บทที่ 62 ท่านพี่ พวกท่านจะแก้แค้นให้เสี่ยวเป่าหรือ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 62 ท่านพี่ พวกท่านจะแก้แค้นให้เสี่ยวเป่าหรือ

บทที่ 62 ท่านพี่ พวกท่านจะแก้แค้นให้เสี่ยวเป่าหรือ

เจ้าตัวเล็กกระฟัดกระเฟียดเสียงฮึดฮัด “ถึงอย่างไรเสี่ยวเป่าก็เป็นที่ต้อนรับ บุปผาต้นหญ้า สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยชอบเสี่ยวเป่ากันทั้งสิ้น!”

หนานกงฉีโม่หัวเราะ “อะไรกัน น้องเล็กของเราเป็นที่ชื่นชอบของทุกหมู่เหล่าเลยหรือไร ไม่สิ เป็นชื่นชอบของสรรพสัตว์ถึงจะถูก”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึกหงักโดยไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อย ภาคภูมิใจเสียจนหากมีหางคงชูช่อขึ้นฟ้า

ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าเป็นที่ชื่นชอบสุด ๆ

หนานกงฉีโม่หันมองหนานกงฉีอวิ๋น แตะพัดกับคาง เนตรจิ้งจอกแฝงแววหยอกล้อ

“ดูไม่ออกเลย ที่แท้เจ้าชอบแบบนี้หรือ”

หนานกงฉีอวิ๋นหูแดงไปหมด ใบหน้าขาวซีดขึ้นริ้วแดงระเรื่อเช่นกัน ดูน่ามองไม่น้อย

“หามิได้” หนานกงฉีอวิ๋นแสร้งทำทีสุขุม หน้าบึ้งตึงไม่ยอมรับ

หนานกงฉีโม่ผู้ไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้มาก่อนขำพรืด

“ไยจึงไม่รีบบอกข้า พี่รองอย่างข้าหาหมาน้อยแมวน้อยให้เจ้าได้หมด”

หนานกงฉีอวิ๋นแก้ต่างต่อไป “ข้าเปล่า เพียงแต่น้องสาวเรียกข้ามาช่วยป้อนเท่านั้น”

เสี่ยวเป่าผู้มองสถานการณ์ไม่ออกหักหน้าทันที “ท่านพี่สามชอบมาก ยิ้มกว้างหลังได้อุ้มกระรอกน้อย เสี่ยวเป่าถึงเรียกกระรอกมาเพิ่มอย่างไรเล่า”

หนานกงฉีอวิ๋น “…”

เสี่ยวเป่า “เช่นนั้นพวกเรายังป้อนต่อหรือไม่”

หนานกงฉีอวิ๋นชำเลืองเสด็จพี่รอง เม้มปากไม่พูดจา

เนตรจิ้งจอกของหนานกงฉีโม่ปรากฏรอยยิ้ม ซ้ำยังเป็นรอยยิ้มดูที่ดีมาก

“ป้อนสิ พี่รองจะร่วมป้อนกับพวกเจ้าด้วย”

เขาอยากเห็นเหลือเกินว่าน้องสาวทำอย่างไรให้เจ้าตัวเล็กเหล่านี้ยอมเชื่อฟัง

ทั้งสามเก็บผลจำพวกถั่วเม็ดสนมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นเสี่ยวเป่าก็ส่งเสียงเรียกขึ้นไปบนต้นไม้

บรรดากระรอกที่ซ่อนตัวอยู่ตามแมกไม้มิเคยไปไหนโผล่หัวออกมาทันที ก่อนจะพากันวิ่งลงมา

แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่หนานกงฉีโม่ก็ยังคงตกตะลึงอยู่ดี

เขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าทำได้อย่างไร”

เสี่ยวเป่ากลอกตาอย่างคนมีชนักติดหลัง “ทำ…ทำอย่างนี้อย่างไรเล่า”

เรื่องนี้นางไม่รู้เหมือนกันว่าควรอธิบายด้วยถ้อยคำใด

ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นสับสนจนบูดเบี้ยว

หนานกงฉีโม่ย่อมดูออก เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งหน้าย่นด้วยความสับสนก็ไม่คาดคั้นต่อ เพียงแต่ถามนางว่า ค้นพบความสามารถพิเศษเช่นนี้ของตนตั้งแต่เมื่อใด

ต่อให้เสี่ยวเป่าทึ่มเพียงใด ก็ไม่มีทางตอบไปว่าชาติก่อน

“ครั้งอยู่ที่หมู่บ้าน ไม่มีของกิน มีนกน้อยกระรอกน้อยคอยหาของกินให้เสี่ยวเป่า”

คราวนั้น หิวมาก ๆ เข้า นางต้องลากสังขารอันน่าสงสารของตนไปให้เหล่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยช่วยหาผลไม้บนเขามาให้กิน

