บทที่ 55 โกรธจนหัวแทบระเบิด (ต้น)
“พี่ซู ท่านเข้าไปหาพ่อของข้าก่อน ท่านบอกเขาได้เลยว่าท่านเป็นสหายของข้า เอาไว้เดี๋ยวข้าตรวจคนไข้เหล่านี้เสร็จทั้งหมดเมื่อไหร่ข้าจะตามท่านเข้าไป” จี้เสี่ยวซีเอ่ยกับซูอันด้วยสีหน้าจนใจพลางพยายามให้ฝูงชนใจเย็นลง
“ก็ได้” นี่คือสิ่งที่ซูอันตั้งใจไว้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นถ้าจี้เสี่ยวซีเข้าไปหาหมอเทวะจี้พร้อมกับเขา ความลับเรื่องที่เขาขายโก๋วเป่า ให้จี้เสี่ยวซีคงจะถูกเปิดเผยจนหมดซึ่งมันคงจะทำให้หมอเทวะจี้โกรธจนหัวแทบระเบิดแน่ ๆ
ในขณะที่ฝูงชนกรูกันไปหาจี้เสี่ยวซีจนหมดแล้ว ทางเข้าบ้านตระกูลจี้ที่ก่อนหน้านี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนก็กลับกลับเป็นว่างเปล่าอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่เก้าอี้โยกที่วางตรงทางเข้าก็ว่างเปล่าเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าหมอ
เทวะจี้ได้เดินกลับเข้าไปด้านในที่พักของเขาเรียบร้อยแล้ว
ซูอันเดินไปยังหน้าทางเข้าบ้านตระกูลจี้ทันทีและแจ้งคนใช้บ้านตระกูลจี้ทราบเหตุผลการมาของเขา ซึ่งคนรับใช้ผู้นั้นก็รีบพาเขาเข้าไปด้านในลานบ้านทันทีหลังจากนั้นคนใช้ชี้ไปที่ห้องหนึ่งและพูดว่า “นายท่านอยู่
ในนั้น ท่านเดินเข้าไปด้วยตัวเองได้เลย”
หมอเทวะจี้ ไม่อนุญาตให้คนรับใช้เช่นพวกเขาเข้าไปในพื้นที่ที่เขาปรุงยาเนื่องจากมันเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในบ้าน ส่วนเรื่องความปลอดภัยของหมอเทวะจี้นั้น พวกคนรับใช้ไม่เป็นห่วงเลยสักนิดเพราะไม่มีใครในเมืองจันทร์กระจ่างคนไหนที่กล้าสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่นอน
ซูอันผลักประตูให้เปิดออกและเข้าไปในห้อง แต่แล้วหลังจากที่เขาเข้าไปด้านใน เขาได้ยินเสียงหัวเราะอันเบิกบานดังลั่นห้องทันที หลังจากเดินเข้าไปอีกหน่อย เขาก็สังเกตเห็นว่าหมอเทวะจี้ไม่ได้ปรุงยาอยู่แต่กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ดูหนังสือปริศนาด้วยสายตาเป็นประกาย เป็นไปได้มากว่าหนังสือเล่มนี้คือหนังสือภาพวาบหวิวที่มีคนติดสินบนให้เขาในตอนเช้า
เมื่อเห็นสีหน้าที่กระหยิ่มยิ้มย่องและท่าทางการหัวเราะที่ไม่ต่างอะไรกับพวกตาเฒ่าหื่นกามที่เขาเคยเห็นในหนัง ซูอันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นผู้ให้กำเนิดหญิงสาวที่อ่อนหวานอย่างจี้เสี่ยวซี
ได้ยังไง?
