ตอนที่ 317 – สุ่ยหลินโป

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 317 – สุ่ยหลินโป

ออกจากห้องกักตนของประมุขเต๋าจิ้งเหอ อารมณ์ของโม่เทียนเกอและฉินซีล้วนหนักหน่วงอยู่บ้าง

ทั้งสองคนเดินไประยะทางหนึ่งแล้วหยุดลงพร้อมกันข้างเสาสลักโดยไม่ได้นัดหมาย

“เทียนเกอ……” ฉินซีร้องเรียกคำหนึ่ง อยากจะพูดแต่ลังเล

โม่เทียนเกอยิ้ม ถอนหายใจ เข้าใกล้ไปกอดเอวเขา เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ท่านคิดอะไรอยู่ข้ารู้ วางใจเถิด ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนหากมีอะไรที่ซือฟุสามารถใช้ได้ ข้าไม่งกเด็ดขาด”

ได้ยินคำพูดนี้ ฉินซีในใจสั่นไหว เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “เจ้าสามารถพูดเช่นนี้ก็ขอบคุณเจ้ามากแล้ว”

“ขอบคุณข้าทำอะไร” โม่เทียนเกอหัวเราะเบา ๆ “เขาเป็นซือฟุท่าน แล้วก็เป็นซือฟุข้า บนโลกนี้นอกจากท่านแล้วไม่มีใครที่ดีต่อข้ายิ่งกว่าเขา”

ฉินซีไม่พูดอะไรอีก เพียงกอดนางแน่น

เขารู้ว่าถึงนางจะมีความเด็ดเดี่ยวเฉยชาที่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งควรจะมี แต่ก็ให้ความสำคัญกับความรู้สึก ใครที่ดีต่อนาง ในใจจดจำไว้เสมอ อนาคตหากมีโอกาสก็จะตอบแทนเป็นสองเท่า

อาการบาดเจ็บของซือฟุ พวกเขาล้วนทราบว่าสาหัสอย่างยิ่งยวด แต่มิใช่ว่าไม่มีหนทางเลย มีหญ้าวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ฉินซียังรู้สูตรยามากมาย โอสถเหล่านั้น เจิ้นหยางซือป๋อไม่จำเป็นว่าจะเคยเห็นทั้งหมด

“รอสักครู่ พวกเรามาศึกษากันว่ามีโอสถอะไรที่สามารถให้ซือฟุรักษาบาดเจ็บ” โม่เทียนเกอพูดเสียงอ่อน

“อืม” ฉินซีตอบรับคำหนึ่ง นี่เป็นเรื่องเดียวที่พวกเขาสามารถทำเพื่อซือฟุได้ในขณะนี้

ในจิตหยั่งรู้ มีผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังคนหนึ่งเดินมาทางนี้ ทั้งสองคนล้วนไม่ขยับ

ในวังซ่างชิงนี้มีเพียงสาวใช้ สาวใช้เหล่านี้พบเห็นพวกเขาก็ไม่กล้ารบกวน

แต่ คนผู้นี้เห็นพวกเขาแล้วกลับส่งเสียงออกมาว่า “ท่านป้า! ซือฟุ!” น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีไร้ที่เปรียบ

ได้ยินเสียงนี้ ทั้งสองคนแยกจากกันอย่างรีบร้อน กลับเห็นเยี่ยเจินจียืนอยู่ในที่ไม่ห่างไกล มองพวกเขา แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา

“เจินจี!”

เยี่ยเจินจีปาดรอยชื้นที่หางตา พึมพำว่า “ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว…… ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องกลับมา……”

โม่เทียนเกอคิดถึงเรื่องราวที่เขาประสบในหลายปีนี้ที่อู๋เต๋อกับหลี่หยางเคยบอก แล้วยังเห็นเขาใบหน้าซูบตอบ ในใจเกิดความสงสาร ถึงเจินจีจะไม่ใช่ศิษย์ของนาง แต่ก็เป็นคนที่นางเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มากับมือ บอกว่าเป็นลูกของตนเองก็ไม่เกินเลยไป

