ตอนที่ 37 พบหมิงซิวอีกหน
“ร้านยาประจบคนรวย เหยียดคนจน กลับดำเป็นขาวของเจ้า ต่อให้ขอร้องข้า ข้าก็ไม่มีวันกลับมาอีก! ศีลธรรมยังต่ำเตี้ยเช่นนี้ วิชาแพทย์จะสูงส่งได้ถึงไหน ภาวนาอย่าให้หอหลิงจือของพวกเจ้ามีวันที่ต้องขอร้องผู้อื่นบ้างก็แล้วกัน!”

เฉียวเวยพูดอย่างเย็นชาจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

ผู้คนต่างหลีกทางให้นางโดยสัญชาตญาณ ไม่ว่านางจะทำให้แขนของฝังมามาบาดเจ็บอย่างไร้เหตุผลจริงหรือไม่ วันนี้ฝังมามาก็ทำเกินไปแล้ว

เด็กๆ ผิดอะไร พวกเขาป่วยหนักเช่นนี้ รีบเร่งเดินทางจากชนบทมายังเมืองหลวงเพื่อหาหมอ แต่ฝังมามากลับปฏิเสธไม่รักษาเด็กผู้บริสุทธิ์สองคนเพราะความแค้นส่วนตัว

การกระทำเช่นนี้ทำให้คนเดือดดาลใจจริงๆ

“เฮ้อ แต่ก่อนตอนท่านเจิงปั๋วยังอยู่ หอหลิงจือไม่ได้เป็นเช่นนี้”

“ใช่ ท่านเจิงปั๋ววิชาแพทย์สูงส่ง ยึดถือคุณธรรม ไม่เคยปฏิเสธคนไข้ ในวันสิ้นปีของปีหนึ่ง ท่านเจิงปั๋วเดินทางฝ่าหิมะยี่สิบกว่าลี้เพื่อช่วยหญิงที่กำลังจะคลอดจนช่วยเด็กไว้ได้ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”

“ท่านเจิงปั๋วเป็นคนดี…น่าเสียดายคนจากไปเร็ว…”

เสียงสะท้อนใจดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน

แต่ถึงจะสะเทือนใจมากเพียงไร คนที่ควรไปพบหมอก็ต้องพบหมอ อย่างที่ฝังมามาบอก ในเมืองหลวงไม่มีร้านยาที่ไหนเปิดอีกแล้ว ไม่หาหมอที่หอหลิงจือ แล้วพวกเขาจะไปที่ใดได้

หนึ่งชั่วยามต่อมา หลัวหย่งเนียนพาเฉียวเวยตระเวนหาร้านยาจนทั่วถนนหนานซี แต่ไม่พบร้านใดเลย

อุณหภูมิร่างกายของเด็กๆ ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำร้ายจิ่งอวิ๋นยังมีผื่นขึ้นบนตัว ไม่รู้ว่าเริ่มมีผื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด กว่าเฉียวเวยจะสังเกตเห็น ผื่นก็ลามมาถึงใบหน้าแล้ว

รถม้าหยุดหน้าร้านยาเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลัวหย่งเหนียนลงไปเคาะประตู โชคดีที่มีคนเปิดประตูออกมา หลัวหย่งเหนียนเจรจากับเขาสองสามคำก็โบกไม้โบกมือมาทางรถม้าพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพี่! ที่นี่มีหมอ!”

