตรับคดี เดิมทีควรจะเป็นหน่วยนิลกาฬมารับผิดชอบ แต่พอข้องเกี่ยวถึงสมาชิกหน่วยนิลกาฬ หน่วยนิลกาฬจึงเลี่ยงไป ดังนั้นจึงส่งมายังหน่วยพสุธา และพอเขารู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสวี่ชิง คิดไปถึงความชิงชังกับการแย่งความดีความชอบในวันนั้นจึงรับงานนี้ แล้วนำกลุ่มเข้ามาด้วยตนเอง

หลังจากเดินเข้าไป เขาก็ชี้ไปที่สวี่ชิงกับหวงเหยียน

“ในเมื่อเป็นคนร้ายคดีลักทรัพย์ของสำนักวัชระ และยังมีของโจรด้วย คนของกรมปราบพิฆาตอย่างข้าก็อยู่ เช่นนั้นก็พาพวกเขาไปขังแล้วไต่สวนที่กรมก็แล้วกัน”

หวงเหยียนที่อยู่ข้างๆ พอเห็นว่ากรมปราบพิฆาตมาถึงก็ไม่แยกไม่แยะ ความโกรธจึงระเบิดออกมา วิ่งไปหยุดระหว่างเด็กหนุ่มเผ่าเงือกกับสวี่ชิง จ้องมองเด็กหนุ่มเผ่าเงือกอย่างเคืองโกรธ คำรามเสียงต่ำออกมา

“เจ้าตาบอดหรือไรกัน ของของข้าคือของโจรหรือ”

ระหว่างที่พูด เขาก็หยิบถุงเก็บของของตนเองออกมา เอียงเทลงต่อหน้าคนทั้งหมด วัตถุดิบด้านในมากมายหลายอย่างก็ไหลลงมากองเป็นภูเขาขนาดย่อม น่าจะหลายร้อยชนิด

ในนี้มีวัตถุดิบจากอสูรกลายพันธุ์หลายชนิด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกกะโหลกกับขน เห็นได้ชัดว่ามาจากอสูรกลายพันธ์ตัวเดียวกัน

คนที่อยู่รอบๆ หลังจากที่เห็นก็ทยอยกันสูดปากถลึงตาโต พวกเขาล้วนเป็นพวกมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ รู้ว่ามูลค่าของวัตถุดิบเหล่านี้น่าจะอยู่ที่หลายพันหินวิญญาณ โดยเฉพาะตอนที่สังเกตเห็นว่าหวงเหยียนเองก็มีถุงเก็บของอยู่ด้วย ในดวงตาแต่ละคนก็เกิดประกายประหลาดกันขึ้นมา

“พวกเจ้าบอกว่าของของข้าเป็นของโจร แล้วของเหล่านี้ก็เป็นของโจรด้วยหรือไม่ สำนักวัชระซื้อไหวหรือ นี่เป็นอสูรโบยบินตัวหนึ่งเลยนะ กะโหลกที่ล้ำค่าที่สุด ข้ามีไว้มอบให้กับศิษย์พี่หญิงข้า พวกเจ้ากลับบอกว่าของของข้าเป็นของโจรหรือ!!”

พอเจ้าอ้วนน้อยพูดออกมา กลุ่มคนรอบๆ ก็ดวงตาเป็นประกาย สวี่ชิงเองตอนมองของเหล่านี้ ก็ยังสูดปากขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ

เขารู้ว่าหวงเหยียนร่ำรวย แต่ก็ยังถูกวัตถุดิบในถุงเก็บของของเขาสั่นสะเทือนไปเหมือนกัน

เด็กหนุ่มเผ่าเงือกเหลือบมองเถ้าแก่

เถ้าแก่เองก็ปวดหัว เขาเองก็ไม่คิดว่ากรมปราบพิฆาตจะมาเร็วเช่น ทำเขาเสียจังหวะ เวลานี้จึงมีสีหน้าลังเล แต่เมื่อลูกธนูพาดบนสายแล้วจะไม่ยิงก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นคอแข็ง

“ที่สำนักวัชระรายงานเข้ามา ก็พูดถึงอสูรโบยบินตัวนี้ด้วย!”

พอเห็นว่าสถานการณ์ลุกลามไปอย่างไม่น่าเชื่อ สวี่ชิงนิ่งงัน คอยสังเกตอย่างเย็นชา

“กะโหลกเองก็เป็นของโจร เจ้าให้ศิษย์พี่หญิงไปสินะ ที่แท้ก็ยังมีคนร้ายหญิงที่คอยช่วยฟอกของโจรอีกคนนี่เอง พวกเจ้ายังไม่จับกุมพวกเขาอีก เดี๋ยวกลับไปสอบสวนอย่างละเอียด แล้วก็จับคนร้ายหญิงคนนั้นไปในคดีด้วยกันเลย”