“เจินจี เจ้าทำไมน้ำหนักลงมากขนาดนี้” นางจับชีพจรของเยี่ยเจินจี สำรวจเข้าไปในปราณแท้ กลับพบว่าบนร่างเขาไม่มีอาการบาดเจ็บ อีกทั้งพลังวิญญาณในร่างมั่นคง เป็นสร้างฐานพลังขั้นกลางแล้ว

ได้ยินนางถามประโยคนี้ เยี่ยเจินจีกลับก้มหน้าลงร้องไห้ขึ้นมา

ปีนั้นตอนที่เขาขาดประสบการณ์ นิสัยอ่อนแอเกินไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยร้องไห้ ท่าทางในวันนี้ทำให้โม่เทียนเกอกับฉินซีตระหนกจนสะดุ้ง

สิ่งที่โม่เทียนเกอคิดก่อนอื่นเลยคือเรื่องถูกขังที่อู๋เต๋อหลี่หยางพูด สิบกว่าปีนั้นของเขาได้รับการทรมานเหมือนไม่เป็นมนุษย์หรือไม่ พอเห็นพวกเขาก็เลยปลดปล่อยความขื่นขมจนถึงบัดนี้ออกมา

ฉินซีถอนหายใจ ถามว่า “เรื่องอะไรทำให้เจ้าทุกข์ใจเช่นนี้”

เยี่ยเจินจีปาดน้ำตา เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ซือฟุ ท่านป้า พวกท่านช่วยชีวิตหลินโป ช่วยข้าช่วยชีวิตหลินโปด้วย”

โม่เทียนเกอกับฉินซีแลกเปลี่ยนสายตากัน ล้วนงงงวย “หลินโป?” จากนั้นทั้งสองนึกขึ้นได้ว่า ที่เยี่ยเจินจีถูกอาจารย์เต๋าไป๋อวี้กักขังไม่ใช่เพราะสตรีนางหนึ่งหรือไร หรือว่าจะเป็นหลินโปผู้นี้

คิอถึงตรงนี้ ในใจทั้งสองล้วนครุ่นคิดลับ ๆ ว่า หรือเจินจีกับสตรีนี้มีความสัมพันธ์อะไรกัน

เยี่ยเจินจีเอ่ยว่า “หลินโป……พวกท่านตามข้ามา ข้าค่อย ๆ พูด”

เยี่ยเจินจีนำทางพวกเขา ก่อนอื่นถามทั้งสองคนว่าสิบปีนี้สบายดีหรือไม่ รู้ว่าพวกเขาแต่งงานเป็นสามีภรรยาแล้วก็ค่อนข้างดีใจ คิดว่าหลายปีนี้คิดตกแล้ว จากนั้นเขาเล่าประสบการณ์ของตนเองในหลายปีนี้คร่าว ๆ แทบไม่ต่างจากที่อู๋เต๋อหลี่หยางสองคนนั้นพูด คือถูกนักเดินทางไป๋อวี้นั่นกักขังจริง ๆ เนื่องจากก่อนที่เขาจะออกท่องเที่ยวฉินซีไม่วางใจ หยิบอาวุธเวทเครื่องรางหลายชิ้นให้เขาป้องกันตัว เขาในสิบกว่าปีนั้นแกล้งทำเป็นไร้ความสามารถ ได้รับความทรมานมากมาย หลอกล่อนักเดินทางไป๋อวี้นั้น สุดท้ายฉวยอาวุธเวทเครื่องรางสำรองมาสังหารเขา

ได้ฟังประสบการณ์เหล่านี้ โม่เทียนเกอและฉินซีล้วนค่อนข้างประหลาดใจ ถึงแม้พวกเขาล้วนรักใคร่เยี่ยเจินจี แต่รู้สึกมาตลอดว่าเขานิสัยอ่อนแอเกินไปหน่อย ยังไม่สามารถสำเร็จการใหญ่ คิดไม่ถึงว่าในภาวะวิกฤตถึงกับจะมีเล่ห์กลและพลังใจระดับนี้ ดูอย่างนี้ตอนแรกที่ให้เขาออกไปหาประสบการณ์นั้นถูกต้องแล้ว หากมิเช่นนั้นก็ไม่อาจปลดปล่อยศักยภาพของเขา

