ตอนที่ 316 – กลับถึงสำนักอาจารย์
ด้วยคำนึงถึงศิษย์สร้างฐานพลังสองคน ฉินซีและโม่เทียนเกอเสียเวลาไปเจ็ดวันจึงถึงโรงเรียนเสวียนชิง
พอเข้าใกล้เขาไท่คัง ยังไม่ทันได้เข้าไปในม่านพลังใหญ่ป้องกันภูเขา โม่เทียนเกอเห็นเงาร่างของประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่หลายคนและอาจารย์เต๋าก่อเกิดตานหลายสิบคนกลางอากาศที่ไกล ๆ
นางมองฉินซีอย่างระแวง “นี่คือทำอันใด”
ฉินซีก็ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เห็นอู๋เต๋อและหลี่หยางสองคนยิ้มแย้มเบิกบานตอบว่า “ย่อมเป็นการต้อนรับโส่วจิ้งซือจู่แล้ว!”
“เอ๊ะ?” ทั้งสองคนล้วนตะลึงงัน ผูกจิตวิญญาณกลับมา ประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่หลายคนกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหลายสิบคนถึงกับล้วนมาต้อนรับ? ผู้ที่นำกลุ่มมายังเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดประมุขเต๋าเจิ้นหยาง! การจัดทัพนี้ก็ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ถึงจะเป็นซือฟุกลับเขาก็ไม่ได้มีการเรียงแถวกันอย่างนี้นะ!
กำลังอึ้งสติหลุด ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็นำกลุ่มคนอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมาต้อนรับ ยิ้มแย้มเบิกบานทักทายตั้งแต่ที่ไกล ๆ ว่า “โส่วจิ้ง เจ้ากลับมาแล้ว!”
ฉินซีได้สติกลับมา คารวะประมุขเต๋าเจิ้นหยางด้วยความเคารพ “เจิ้นหยางซือป๋อ” แล้วก็คารวะไปทางประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่ทั้งหลาย “ซือซูทุกท่าน”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางหัวเราะฮา ๆ “ไม่ต้องทำเช่นนี้ ๆ วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าเรียกซือป๋อซือซู ภายหลังต้องเปลี่ยนไปเรียกซือเกอซือเจี่ยแล้ว!”
ฉินซียิ้มหนึ่งที ไม่ได้เกรงใจอีก ในเมื่อเขาผูกจิตวิญญาณแล้วย่อมมีลำดับชั้นเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่าง นับแต่นี้ต่อไปเป็นประมุขเต๋าโส่วจิ้ง นามเรียกขานก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไป
เขาคารวะเสร็จแล้ว ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านั้นก็พากันคารวะ “น้อมพบโส่วจิ้งซือซู” ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหลายสิบคนน้อมคารวะโดยพร้อมเพรียง ทรงพลังยิ่งใหญ่โดยแท้
โม่เทียนเกอถูกภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าทำเอาตกตะลึง คนเหล่านี้รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังต้องเรียกซือซูซือป๋อ พริบตาเดียวก็ต้องเรียกฉินซีซือซูแล้ว ถึงแม้ไม่จำเป็นต้อนเรียกนางว่าซือซูด้วย แต่ถึงอย่างไรนางได้แต่งงานกับฉินซีแล้ว ยังคงจะเห็นนางเป็นคนรุ่นก่อน
แน่นอนว่าเรื่องดีที่นางกับฉินซีฝึกตนร่วมสัมพันธ์แล้วต้องกราบเรียนซือฟุก่อนจึงจะประกาศต่อสาธารณะ
ฉินซีค่อนข้างสงบนิ่ง ยังคงยิ้มบาง ๆ เอ่ยกับคนเหล่านี้ว่า “สหายร่วมโรงเรียนทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” พูดแล้ว เขาหันไปทางประมุขเต๋าเจิ้นหยาง “เจิ้นหยางซือป๋อ ศิษย์ไร้ข่าวคราวมาสิบปี ทำให้บรรดาอาจารย์กังวลใจแล้ว วันนี้เกลับเขายังลำบากทุกท่านมาต้อนรับ ช่างน่าละอายจริง ๆ”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ้มเอ่ยว่า “น่าละอายไม่น่าละอายอะไรกันเล่า สิบปีนี้เจ้าติดอยู่ที่ภูเขามารอันเป็นสถานที่อันตรายนั่น ไม่เพียงสุดท้ายหนีพ้นจากวิกฤต ยังผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ ขจรขจายชื่อเสียงโรงเรียนเสวียนชิงเราไปไกล วันนี้ต้อนรับเจ้าเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว!”