พอได้ยินคำพูดของเถ้าแก่ เด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา สมาชิกกลุ่มสี่คนด้านหลังเขา ก็เดินตรงไปหาสวี่ชิงกับหวงเหยียนทันที ในนี้คนหนึ่งเข้าประชิดตัวหวงเหยียน อีกสามคนพุ่งเข้าหาสวี่ชิง

“เจ้าต่างหากที่เป็นคนร้าย เจ้ามันเป็นคนร้ายกันทั้งบ้าน!” หวงเหยียนกระโจนตัวขึ้นมา ม้วนแขนเสื้อขึ้น พุ่งออกไปด้วยโทสะ

สวี่ชิงมองเย็นชาไปยังคนทั้งสามที่เดินเข้ามา เขาเดิมทีไม่อยากจะบุ่มบ่ามลงมือก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด แต่ตอนนี้อีกฝ่ายก็บีบคั้นเสียเหลือเกิน ก็เลยยกมือขวาขึ้นแล้วสะบัดลง

หยดน้ำรอบด้าน ระเบิดแรงกดดันที่รุนแรงออกมาทีละหยด ครืนครันขึ้นจนกลายเป็นแรงสะกดบดขยี้ ทำให้สมาชิกกลุ่มทั้งสาม หน้าเปลี่ยนสีกันหมด สายตาเผยความตกตะลึงออกมา ร่างกายเองก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ก้าวขาไม่ออกกันเลยทีเดียว

แม้วันนั้นพวกเขาจะไปรวบหัวรวบหางนกเขาราตรีด้วยกัน แต่ก็ไม่เห็นสวี่ชิงลงมือกับตา เพียงแต่ได้ยินคนอื่นพูดถึงเท่านั้น เวลานี้พอมาสัมผัสด้วยตนเอง ในใจแต่ละคนก็มีคลื่นยักษ์ถาโถม

“ก็แค่วิชาต่อต้าน” เด็กหนุ่มเผ่าเงือกยิ้ม เผยฟันที่แหลมคมเต็มปาก ร่างกายก้าวออกหนึ่งก้าว ความเร็วของเขาระเบิดเสียงขึ้นมาภายในร้าน พริบตาก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสวี่ชิง มือขวายกขึ้นตะปบไปทางคอของเขา

เล็บแหลมคมของเขาแผ่ประกายเย็นออกมา ถ้าเป็นคนอื่น คงจะมีปฏิกิริยาไม่ทันท่วงทีภายใต้ความเร็วเช่นนี้ แต่พริบตาที่เขาเข้ามาใกล้ เหล็กแหลมสีดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในฝ่ามือเขาแล้ว

แม้เขาจะเร็ว แต่สวี่ชิงก็เร็วกว่า ขณะที่เหล็กแหลมในมือสะบัด เท้าขวาก็บิดเข่าแทงเข้าไปที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือกอย่างแรง

เด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนี้ก็ถอยหลังกลับท่ามกลางเสียงครืนครัน เท้าขวาบิดแล้วใช้หัวเข่ากระแทกไปยังหัวเข่า

เสียงดังขึ้น ร่างของสวี่ชิงสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นกลับถอยกรูดไปถึงห้าก้าว ตอนเงยหน้าขึ้นมาในดวงตาก็เผยประกายกระหายเลือดอย่างตื่นเต้นขึ้นมา

“น่าสนใจ” ระหว่างที่พูด ในร่างกายเขาก็มีเสียงครืนครันออกมา คลื่นพลังวิญญาณรวมปราณขั้นเก้าวูบหนึ่ง ก็แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา และด้านหลังก็ปรากฏภาพมายาเงือกถือตรีศูลสีดำตนหนึ่งออกมา

นี่ไม่ใช่เลือดลมหลอมเป็นเงา นี่เป็นพลังพรสวรรค์ทางสายเลือดบนตัวเขา ขณะที่พลังปะทุขึ้น ร่างกายเขาก็พุ่งอีกครั้ง เข้าประชิดสวี่ชิงฉับพลัน สำแดงพลังออกมากับสวี่ชิงในร้านนี้โดยตรง

ทั้งสองคนปะทะกันเจ็ดแปดครั้งในพริบตา และทุกครั้งล้วนมีเสียงปะทะครืนครันดังก้อง จนทำให้ในร้านถูกคลื่นพลังไปด้วย ยังดีที่สถานที่นี้มีลงค่ายกลไว้ จึงไม่พังเสียหาย

แต่ฉากนี้ ก็ทำให้สีหน้าคนที่เลี่ยงออกไปรอบด้านทยอยเผยประกายร้อนแรงขึ้นมา

“พวกเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว!”

“นายกองสามคนนั้น เป็นพวกต่างเผ่า มีสายเลือดพลังพรสวรรค์ของเงือก ดูพลังของเขาเทียบได้กับศิษย์รวมปราณขั้นบริบูรณ์เลย ส่วนสวี่ชิง…ก็ยังน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้!”

“ก่อนหน้านี้ลือกันว่า หน่วยนิลกาฬมีคนที่ไม่ใช่ระดับหัวหน้าแต่สังหารหัวหน้าศัตรูลงไปคนหนึ่ง คิดแล้วก็น่าจะเป็นสวี่ชิงคนนี้!”