หลินโปในปากของเขานามว่าสุ่ยหลินโป เดิมเป็นคนตงไห่ ตงไห่ปั่นป่วนมาหลายสิบปี นางโชคดี ถึงกับหาพบเส้นทางทะลุผ่านภูเขามารมาถึงคุนอู๋โดยไม่ได้ตั้งใจ คุณสมบัติของนางไม่ได้ดีเลย ไร้หนทางจะเข้าไปในสำนักฝึกเซียนเหล่านั้น สตรีนางหนึ่งอยู่ที่คุนอู๋ดิ้นรนฝึกตนอย่างขมขื่น ภายหลังได้รับวาสนาอย่างไม่คาดฝัน เลื่อนระดับเป็นสร้างฐานพลัง

ผู้ฝึกตนสตรีสร้างฐานพลังนางหนึ่ง ไม่มีผู้หนุนหลัง ถึงแม้คุณสมบัติไม่ดี แต่กลับเป็นเตาหลอมที่ผู้ฝึกตนมากมายปรารถนา นางอยู่ที่เมืองคุนจงก็ถูกนักเดินทางไป๋อวี้เล็งเข้าอย่างนี้ บังเอิญเหลือเกิน วันนั้นที่นักเดินทางไป๋อวี้ลงมือจับตัวนาง เยี่ยเจินจีเดินผ่าน เคราะห์หามยามร้ายถูกนึกว่าเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มของสุ่ยหลินโป ก็เลยถูกบังคับไปด้วยกัน

ภายหลังค้นพบสถานะของเยี่ยเจินจี ถึงนักเดินทางไป๋อวี้จะรู้ว่าจับคนผิด แต่ก็ไม่กล้าปล่อยเยี่ยเจินจี กังวลว่าเขาจะเก็บความแค้นไว้ในใจ แต่ก็ไม่กล้าฆ่าเขาจริง ๆ กังวลว่าเขาทิ้งสิ่งของประเภทตะเกียงคู่ชีพอะไรเอาไว้ ถึงเวลาไล่สืบสวนขึ้นมาเขาก็จะซวยแล้ว เอาเขาไปขังไว้ในที่แห่งหนึ่ง ใช้กำแพงอาคมกักขังอย่างแน่นหนาเพื่อเลี่ยงไม่ให้คนอื่นติดตามร่องรอยมา

สุ่ยหลินโปที่ถูกจับมาด้วยกันนั่นก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไร ทำให้นักเดินทางไป๋อวี้เชื่ออย่างผิด ๆ ว่าวิญญาณอินของตนเองสูญเสียไปแล้ว ก็เลยถูกกักขังด้วย นางเป็นคนที่มีจิตใจดี เห็นว่าลากเยี่ยเจินจีมาพัวพัน หลายปีนี้ปกป้องเขาไม่น้อย ทำให้เขาได้รับความทรมานน้อยลงไปมากมาย ก็เพราะเหตุนี้ ทัณฑ์ทรมานที่นางได้รับสาหัสยิ่งกว่าเยี่ยเจินจี ภายหลังหนีออกมาก็บาดเจ็บสาหัสจนยากจะหายดีแล้ว

หลังจากเยี่ยเจินจีดึงดันพานางกลับมา โม่เทียนเกอกับฉินซีล้วนไม่อยู่ ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังบาดเจ็บสาหัสกักตน ตนเองยังดูแลไม่ไหว ถึงแม้ชีวิตของสุ่ยหลินโปจะรักษาไว้ได้เป็นการชั่วคราว แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนางจนหายดี

โม่เทียนเกอกับฉินซีฟังเรื่องพวกนี้แล้วหันมาสบตากัน ในใจล้วนมีการคาดคะเน พวกเขาสองคนในเมื่อผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน คิดว่าคงก่อเกิดความรัก ตกหลุมรักกันและกัน เจินจีจึงได้ตื่นตูมเช่นนี้ โม่เทียนเกอทอดถอนในใจยิ่งกว่า ที่แท้เจินจีเติบใหญ่แล้ว มีคนในใจแล้ว

“เจินจี” โม่เทียนเกอถาม “บนตัวเจ้ามิใช่มีโอสถรักษาบาดเจ็บที่ป้ามอบให้หรือ นางกินแล้วก็ไม่เห็นดีหรือ”