“หืม? เจ้ากลับมาเร็วกว่าที่ข้าคิดอีกแหะ นี่เจ้ารวบรวมโก๋วเป่าได้ทั้งหมดแล้วงั้นเหรอ?” สายตาของหมอเทวะจี้ ไม่ได้ละออกจากหนังสือสักนิด แต่เขายังสามารถระบุได้ว่าเป็นซูอันที่เดินเข้ามาหาเขา
“ข้าไม่มี โก๋วเป่าที่ท่านต้องการหรอก” ซูอันตอบกลับ
“ถ้างั้นเจ้าเข้ามาหาข้าเพื่ออะไร? ไป ๆ ๆ ๆ ออกไปซะ! อย่ามาขัดจังหวะความสุขข้า เห็นไหมว่าตอนนี้ข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่!” หมอเทวะจี้ สะบัดเท้าของเขาโบกเป็นสัญญาณให้ซูอันออกไปอย่างไม่ไว้หน้า
ชายหนุ่มรีบ หยิบถุงเงินใบโตออกมาและโบกไปมาตรงหน้าเขา “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีโก๋วเป่า แต่ตอนนี้ข้ามีเงินแล้วท่านต้องการมันรึเปล่า? “
“หืมเจ้ามีเงินแล้ว? โอ้ได้สิ ๆ เข้ามา ๆ คนอย่างข้าหมอเทวะจี้ไม่ปฏิเสธลูกค้าที่มีปัญญาจ่ายแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า” รวดเร็วราวกับพายุเฮอริเคน หมอเทวะจี้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้โยกของเขาและคว้าถุงเงินออกจากมือของ
ซูอันทันที ซึ่งข้างในนั้นมีเงิน 100 ตำลึงเงินพอดี “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่มีเงินสักแดงนี่นา ตอนนี้จู่ ๆ เจ้ามีเงินได้ยังไงกัน? เอ๊? ทำไมเงินพวกนี้มันดูคุ้นตาข้าแบบนี้…”
ซูอันเริ่มเหงื่อตกเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไอ้เฒ่าวิตถารผู้นี้หมกมุ่นกับเงินมากจนจำเงินของตัวเองได้เลย
งั้นเหรอ? ด้วยความกลัวว่าหมอเทวะจี้จะจำเงินพวกนี้ได้ว่ามันเป็นของจี้เสี่ยวซี ซูอันจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “ค่าได้เงินพวกนี้มาจากไหนมันไม่สำคัญ มันสำคัญที่ข้าได้จ่ายค่าธรรมเนียมการปรึกษาแก่ท่านแล้ว ตอนนี้มันถึงคราวที่ท่านจะวินิจฉัยโรคและรักษาให้ข้า!”
คิ้วของหมอเทวะจี้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแต่แล้วเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจพร้อมกับซุก
ถุงเงินเข้าไปในเสื้อของเขาก่อนจะพูดว่า “เอาล่ะก็ได้ ๆ ในเมื่อเจ้าจ่ายเงินมาแล้วงั้นข้าก็จะแสดงความจริงใจช่วยตรวจสอบเจ้าให้ก็แล้วกัน ถอดกางเกงของเจ้าออกซะสิ!”
“ฮะ? “ซูอันตกตะลึง
“ฮะ หะอะไร? ข้าจะตรวจได้ยังไงถ้าเจ้าไม่ถอดกางเกงออก?” หมอเทวะจี้ มองไปที่ซูอันด้วยสายตาหงุดหงิด “เจ้าไม่ใช่หญิงงามสักหน่อย เจ้าคิดว่าข้าสนใจที่จะมองของเจ้านักหรือไง ถ้ามันไม่จำเป็น?”
“เอ่อ…ท่านช่วยวินิจฉัยอาการของข้าโดยที่ไม่ต้องถอดกางเกงไม่ได้งั้นเหรอ” ซูอันรู้สึกว่ามันยากที่จะยอมรับความจริงที่ว่าเขาต้องถอดกางเกงต่อหน้าคนอื่นแบบนี้
“ข้าบอกได้แค่ว่ามีตราประทับผนึกบนร่างกายเจ้า แต่ถ้าข้าไม่เห็นมันอย่างชัดเจน ข้าจะไปบอกได้ยังไงว่ามันคือตราประทับชนิดไหน?” หมอเทวะจี้เอ่ยบ่น “แต่ถ้าเจ้าไม่อยากถอดก็ตามใจเจ้า ข้าก็จะให้คำตอบ
กับเจ้าได้แค่ว่าเจ้ามีตราบประทับผนึกอยู่บนร่างกายเจ้า ทำให้นกเขาเจ้าไม่ขันก็แค่นั้น”
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าถอดก็ได้!”ซูอันแทบอยากจะร้องไห้ ความสุขของเขาคือการพึ่งพาสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่เพียงละทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาเอาไว้ชั่วคราว และเมื่อพิจารณาว่าไอ้ตาแก่ผู้นี้ดูหนังสือภาพ
วาบหวิวอย่างมีความสุขก่อนหน้านี้ขนาดไหน เขาก็โล่งใจได้เปราะหนึ่งว่าตาแก่คนนี้คงไม่มีรสนิยมเบี่ยงเบน
มาทางเขาแน่นอน
“โฮ่ โฮ่… หยั่งกับของเด็ก5ขวบเลยนะเนี่ย” หมอเทวะจี้กล่าวอย่างเป็นกันเอง
เมื่อได้ยินคำนี้สีหน้าของซูอันเปลี่ยนเป็นมืดหม่นทันทีพลางคิดในใจ ‘ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้ ป่านนี้ข้าคงตบหัวเจ้าให้ทิ่มลงดิ้นไปแล้วแน่นอน ไอ้หมอเวร!