เฉียวเวยรีบอุ้มเด็กทั้งสองคนลงจากรถม้า แต่เมื่อหมอเห็นจิ่งอวิ๋นที่ตัวร้อนและมีผื่นขึ้น เขาก็บอกทันทีว่าไม่สามารถรักษาได้

“พวกเจ้าไปหอหลิงจือเถอะ โรคร้ายรักษายากไปที่นั่นจะเหมาะกว่า” หมอแนะนำ

เฉียวเวยส่ายศีรษะ “พวกข้าเพิ่งมาจากหอหลิงจือ”

“ขนาดหอหลิงจือยังรักษาไม่ได้ ข้าก็หมดหนทาง พวกเจ้าไปหาหมอเก่งๆ คนอื่นเถิด!” หมอปิดประตู

รูม่านตาของเฉียวเวยหดวูบ นางตบประตูอ้อนวอน “ท่านหมอ ลูกของข้าไม่ได้เป็นโรคร้ายรักษายาก! ท่านตรวจดูหน่อยเถิด! ท่านหมอ! ท่านหมอ!”

ไม่ไกลนัก รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านมาช้าๆ คนที่อยู่ในรถได้ยินเสียงเอะอะทางร้านยา จึงพูดกับเด็กหนุ่มด้านข้าง “ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

สือชีกระโดดลงจากรถม้า ใช้วิชาตัวเบาเหินข้ามไป แล้วลงมายืนด้านหลังเฉียวเวยอย่างมั่นคง

หลัวหย่งเนียนตกใจเงาสีดำที่ลอยลงมาจากท้องฟ้า เขานึกว่าจะมาปล้น จึงขยับตัวมาบังเฉียวเวยไว้ข้างหลัง แต่หลังจากที่เขาเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายชัดก็รู้ทันทีว่าตัวเองคิดมากไป

เด็กหนุ่มผู้นี้อายุราวสิบสามสิบสี่ปี แต่งกายสุภาพเรียบร้อย หน้าตางดงามยิ่ง ถ้าบอกว่าไม่ใช่คุณชายจากตระกูลขุนนางคงไม่มีผู้ใดเชื่อ

สือชีมองแผ่นหลังของเฉียวเวย ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นเคย เขาขมวดคิ้วแล้วใช้นิ้วมือสะกิดไหล่ของเฉียวเวย

หลัวหย่งเหนียนตกใจ “เฮ้ย เจ้าทำอันใด”

เฉียวเวยคิดว่าหลัวหย่งเหนียนกำลังสะกิดนางอยู่จึงรีบหมุนตัวกลับมา กำลังจะถามหลัวหย่งเหนียนว่าเกิดอะไรขึ้นก็มองเห็นสือชีผู้ยืนตัวตรงแหน็วอยู่ ดวงตาของนางฉายแววตกตะลึง “สือชีหรือ”

เฉียวเวยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบสือชีในเมืองหลวง นี่นับว่าสวรรค์ประทานทางรอดมาได้หรือไม่ ครั้งก่อนตอนอยู่ในตัวเมืองนางเห็นรถม้าของทั้งสองคนมุ่งไปทางเหนือ ก็เดาไว้แล้วว่าทั้งสองน่าจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่เมืองหลวงกว้างใหญ่เช่นนี้ ผู้ใดจะคิดว่าจะมีวันได้พบกันอีก

เฉียวเวยถามสือชีเรื่องร้านยา

สือชีจูงมือเฉียวเวยขึ้นไปบนรถม้า

บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านใน เขาสวมเสื้อตัวยาวสีขาวนวลดั่งจันทร์เสี้ยว แลดูสง่างามโดดเด่น ครานี้เขาไม่ได้สวมหมวกปีกกว้าง สวมใส่เพียงหน้ากากสีเงินปิดใบหน้าครึ่งบน เผยให้เห็นคางงามเกลี้ยงเกลาประหนึ่งหยก ริมฝีปากสีแดงสดกำลังเม้มน้อยๆ

เฉียวเวยกวาดสายตาผ่านเพียงแวบเดียวก็รู้สึกราวกับถูกความงามสะกดจนลมหายใจติดขัด

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สภาพของตนที่กำลังหอบหิ้วลูกสองคนอยู่ ช่างน่าอเนจอนาถจริงๆ