เยี่ยเจินจีส่ายหน้าอย่างหดหู่ “หลังจากพวกเราถูกจับตัว กระเป๋าเอกภพของข้าก็ถูกค้น โชคดีมากที่แอบซ่อนสิ่งของบางอย่างไว้ลับ ๆ ก่อนแล้ว ภายหลังฆ่านักเดินทางไป๋อวี้นั่นแล้วก็หากลับมาไม่ได้ แม้แต่อุปกรณ์เวทที่ซือฟุกับท่านป้ายกให้ข้าก็หยิบกลับมาไม่ได้……”

“ไม่มีก็ไม่มี” ฉินซีปลอบ “อุปกรณ์เวทซือฟุหลอมสร้างให้เจ้าใหม่ก็ได้”

เยี่ยเจินจียิ้ม เอ่ยเสียงต่ำว่า “ขอบคุณซือฟุ” หยุดไปชั่วครู่ เอ่ยต่อขึ้นมาอีกว่า “ภายหลังในที่สุดข้าก็ติดต่อซือเกอของสาขาเมืองคุนตง พวกเขาก็ส่งข้ากับหลินโปกลับมา…… ซือจู่ได้ยินเข้าก็เรียกตัวหมิงเจินซือป๋อมาเป็นการเฉพาะ หมิงเจินซือป๋อก็ไปที่เมืองคุนจง ถล่มสมาคมผู้ฝึกตนอิสระ……”

หมิงเจินเป็นศิษย์คนที่สามของประมุขเต๋าจิ้งเหอ เป็นหนึ่งในสามศิษย์ที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอรับมาแรกสุด เข้าระดับก่อเกิดตานมาสองร้อยกว่าปีแล้ว ปัจจุบันนี้เป็นก่อเกิดตานขั้นปลาย ทักษะรอบด้าน พลังกล้าแข็ง สมาคมผู้ฝึกตนอิสระถึงแม้ว่าจะมีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหลายคนเหมือนกัน แต่พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นที่เก่งกาจที่สุดสิ้นชีพที่ภูเขามาร นักเดินทางไป๋อวี้ก็ถูกเยี่ยเจินจีฆ่าไปอีก ไม่กี่คนที่เหลือนั่นไม่ใช่คู่มือแท้จริงเป็นอันขาด

แต่ว่า ประมุขเต๋าจิ้งเหอถึงจะชอบฆ่า แต่น้อยมากจะเกี่ยวพันถึงคนอื่น คิดว่าเจินจีถูกทรมานจนอเนจอนาถเกินไปจึงทำให้เขาโมโหจนกลายเป็นอย่างนี้

“ซือจู่ก็มอบโอสถให้หลินโป แต่หลินโปบาดเจ็บสาหัสเกินไป ก็ได้แต่รักษาชีวิตของนางเอาไว้ ข้ารู้ว่าซือจู่ ณ ตอนนี้ก็บาดเจ็บสาหัส ไม่กล้าไปรบกวนเขาอีก แต่อาการบาดเจ็บของหลินโป หมิงเจินซือป๋อและเสวียนอินซือจู่ล้วนไม่มีหนทาง ข้าไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร……”

พูดพลางเดินพลาง เดินมาถึงปากประตูของบ้านหมิงซินแล้ว เห็นเจินจีเปิดกำแพงอาคมของบ้านหมิงซิน โม่เทียนเกอถามว่า “ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่หรือ”

เยี่ยเจินตีตอบรับคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ซือจู่สงสาร ชมชอบที่หลินโปมีความกล้าหาญ ก็เลยให้นางอยู่ บอกว่าบ้านหมิงซินพลังวิญญาณสม่ำเสมอเหมาะแก่การรักษาบาดเจ็บ ให้นางอาศัยอยู่ที่นี่ ข้าเพื่อที่จะดูแลหลินโป ยามปกติก็อาศัยอยู่ที่นี่”

มองดูสีหน้าของเขา โศกเศร้าแต่สงบนิ่งมาก ใบหน้าเด็ก ๆ ที่เดิมชอบยิ้มแย้มก็นิ่งขึ้นหลายส่วน ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกปลาบปลื้มมาก “เจ้าเติบโตแล้ว เจินจี”