“……” ฉินซีไร้วาจาไปชั่วขณะ เขาเก็บงำตัวเองมาเสมอ เรื่องการจัดการกับผู้คนไม่ได้เชี่ยวชาญนัก ประมุขเต๋าเจิ้นหยางจัดการเรื่องราวอย่างให้ความสำคัญเช่นนี้ ถึงจะเป็นการเห็นความสำคัญของเขา แต่ก็ทำให้เขาอึดอัดไปทั้งตัว
ความอึดอัดของเขาประมุขเต๋าเมี่ยวอีดูออกแล้ว ขณะนี้ยิ้มเอ่ยกับประมุขเต๋าเจิ้นหยางว่า “เจิ้นหยางซือเกอ โส่วจิ้งเพิ่งจะเร่งกลับมา เกรงว่าจะเหนื่อยแล้ว มิสู้ ให้เขาไปพักผ่อนก่อนเถิด มีธุระไว้ภายหลังค่อยว่ากัน”
“อ้อ ใช่!” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางตบศีรษะตัวเอง ยิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยว่า “โส่วจิ้ง พวกเจ้ากลับยอดเขาชิงฉวนไปพักผ่อนก่อน ไปพบซือฟุของพวกเจ้า เห็นว่าพวกเจ้ากลับมา จิ้งเหอซือตี้จะต้องดีใจมาก”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางหนักแน่นเสมอมา พฤติกรรมในวันนี้ ทั้งหมดคือดีใจจนตาลายแล้ว
โม่เทียนเกอเห็นแล้วแอบขำ อันที่จริงจุดสำคัญไม่ใช่การที่ฉินซีผูกจิตวิญญาณเลย ทว่าเป็นจังหวะเวลาที่เขาผูกจิตวิญญาณมันพอเหมาะพอดี
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงถึงจะไม่เท่าสำนักเทียนเต้า แต่ผู้ที่อายุเยาว์มีมาก ศักยภาพสูง เพียงแค่ในด้านจำนวนถูกสำนักเทียนเต้ากดไว้หนึ่งช่วงศีรษะมาตลอด ความแข็งแกร่งก็ไม่เท่า บังเอิญว่า ภูเขามารเปิดครั้งที่แล้ว สำนักเทียนเต้าเสียผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หนึ่งคน ชื่อเสียงตกลง ไม่เพียงเชิดชูชื่อเสียงของโรงเรียนเสวียนชิงเป็นอันมาก ยังทำให้จำนวนของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่โรงเรียนเสวียนชิงในที่สุดก็ไล่ตามทันสำนักเทียนเต้า หากเป็นเช่นนี้ ทุกคนล้วนคาดการณ์ว่าผ่านไปอีกร้อยสองร้อยปี ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของสำนักเทียนเต้าสิ้นชีพไปคนสองคน โรงเรียนเสวียนชิงก็จะเป็นสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋อย่างไร้ข้อกังขาแล้ว!
สำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่นามเรียกขานหนึ่งเลย ผลประโยชน์ที่นำมาด้วยเห็นได้อย่างชัดเจน ก่อนอื่นคือพลังดึงดูดต่อผู้ฝึกตนซึ่งจะพุ่งเข้าหาชื่อสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋นี้ ผู้ฝึกตนจำนวนมากมาด้วยความชื่นชมชื่อเสียง พวกเขาสามารถเลือกศิษย์ที่ดีที่สุด มีศิษย์ที่ดีที่สุด ศักยภาพในการพัฒนาก็จะสูงกว่าสำนักอื่น ๆ เช่นนี้สำนักอาจารย์ก็จะรุ่งเรืองต่อไปเรื่อย ๆ
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางในฐานะหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดของโรงเรียนเสวียนชิง มีชีวิตมาเป็นพัน ๆ ปี เรื่องราวของโรงเรียนหัวหมุนมาหลายร้อยปีแล้ว เห็นอยู่กับตาว่าวันหนึ่งที่ตนเองอยู่ในอำนาจ โรงเรียนเสวียนชิงมีความหวังจะกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่ง จะไม่ดีใจจนตาลายได้อย่างไร
ต่อจากนั้นให้กำลังใจพวกเขาอีกหลายคำ แม้แต่อู๋เต๋อและหลี่หยางสองคนที่ติดตามพวกเขากลับมาก็พลอยอาบแสงได้รับคำชมเชยของหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดไปด้วย ตื่นเต้นจนแทบจะตาลายแล้ว
ทั้งสองคนจนใจอย่างยิ่ง ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดจึงหลบหนีออกมาได้ กลับยอดเขาชิงฉวน
พอถึงยอดเขาชิงฉวนก็เป็นซือเกอซือเจี่ยหลายคนพาศิษย์ของแต่ละคนมาต้อนรับ เสียเวลาพูดคุยเรื่องบางเรื่องไปอีกหน่อย ในที่สุดทั้งสองคนถูกปล่อยตัวไปวังซ่างชิง
“น้อมพบโส่วจิ้งซือจู่ ชิงเวยซือซู” เหยียบเข้าวังซ่างชิง มีสาวใช้ขึ้นหน้ามาทักทายทันที
โม่เทียนเกอกวาดสายตามองหนึ่งรอบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอถึงกับไม่ได้อยู่ในห้องโถงใหญ่!
“ซือจู่พวกเจ้าเล่า” ฉินซีถามออกมาแล้ว
โม่เหมยเป็นตัวแทนสาวใช้ทุกคนย่อตัวลงตอบว่า “ซือจู่อยู่ห้องกักตนเจ้าค่ะ”
ระดับการฝึกตนของประมุขเต๋าจิ้งเหอสูงยิ่ง การฝึกตนในยามปกติไม่กลัวคนรบกวน ด้วยเหตุนี้จึงนั่งฝึกตนอยู่ในห้องโถงใหญ่ดื้อ ๆ ทั้งปี แต่ ณ ขณะนี้เขาบาดเจ็บสาหัสกักตน ย่อมต้องไปที่ห้องกักตน
ฉินซีได้ยินคำพูดแล้วก็พยักหน้า “รู้แล้ว พวกเจ้าไปเถิด”
“เจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้คารวะอย่างนอบน้อมอีกครั้งแล้วจึงต่างคนต่างไปทำธุระของตัวเอง
ฉินซีหันหน้าไปมองโม่เทียนเกอ “ดูท่าอาการบาดเจ็บของซือฟุจะสาหัสมากจริง ๆ ถึงกับอยู่ห้องกักตน”
โม่เทียนเกอพยักหน้าเงียบ ๆ ตั้งแต่ที่นางเข้าโรงเรียนมาไม่เคยเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอเข้าห้องกักตน ถึงพูดว่าระยะนี้อยากฝึกตนก็จะตั้งกำแพงอาคมขึ้นในห้องโถงใหญ่เท่านั้น ห้องกักตนนั่นนางเพียงเคยได้ยินมา ไปก็ยังไม่เคยไป
“พวกเราไปดูกันก่อนเถอะ แต่หวังว่าซือฟุจะไม่เป็นไร” ฉินซีถอนหายใจเบา ๆ พาโม่เทียนเกอออกไปจากห้องโถงใหญ่ เดินเลี้ยวเจ็ดแปดรอบ สุดท้ายหยุดอยู่หน้าห้องศิลาที่ไม่สะดุดตาสักนิดห้องหนึ่ง
เห็นห้องศิลานี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่านี่จึงเป็นสถานที่ฝึกตนของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางอย่างแท้จริง ไม่ได้มีเครื่องประดับประดาส่วนเกินอันใด กำแพงอาคมหนักหนา ที่น่าเสียดายคือ โอกาสที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอสามารถใช้มันมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
หยุดอยู่หน้าห้องศิลาแห่งนี้ ฉินซีถอนหายใจอีกคำ พูดว่า “ครั้งที่แล้วที่ซือฟุเข้าห้องกักตนยังเป็นตอนที่ข้าเพิ่งเข้าโรงเรียน เวลานั้นซือฟุยังไม่ได้ไปถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางจุดสูงสุด กักตนอยู่บ่อย ๆ ภายหลังฝึกตนถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางจุดสูงสุด ไม่มีวาสนา จึงฝึกตนน้อยแล้ว พยายามทะลวงผ่านตรงสภาวะจิตใจ คิดไม่ถึงว่าการใช้ห้องกักตนอีกครั้งจะถึงกับเป็นสถานการณ์เยี่ยงนี้”
พูดแล้ว เขาประกบมือเข้าด้วยกัน ก่อตราประทับมือชุดหนึ่งอย่างรวดเร็วไร้ที่เปรียบ ตบลงบนประตูของห้องศิลา
ห้องศิลาขยับเล็กน้อย ผ่านไปพักหนึ่ง ภายในมีเสียงดังออกมาว่า “เป็นซีเอ๋อหรือ” น้ำเสียงถึงกับมีร่องรอยความชราบางเบา!