จีหมิงซิวจำได้ว่าเคยพบนางมาแล้วสองหน ทั้งสองหนนางล้วนถูกอันธพาลไล่ตาม แม้ครานี้ไม่มีอันธพาลตามไล่ล่า แต่สภาพของนางดูย่ำแย่กว่าครั้งก่อนเสียอีก

จีหมิงซิวกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “เหตุใดพบเจอเจ้าแต่ละหน เจ้าจึงตกระกำลำบากเสียทุกที”

เฉียวเวยหน้าแดง

“เด็กไม่สบายหรือ” จีหมิงซิวมองไปทางเด็กสองคนที่นางกระเตงอยู่ด้านหน้ากับด้านหลัง

เฉียวเวยพยักหน้า

จีหมิงซิวเอื้อมมือเรียวยาวประหนึ่งหยกมาแตะหน้าผากของวั่งซูอย่างนุ่มนวล

วั่งซูสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าใครกำลังแตะตัวนาง แต่ความอบอุ่นนี้ทำให้รู้สึกสบายยิ่งนัก หน้าผากเล็กๆ ของนางคลอเคลียฝ่ามือของจีหมิงซิว

ความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นในหัวใจของจีหมิงซิว ขณะที่เขากำลังจะแตะอีกครั้ง สือชีก็ดึงแขนเสื้อของเขาและมองเขาอย่างอ้อนวอน เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว ข้าจะหาคนมารักษานางเอง”

บ่ายวันนั้น จีหมิงซิวพาเฉียวเวยและทุกคนไปยังเรือนสี่ประสานบนถนนชิ่งเฟิง จากนั้นให้สือชีนำเทียบเชิญของเขาไป ‘เชิญ’ หมอหลวงจังที่จวนสกุลจัง

ม้าของสือชีควบตะบึงอย่างรวดเร็ว หมอหลวงจังผู้เกาะอยู่บนหลังม้ารู้สึกเหมือนลำไส้กระเทือนจนเกือบขาด ในที่สุดก็มาถึงเรือนสี่ประสานอย่างยากลำบาก แต่ไม่ทันได้พักหายใจ เขาก็ถูกสือชีโยนเข้าไปในห้อง

เดิมทีหมอหลวงจังคิดว่าตนเองต้องมาตรวจใต้เท้าอัครเสนาบดี คิดไม่ถึงกลับได้รักษาเด็กน้อยยากจนสองคน เขามองเด็กตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง แล้วมองหญิงสาวข้างกายเด็กน้อยที่สภาพซอมซ่อไม่ต่างกัน ดวงตาฉายแววประหลาดใจยิ่งนัก แต่เขายึดมั่นในกฎทองของการอยู่รอดที่ว่า ‘อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด อย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม’ จึงไม่ปริปาก ก้มหน้าก้มตาตรวจเด็กทั้งสองคนแต่โดยดี

เขาตรวจด้วยการมอง การฟัง การซักถามและการสัมผัสอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งยังถามคำถามมากมายกับเฉียวเวย เฉียวเวยไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นหมอหลวง แต่นางมองออกว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญกว่าหมอโจวมาก “ท่านหมอ ลูกของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอหลวงจังเอ่ยปลอบ “ไข้ขึ้นสูงไปบ้าง แต่เจ้าอย่าได้กังวลมากนัก นี่เป็นไข้หวัด ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย แล้วยังสังเกตพบทันท่วงที ข้าจะเขียนเทียบยาให้เจ้า กินหมดก็หายแล้ว แต่…เจ้าให้ลูกชายเจ้ากินอะไรมา เหตุใดถึงมีอาการแพ้มากเช่นนี้”

เฉียวเวยหันไปมองหลัวหย่งเหนียน “เช้านี้เจ้าซื้อซาลาเปาไส้อะไรมา”

หลัวหย่งเหนียนตอบว่า “กุ้งกับเนื้อ”

จิ่งอวิ๋นไม่แพ้เนื้อสัตว์ คิดว่าน่าจะเป็นกุ้ง เฉียวเวยจึงบอกว่า “น่าจะเป็นกุ้ง”