แต่มิใช่ว่าจะมีผลไม้ทุกเมื่อ

หลังได้ยินประโยคนี้ เด็กหนุ่มทั้งสองพลันมีสีหน้ามืดมนในบัดดล

เรื่องของเสี่ยวเป่า พวกเขารู้เพียงว่ามารดาของนางวายชนม์ไปแล้ว เสด็จพ่อถึงได้รับนางกลับมา ทว่า เรื่องราวก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่ทราบละเอียดนัก

หนานกงฉีโม่ถามเสียงเข้ม “เรื่องเป็นอย่างไร มีคนรังแกเจ้าหรือ”

เสี่ยวเป่าจดจำความแค้นได้แม่น โดยเฉพาะเรื่องปล่อยให้นางอดอยาก นางจดจำมาตลอด ฮึ่ม!

เด็กน้อยฟ้องเก่งมาก ฝีปากน้อย ๆ สาธยายปาว ๆ ฟ้องพี่ชายทั้งสองของตน

“ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ท่านลุงกับท่านป้าก็ให้เสี่ยวเป่ากินอาหารเพียงน้อยนิดในแต่ละวัน ปล่อยให้เสี่ยวเป่าอดอยาก ท่านป้ายังบอกอีกว่า ข้าไม่มีประโยชน์ กินเยอะไปก็เปลืองเปล่า ๆ ทั้งที่พี่ต้าจ้วงไร้ประโยชน์ที่สุดแท้ ๆ เสี่ยวเป่าป้อนอาหารเจ้าเป็ดและเจ้าหมูได้ด้วย เขาสิกินเป็นอย่างเดียว!”

เล่าจบ เมื่อเห็นสีหน้าพี่ชายทั้งสองเคร่งเครียดอย่างมาก นางจึงเอ่ยพร้อมกับส่งสายตาใสซื่อ

“แต่เสี่ยวเป่าขอให้ท่านลุงหลินลงโทษพวกเขาแล้ว ปล่อยให้พวกเขาอดอยากตั้งสามวัน คงทรมานน่าดู”

เสียงของหนานกงฉีโม่เย็นยะเยือก “เท่านั้นพอที่ไหน”

แค่สามวันเท่านั้น น้องสาวของพวกเขาถูกทรมานอยู่ตั้งนาน

แม้หนานกงฉีอวิ๋นจะมิได้เอ่ยวาจา ทว่าก็พยักหน้าเห็นด้วย

เสี่ยวเป่าเกาหน้า เอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย “ท่านพี่ พวกท่านจะแก้แค้นให้เสี่ยวเป่าหรือ”

หนานกงฉีโม่ลูบหัวน้อย ๆ ของนาง “ถ้าพวกเราตอบว่าใช่เล่า”

เจ้าก้อนแป้งเอียงคอถูศีรษะกับมือเขาไปมา

“เช่นนั้นเสี่ยวเป่าก็ดีใจมาก ข้าเองก็มีพี่ชายแสนเก่งกาจคอยปกป้อง วันหน้ายามวิวาทกับเด็กคนอื่น ๆ ก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว แต่เสี่ยวเป่าล้างแค้นพวกท่านป้าไปแล้ว ไม่ต้องรบกวนท่านพี่ เราอย่าไปสนใจคนไม่ดีเลย”

หนานกงฉีอวิ๋นปริปาก “มีคนตีเจ้าหรือ”

สายตาของเด็กหนุ่มดุดันขึ้นมาฉับพลัน

เจ้าตัวเล็กโบกมืออย่างใจกว้าง “เด็ก ๆ ทั้งนั้น เสี่ยวเป่าไม่ถือสาพวกเขาหรอก วันหน้าหากต้องวิวาทอีก ค่อยไปฟ้องท่านพี่ดีหรือไม่~”

หนานกงฉีโม่บีบจมูกนาง “ไม่ได้เรื่องเลย เจ้าควรคิดว่านับแต่นี้ไป มิให้ผู้ใดกล้าตีเจ้าอีก”

เสี่ยวเป่าวางมาดดุดันเสียไม่มี “เช่นนั้นข้าต้องดุกว่านี้อีกหน่อย!”