โม่เทียนเกอกับฉินซีสบตากัน ล้วนมองเห็นความตื่นตกใจในแววตากันและกัน
ฉินซีตอบรับว่า “ขอรับ ซือฟุ ข้ากับเทียนเกอกลับมาแล้ว”
เขาเปล่งเสียงออกมา ผ่านไปพักหนึ่ง ประตูห้องศิลาส่งเสียงครืน ๆ เปิดออกช้า ๆ
พร้อมกับที่ประตูศิลาเคลื่อนเปิด พวกเขาก็ได้เห็นว่า บนเตียงศิลาภายในห้องศิลานั่งไว้ด้วยประมุขเต๋าจิ้งเหอ ยังคงสวมมงกุฎทองชุดหรูหรา ยังคงสง่างามพลังกดดันผู้คน แต่ไหมดำเต็มศีรษะกลับกลายเป็นสีขาวแล้ว!
“ซือฟุ!” ทั้งสองคนร้องเรียกเป็นเสียงเดียว เดินไปข้างหน้าตัวสั่นเทา คุกเข่าลงข้างหน้าเตียงศิลาด้วยกัน เงยหน้ามองประมุขเต๋าจิ้งเหอที่เป็นเยี่ยงนี้
ไม่เพียงเส้นผมกลายเป็นสีขาวแล้ว คิ้วเคราก็สีจางลงเช่นกัน หางตาหน้าผากมีรอยย่นจาง ๆ เนื้อหนังที่มุมปากหย่อนคล้อยลง
เดิมทีรูปลักษณ์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอดูแล้วเพียงมีอายุประมาณสามสิบกว่าถึงสี่สิบ หน้าตาในตอนนี้จะต้องห้าสิบกว่าปีแล้ว! สรุปแล้วเป็นอาการบาดเจ็บเช่นไรจึงทำให้เขาชราลงไปเป็นสิบปีขนาดนี้?!