หมอหลวงจังกำชับ “ต่อไปอย่าให้เขากินอาหารทะเลอีก อาการแพ้มีทั้งหนักทั้งเบา หากเป็นหนักก็เป็นเรื่องใหญ่ได้เลยทีเดียว”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอ” เฉียวเวยตอบรับ

หมอหลวงจังเขียนเทียบยา เนื่องจากอาการแพ้ของจิ่งอวิ๋น เทียบยาของเขาจึงมียามากกว่าวั่งซูหนึ่งตัว นั่นคือฝางเฟิง[1]

ก่อนหน้านี้ฝางเฟิงไม่ถือเป็นตัวยาที่ล้ำค่านัก แต่ปีนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงปลูกฝางเฟิงได้น้อย ในตลาดหาซื้อยากนัก แม้ในวังหลวงยังมีอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายสือชีไม่อาจเข้าออกวังหลวงได้ตามใจ

จีหมิงซิวจึงถือเทียบยาเข้าไปในวัง

“อะไรนะ ใต้เท้าเข้าวังหรือ” เฉียวอวี้ซีมองสารถีผู้มาแจ้งข่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “หมิงอัน ใต้เท้าบอกว่าจะมารับบัวหิมะที่หอหลิงจือไม่ใช่หรือ”

หมิงอันตอบอย่างลำบากใจ “ใต้เท้ามีเรื่องด่วน ต้องขออภัยจริงๆ ขอรับ”

รอยยิ้มที่ประดับอยู่ตรงมุมปากของเฉียวอวี้ซีแข็งทื่อ “เรื่องอันใดเร่งด่วนเช่นนี้”

หมิงอันบอกตามตรง “สหายของสือชีป่วย ใต้เท้าจึงเข้าวังไปเอายามาให้พวกเขาขอรับ”

เฉียวอวี้ซีกำมือแน่น “ต้องการยาอันใด หอหลิงจือของพวกเราไม่มีหรือ เหตุใดต้องเข้าวังให้ได้”

หมิงอันนึกอยู่ครู่หนึ่ง “เหมือนจะเป็น…ฝาง…เฟิง?”

หอหลิงจือไม่มีฝางเฟิงจริงๆ!

เฉียวอวี้ซีกัดริมฝีปาก นางไม่ยินยอมปล่อยให้โอกาสพบหน้าใต้เท้าหลุดลอยไปเช่นนี้ ดวงตากลอกรอบหนึ่งก็ส่งยิ้มให้หมิงอัน “สหายของสือชีอยู่ที่ใด สหายของเขาล้มป่วย ตามหลักแล้วข้าก็สมควรไปเยี่ยมสักหน ถือโอกาสนำบัวหิมะที่เหล่าฮูหยินต้องการไปมอบให้ใต้เท้าด้วย”

หมิงอันลังเล “เอ่อ…”

เฉียวอวี้ซียิ้มนุ่มนวล “ใต้เท้าไม่อนุญาตให้คนไปเยี่ยมหรือ”

หมิงอันส่ายศีรษะ

เฉียวอวี้ซีหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากถุงเงินวางลงในมือของเขา “เท่านี้ได้หรือไม่ พวกเขาอยู่ที่ใด”

หนึ่งเค่อต่อมาเฉียวอวี้ซีกับฝังมามาก็นำรังนกเลือดหนึ่งชั่ง เขาอ่อนของกวางหนึ่งชั่ง โสมอายุหนึ่งร้อยปีสองต้น ถั่งเช่าสองกล่อง มุ่งหน้าไปยังถนนชิ่งเฟิงอย่างเบิกบานใจ

[1] ฝางเฟิง สมุนไพรชนิดหนึ่ง มีรสเผ็ดหวาน มีฤทธิ์ขับลมรักษาโรคภายนอก ขับความชื้นและระงับอาการปวด