เยี่ยเจินจียิ้มบาง ๆ “ท่านป้า ข้าจวนจะแปดสิบปีแล้ว ควรจะเติบโตตั้งนานแล้ว”

โม่เทียนเกอก็ยิ้ม เจินจีสูงกว่านางมากแล้ว ปัจจุบันนี้หน้าตาก็โตกว่านาง มิใช่เด็กน้อยที่พึ่งพานางเสมออย่างในปีนั้นแล้วจริง ๆ

ทุกสิ่งของบ้านหมิงซินล้วนไม่แปรเปลี่ยน ตอนที่โม่เทียนเกอย้ายออกในปีนั้นเพียงเอาของใช้ประจำวันไป ปัจจุบันนี้แม้แต่เครื่องเรือนก็ไม่ได้เปลี่ยน

เยี่ยเจินจีนำทางพวกเขาไปถึงห้องพักผ่อน เปิดกำแพงอาคม ร้องเรียกเสียงอ่อนว่า “หลินโป?”

โม่เทียนเกอและฉินซีตามเขาเข้าไป ในห้องพักผ่อนเล็ก ๆ บนเตียงหยกเย็นปูไว้ด้วยพรมขนสัตว์อันอ่อนนุ่มหนึ่งชั้น สตรีเยาว์วัยหน้าตาซูบเซียวนางหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนเตียง หลับตา คล้ายกับกำลังรักษาบาดเจ็บ

โม่เทียนเกอพอเห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางบาดเจ็บที่ตานเถียนและชีพจรปราณ ดูอีกทีพลังวิญญาณทั่วร่างของนางอ่อนจาง กระจัดกระจายหายไปบ่อยครั้ง เดาว่าชีพจรปราณของนางเต็มไปด้วยรูพรุน ดังนั้นกักเก็บพลังวิญญาณเอาไว้ไม่อยู่

นางเดินขึ้นหน้า ดึงมือของสตรีนางนี้อย่างอ่อนโยน ถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปอย่างระมัดระวัง ยืนยันการคาดเดาของตนเองได้ตามคาด หากมิใช่ได้เห็นกับตาตัวเอง นางจะไม่กล้าเชื่อเลยว่ามีชีพจรปราณของผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่บาดเจ็บจนถึงระดับนี้ ตานเถียนก็เสียหายร้ายแรง หากมิใช่ว่ามีฤทธิ์ของโอสถที่ตกค้างอยู่ในตานเถียน เกรงว่าจะไม่มีชีวิตแต่แรกแล้ว

“ท่านป้า เป็นอย่างไร” เยี่ยเจินจีกระวนกระวายอยู่บ้าง แล้วยังกลัวจะส่งเสียงรบกวนสุ่ยหลินโป ถามเสียงเบา

โม่เทียนเกอถอนหายใจ แต่กลับมองฉินซี “สาหัสยิ่งนัก ไม่น่าเล่าหมิงเจินซือเกอและเสวียนอินซือซูล้วนไม่มีหนทาง”

ฉินซีพอฟังแล้วก็ขึ้นหน้ามาสำรวจชีพจรปราณของสตรีนางนี้ ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นเดียวกัน

เห็นสีหน้าของพวกเขาสองคน เยี่ยเจินจีไม่สนเรื่องอื่น อ้อนวอนว่า “ท่านป้า ซือฟุ พวกท่านคิดหาหนทาง คิดหาหนทางหน่อย!”

“เจ้าอย่าลนลาน” โม่เทียนเกอเอ่ย “ขอเพียงมีหนทาง ป้าจะต้องช่วยเจ้า แต่เจ้าก็รวบรวมสติหน่อย”

“อืม” ได้ฟังคำปลอบโยนของนาง เยี่ยเจินจีเผยสีหน้ามุ่งมั่น “ท่านป้า ท่านวางใจ ไม่ว่าสุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ข้าล้วนจะไม่ละทิ้งความหวัง”

โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ พยักหน้า เจินจีอ้อนวอนเช่นนี้ นางย่อมต้องพยายามสุดกำลัง อีกอย่าง สตรีนางนี้มาจากตงไห่ ไม่แน่ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับสภาปี้เซวียน นี่ก็นับว่ามีความสัมพันธ์กับนางนิดหน่อย

………………………………