“ซือฟุ ทำไมท่าน……” โม่เทียนเกอพูดต่อไปไม่ได้อยู่บ้าง ถึงซือฟุคนนี้ชอบโมโหนางเสมอ แต่ในใจนางทราบถึงความดีที่มีต่อนาง ในชีวิตนี้ นอกเสียจากมารดากับท่านอารองที่ตายไปแล้วไม่มีคนที่รักนางอย่างเขาอีก เห็นซือฟุเป็นเช่นนี้ นางเพียงรู้สึกว่าใจถูกคนกรีดจนยากจะทดทาน
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยกสายตาขึ้นกวาดผ่านศิษย์สองคนนี้ที่คุกเข่าอยู่ข้างหน้าเขา กลับยิ้มออกมาบาง ๆ “อย่าห่วงเลย ซือฟุไม่ตายหรอก”
หลังพูดประโยคนี้ สายตาของเขาตกลงบนตัวของฉินซี เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “ซีเอ๋อ เจ้าผูกจิตวิญญาณจนได้”
ฉินซีเงยหน้าขึ้น กุมมือของประมุขเต๋าจิ้งเหอแน่น เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ซือฟุ อาการบาดเจ็บของท่านสรุปว่าเป็นอย่างไร มีวิธีการอะไร ต้องการโอสถอะไร ขอเพียงบอกพวกเรามา พวกเราจะต้องทำให้ท่าน”
“ใช่!” โม่เทียนเกอนึกขึ้นมาได้ อาการบาดเจ็บของซือฟุหากมีโอสถก็จะสามารถรักษาหาย ตรงนางนี่ไม่ได้ขาดเลย “ซือฟุท่านพูด ไม่ว่าจะเป็นโอสถประเภทอะไร มีความหวังก็พอ”
“เฮ้อ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจเบา ๆ เอื้อมมือไปลูบศีรษะของนาง คล้ายกับว่ายังเห็นนางเป็นเด็กน้อย “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นเช่นนี้ ต้องการโอสถอะไรยังกลัวว่าเจิ้นหยางซือป๋อของพวกเจ้าจะไม่เอามาให้เหวยซือหรือ ซือฟุถึงร่างกายรับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่เป็นไรเป็นการชั่วคราว เรื่องนี้ไว้ทีหลังค่อยพูดก็ได้ พวกเจ้าล่ะ มีเรื่องอะไรอยากบอกซือฟุ”
ฟังคำพูดนี้ ฉินซีขอบตาแดงขึ้นมา ดึงมือของโม่เทียนเกอ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ซือฟุ สิบปีนี้ ข้ากับเทียนเกอถูกขังที่ภูเขามาร โชคดีไม่ตาย ข้าผูกจิตวิญญาณใหม่แล้ว อีกทั้งเป็นสามีภรรยากับเทียนเกอแล้ว ตอนนั้นไม่สามารถกราบเรียนซือฟุ ยังหวังให้ซือฟุโปรดอภัย”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มแล้ว ยิ้มอันอ่อนโยนเมตตาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขามองดูศิษย์สองคนนี้ซึ่งนับว่าเป็นศิษย์สองคนที่รักมากที่สุด เอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเจ้าสามารถผูกพันเป็นสามีภรรยา ซือฟุดีใจยังแทบไม่ทัน ไม่ต้องขอขมาแล้ว”
เขาทอดมองฉินซี ถามว่า “ซีเอ๋อ ในเมื่อเจ้าผูกจิตวิญญาณใหม่แล้ว อีกทั้งฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับเทียนเกอ คิดว่าปมในใจแก้ออกแล้ว มารปรารถนาหายไปแล้ว ใช่ไหม”
ฉินซีกระซิบว่า “ขอรับ แต่ก่อนศิษย์ไม่เคยฟังคำแนะนำของซือฟุ ทำให้ซือฟุกังวลแล้ว”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเข้าใจก็ดี” เขาหันไปหาโม่เทียนเกออีก “เทียนเกอ เจ้าเล่า ในใจเจ้าปัจจุบันนี้มีห่วงและความลุ่มหลงหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอ “ซือฟุโปรดวางใจ ข้ากับซือเกอพูดคุยเปิดอกกันแล้ว ความเข้าใจผิดและลุ่มหลงเหล่านั้นไม่ได้คงอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “พวกเจ้าหายไปสิบปี ซือฟุเชื่อมาตลอดว่าพวกเจ้าจะกลับมา วันนี้พวกเจ้าในที่สุดไม่ได้ทำลายความคาดหวัง”
โม่เทียนเกอและฉินซีล้วนรู้สึกจิตใจสั่นสะเทือน
ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจอีกคำ “พวกเจ้าสองคน…… ช่างเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสามีภรรยาแล้ว ก็ไปฝึกตนให้ดี ๆ เถิด ซือฟุจะกักตนต่อแล้ว พวกเจ้าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมารบกวน ซือฟุยังคิดจะหายดีแต่เนิ่น ๆ แล้วพุ่งทะลวงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายนะ!”
……………………………
พอเห็นซือฟุที่ปกติพลังล้นเหลือกวนโทสะไปทั่วกลายเป็นสภาพนี้ เราใจหายอยู่เหมือนกันนะ