หมอเทวะจี้เดินกลับมาที่เก้าอี้โยกของเขาและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ความผิดปกติของเจ้าในตอนนี้มันเป็นผลมาจากในอดีตเจ้าเคยโดน ‘ฝ่ามือมหาหยินหยางตัดชีพจร’ เล่นงาน ตราบใดที่ตราประทับบนร่างกายของเจ้ามันคลายออก เจ้าจะกลับมาเป็นปกติ”
ซูอันรู้สึกเบิกบานในหัวใจของเขา
ยังมีหวัง! เขารีบดึงกางเกงขึ้นและถามว่า “ฝ่ามือมหาหยินหยางตัดชีพจรคืออะไร? แล้วข้าจะคลายตราประทับได้อย่างไร?”
หมอเทวะจี้ตอบกลับ “เท่าที่ข้ารู้ ฝ่ามือนี้คือสุดยอดวิชาที่สืบทอดกันแต่บุคคลที่อยู่ในวังหลวงเท่านั้น ตราบใดที่เจ้ายกระดับการบ่มเพาะของเจ้าจนถึงระดับปรมาจารย์ เจ้าจะสามารถคลายผนึกได้อย่างง่ายดาย”
ซูอันแทบกระอักเลือด ในที่สุดเขาก็ยังคงได้รับคำตอบเหมือนเดิม ที่เขาลงทุนทำไปทั้งหมดมัน
ไร้ประโยชน์หมดเลยงั้นเหรอ? “เรื่องการบ่มเพาะไปถึงระดับปรมาจารย์เพื่อคลายผนึกอันนี้ข้ารู้อยู่แล้ว! ถ้าท่านจะให้คำตอบข้าแค่นี้ท่านคืนเงินของข้ามาเลย ท่านไม่ได้ช่วยอะไรข้าสักนิด! ข้าผิดหวังจริง ๆ ที่ชื่อเสียงของ
หมอเทวะจี้ที่เขาร่ำลือกันว่าเก่งนักเก่งหนาที่แท้มันก็แค่ราคาคุย!”
“เฮ้ ไอ้เด็กปากสุนัขเจ้ากล้าด่าข้างั้นเหรอ…ฮึ่ม! แต่ก็เอาเถอะตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ดี ข้าไม่ถือสา
เด็กอย่างเจ้าก็ได้ ไหน ๆ เจ้าก็จ่ายเงินมาแล้วแถมสภาพของเจ้าก็น่าสังเวชขนาดนี้งั้นข้าจะบอกอีกวิธีในการคลายผนึกให้เจ้าก็ได้แต่ข้าบอกไว้เลยว่าวิธีนี้มันก็ไม่ได้ง่ายสักเท่าไหร่หรอกนะ…” หมอเทวะจี้ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“วิธีแบบไหนกัน? ต่อให้มันยากแค่ไหนข้าก็จะทำให้สำเร็จให้ได้ขอแค่ท่านบอกมาก่อน!”ซูอันเกือบจะร้องไห้ด้วยความโล่งอก ขณะที่เขาคิดว่าเขามาถึงทางตันแล้วจู่ ๆ มันก็เหมือนมีประตูบานใหม่เปิดออกตรงหน้าเขาในทันใด!
“เหอะ น้ำหน้าอย่างเจ้าเนี่ยนะจะทำได้สำเร็จ ฝันไปเถอะ!” หมอเทวะจี้ เยาะเย้ยด้วยสีหน้าเหยียดหยัน “แต่ก็ช่างเถอะไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเอาเป็นว่า ข้าจะคิดหาทางเรื่องนั้นเอง แต่ว่าเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าต้องทำอะไรบางอย่างให้ข้าก่อน ไม่งั้นข้าไม่ช่วยเจ้าแน่”
“เฮ้แบบนี้ไม่ถูกต้อง! ข้าจ่ายค่ารักษาไปแล้วท่านก็ต้องรักษาข้าให้เสร็จสิ จะมาใช้ให้ข้าไปทำอะไร
อย่างอื่นต่ออีกได้ไง? !” ซูอันตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
“ค่ารักษาอะไร? ข้าไม่เคยบอกสักหน่อยว่ามันคือค่ารักษา สิ่งที่เจ้าจ่ายมามันคือค่าการปรึกษาต่างหาก!” หมอเทวะจี้ จ้องมองที่ซูอันอย่างเย็นชา “ส่วนค่ารักษามันคือหลังจากนี้ต่างหาก! นี่เจ้าไม่เคยพบ
กับหมอที่ไหนมาก่อนเลยงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูอันแทบอยากจะร้องไห้ อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอะไรอีกแล้ว เขาจึงถามต่ออย่างรวดเร็วว่า “ว่ามาท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?”