พอได้ยินคำพูดของกลุ่มคน หวงเหยียนที่หลบอยู่ข้างๆ ก็กระพริบตาปริบๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม แต่เพียงไม่นานก็สลายไป แล้วกลายเป็นสภาพระเบิดโทสะ คำรามก้องขึ้นมา

“สวี่ชิงสู้ๆ จัดการเจ้าปลานี่เสีย โทษฐานที่มาใส่ร้ายพวกเรา สังหารเขาเสีย คืนนี้พวกเราจะกินเนื้อปลากัน!”

ระหว่างเสียงครืนครัน ร่างของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็ถอยหลังอีกครั้ง มุมปากมีรอยเลือด ประกายกระหายเลือดในดวงตาแรงกล้าขึ้น เหมือนสำหรับเขาแล้ว เลือดสดยิ่งทำให้เขาตื่นเต้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีไม้ตายที่ยังไม่ได้ใช้ ตอนนี้จึงแสยะยิ้ม สองมือยกขึ้นเริ่มทำปางมือ

เพียงแต่เขาไม่ทันสังเกตว่าใต้เท้าของตนเองมีเงาของสวี่ชิงอยู่

สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบมาตลอด เวลานี้หรี่ตาลง จิตสังหารในดวงตาเปล่งประกายวาบ ขณะที่กำลังจะลงมือ จู่ๆ ด้านนอกก็มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านพุ่งเป้ามายังสถานที่แห่งนี้

“พวกเจ้าแค่ดูก็พอ” เด็กหนุ่มเผ่าเงือกยิ้มเหี้ยมเกรียม กลิ่นอายเหล่านั้นก็สงบลงมา และตอนนี้เองก็มีกลิ่นอายที่หวั่นเกรงยิ่งกว่าสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านนอกร้าน

ทันทีที่กลื่นอายปรากฏท่ามกลางเสียงครืนครันก็สยบกลิ่นอายไม่กี่สายของสถานที่แห่งนี้เมื่อครู่ลงไปอย่างราบคาบ

ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มเผ่าเงือกตกตะลึง ตอนที่หันหน้ากลับไปมอง สีหน้าก็เปลี่ยนไปในพริบตา สวี่ชิงเองตอนที่เงยหน้าขึ้น ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายด้านนอก ม่านตาหดลงฉับพลัน

เสียงเย็นชาของหญิงสาวเสียงหนึ่งก็ดังเย็นเยียบเข้ามาในร้านขณะเดียวกันก็มีเงาร่างหนึ่งเดินเข้ามา

“เมื่อครู่ที่นี่ ใครบอกว่าของของข้าเป็นของโจรกัน”

น้ำเสียงราวกับลมพายุ แช่แข็งคนทั้งหมดในร้านฉับพลัน ไม่ว่าจะเด็กหนุ่มเผ่าเงือก หรือว่าเถ้าแก่ของยอดเขาลำดับหกคนนั้น ก็ล้วนสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่เมื่อได้ยินประโยคนี้ ต้องมองไปยังคนที่เดินเข้ามาในประตูอย่างอดไม่ได้

นั่นเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ร่างกายสูงใหญ่ บึกบึนแข็งแกร่ง ผิวสีทองแดงปล่อยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา ผมยาวพัดสยาย ไม่มีความอ่อนช้อยงดงามแม้แต่น้อย แต่กลับมีความบ้าคลั่งเสียด้วยซ้ำ

นางสวมชุดนักพรตสีม่วงเข้ม ในมือถือกระบี่เล่มใหญ่สีดำที่ยาวถึงครึ่งจั้ง ขณะที่เดินมา ปลายกระบี่ก็ลาดขูดจนเป็นสะเก็ดไฟ กรีดพื้นอิฐ กรีดธรณีประตู

ฉากนี้ทำเอาคนทั้งหมดสูดลมหายใจลึก ไม่รู้ว่าใครที่โค้งตัวเป็นคนแรก พริบตาต่อมา กลุ่มคนก็ทยอยกันก้มหัวประสานหมัด เอ่ยขึ้นอย่างเคารพนอบน้อม

“คารวะองค์หญิงสอง!”

“คารวะองค์หญิงสอง!”

“คารวะองค์หญิงสอง!”

คนที่มา สถานะระดับองค์หญิงคนโตของยอดเขาลำดับเจ็ด มีอำนาจเด็ดขาดต่อศิษย์ด้านล่างภูเขา กระทั่งศิษย์คนหลักเอง นางก็ยังมีอำนาจที่จะปลดออก…ศิษย์สืบทอดลำดับสองของเจ้ายอดเขา!

“ศิษย์พี่หญิง ในที่สุดท่านก็มาแล้ว” หวงเหยียนที่อยู่ข้างๆ มุดออกมาจากที่ซ่อนอย่างตื่นเต้น วิ่งเข้าไปอย่างเริงร่า…