หาได้น่าเกรงกลัวไม่ กลับยิ่งน่ารังแกเข้าไปใหญ่

หนานกงฉีโม่และหนานกงฉีอวิ๋นสบตากัน ต่างเห็นความเป็นห่วงในสายตาของอีกฝ่าย

น้องสาวของพวกเขาคล้ายจะซื่อบื้อไปหน่อยนะ

เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าเหล่าพี่ชายประเมินตนเองไว้อย่างไร ยังคงง่วนอยู่กับการปั้นหน้าดุ ถามอย่างใสซื่อว่าสีหน้าไหนของตนดูดุกว่ากัน

พวกเขาถูกกระรอกห้อมล้อมได้ไม่นาน ผู้อื่นซึ่งกำเห็ดไว้ในมือก็พากันมาหาเสี่ยวเป่า หลังได้เห็นรอบกายพวกเขามีกระรอกรายล้อมอยู่มากมาย ก็ตาลุกวาวกันทันที

หนานกงฉีจวินโยนเห็ดในมือทิ้ง วิ่งโร่เข้ามา

คนตั้งเยอะ กระรอกหนีไปด้วยความตกใจอีกครั้ง

สุดท้ายต้องให้เสี่ยวเป่าแสดงความสามารถ ด้วยการปลอบประโลมของนาง ลงท้ายบรรดากระรอกขี้กลัวก็ค่อย ๆ เข้ามาใกล้กลุ่มบุรุษวัยเยาว์ผู้เร่าร้อน

สุดท้าย บนไหล่ทุกคนล้วนมีกระรอกน้อยยืนอยู่ตัวหรือสองตัว ตะลอนไปทั่วป่าอย่างองอาจ

เทียบกับกระรอกน้อย สายตาที่พวกเขาจับจ้องน้องสาวตัวเล็กยิ่งแฝงไว้ซึ่งความอึ้งทึ่ง

“น้องสาวสุดยอดไปเลย ถึงขั้นทำให้กระรอกยอมเชื่อฟังได้”

“ทั้งยังแยกได้ว่าเห็ดชนิดใดไร้พิษกินได้”

“น้องสาว เจ้าทำได้อย่างไร สอนข้าบ้าง”

เสี่ยวเป่าถูกบรรดาพี่ชายห้อมล้อมยกยอ ป้อนคำหวานให้ไม่หยุด

ทว่านางสอนไม่ได้ ความสามารถนี้ติดตัวมาแต่กำเนิด

บนเขามีของดีไม่น้อย เดิมเสี่ยวเป่าตั้งใจมาตามหากอดอกไม้ป่างดงาม ตักใส่กระถางแล้วนำกลับไปมอบให้ท่านพี่ใหญ่ แต่กลับค้นพบไม้อวบน้ำอันน่ารักมีเอกลักษณ์ชนิดหนึ่งด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ

กุหลาบหินลูกอมสีชมพูอ่อนต้นหนึ่ง ทว่าเทียบกับกุหลาบหินอมกลมกลึงประณีตจิ้มลิ้มซึ่งเพาะพันธุ์ขึ้นเองในตลาดยุคหลัง กุหลาบหินลูกอมต้นที่นางเจอนั้นมีใบค่อนข้างหนา มันดูไม่ค่อยน่าชมสักเท่าไร

ทว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับภูตน้อย หากนางนำกลับไปเพาะเลี้ยงสักพัก ย่อมต้องงอกงามออกมาเป็นกุหลาบหินลูกอมต้นงามน่ารักได้แน่นอน

เสี่ยวเป่ายิ้มกว้างมีความสุขจนเผยให้เห็นซี่ฟันขาววาววาม และเพราะนางแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างชัดเจน เหล่าพี่ชายจึงพากันมองตามอย่างอดมิได้

พวกเขาพบว่าเจ้าตัวเล็กกำลังง่วนอยู่กับพืชหน้าตาน่าเกลียดทว่าจิ้มลิ้มในเวลาเดียวกันต้นหนึ่ง ต่างมีทีท่าฉงนใจ

“น้องสาว เจ้าขุดต้นนี้มาเพื่ออันใด”

หนานกงฉีจวินย่อตัวลงข้างนาง เอ่ยประโยคคำถามในใจทุกคนออกไป

เสี่ยวเป่าเติมดินลงไปในกระถางพร้อมทั้งฮัมเพลงไปด้วย เสร็จแล้วจึงบรรจงวางกุหลาบหินลูกอมลงไป

“นำกลับไปเลี้ยงอย่างไรเล่า”

หนานกงฉีเฉินมีสีหน้ารังเกียจ “ไยต้องเลี้ยงเจ้าต้นนี้ มิได้ดูดีแม้แต่น้อย ไว้พี่ชายหาดอกกล้วยไม้มาให้เจ้า”

ในยุคสมัยนี้ ไม้ประดับอันเป็นที่นิยมที่สุดคงไม่พ้นดอกกล้วยไม้ ดอกเบญจมาศ ดอกฉาฮวา และดอกโบตั๋นซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ดังทั้งยังเลอค่า

ไม้อวบน้ำที่เสี่ยวเป่ารู้จักไม่เคยมีผู้ใดเพาะพันธุ์มาก่อน

“ท่านพี่อย่าได้ดูแคลนมัน อีกไม่กี่วันมันต้องเจริญงอกงามแน่ ๆ”

แต่เห็นได้ชัดว่า ทุกคนไม่เชื่อ