เล่ม 2 ตอนที่ 8 คนงามลงมือ (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 8 คนงามลงมือ (2)

รถม้าใช้ความเร็วสูงสุดเดินทางมาถึงโรงหมอ เฉียวเจิงผู้กำลังตากสมุนไพรอยู่ในลานเห็นบุตรสาวของตนกับพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพรวดพราดเข้ามาอย่างร้อนรน เขาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงมองไปด้านหลังของบุตรสาวแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

เมื่อครู่เฉียวเวยตกใจจริงๆ สมองจึงยังมึนงงอยู่เล็กน้อย นางสะบัดศีรษะตอบว่า “ท่านพ่อ เลิกตากสมุนไพรได้แล้ว รีบเก็บข้าวของไปจากที่นี่เร็ว!”

เฉียวเจิงไม่เข้าใจ “เหตุ เหตุ เหตุใดต้องไปเล่า เจ้าหามารดาของเจ้าพบแล้วหรือ”

เฉียวเวยตอบว่า “ยังไม่พบ แต่พวกเราถูกจับได้แล้ว อีกไม่นานคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็คงไล่ตามมา ฉวยโอกาสก่อนที่พวกเขาจะตามมาทัน พวกเรารีบกลับไปที่เมืองเยี่ยเหลียงก่อน!”

เฉียวเจิงขมวดคิ้วตอบว่า “แต่หากข้าไปแล้วมารดาของเจ้าจะทำอย่างไร หากนางตามหาข้าไม่พบ…”

เฉียวเวยร้อนใจแล้ว “นางจะตามหาท่านไม่พบได้หรือ ท่านเห็นมารดาของข้าเป็นใครกัน ใต้หล้านี้มีแต่คนที่นางไม่อยากตามหา ไม่มีคนที่นางอยากหาแล้วหาไม่พบ!”

“เรื่องนี้ เรื่องนี้ก็ใช่” เฉียวเจิงเชื่อมั่นในความเก่งกาจของภรรยาเป็นอย่างยิ่ง “แต่…”

เฉียวเวยขัดเขาแล้วเดินผ่านเขาเข้าไปในห้อง “ไม่มีแต่แล้ว พวกคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ฝีมือกระจอกงอกง่อย! หากถูกพวกเขาสังหารขึ้นมา ต่อให้มารดาของข้าตามหามาจนถึงที่นี่ ท่านก็ไม่มีชีวิตอยู่เจอนางแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจะมีความหมายอันใด!”

“ถูกแล้วๆ เจ้าพูดถูกต้องแล้ว ข้าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอพบชิงหลวน” เฉียวเจิงพึมพำอย่างอึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่งก็หมุนตัวเข้าไปในห้องทันที เขาเปิดล่วมยาแล้วเริ่มยัดสมุนไพรล้ำค่าใส่ลงไป

เฉียวเวยใช้ผ้าห่มห่อร่างฮองเฮงที่หมดสติเอาไว้ แล้วอุ้มนางเข้าเอว พอหันหลังกลับมาก็เห็นบิดาของตนยัดสมุนไพรใส่ล่วมยาไม่หยุด พอล่วมยายัดไม่เข้าแล้ว เขาก็ยังไปสรรหากระสอบจากที่ใดไม่ทราบมาอีกหนึ่งใบ

เฉียวเวยโวยทันที “ท่านพ่อ ไม่ต้องสนใจสมุนไพรพวกนี้แล้ว!”

เฉียวเจิงเอ่ยอย่างปวดใจ “แต่มีแต่สมุนไพรล้ำค่าทั้งนั้น…”

เฉียวเวยเร่ง “ล้ำค่าอีกเท่าใดจะล้ำค่าเท่าชีวิตของท่านหรือ ไปได้แล้วท่านพ่อ! ไม่ต้องสนใจแล้ว! สิ่งใดที่วันนี้ท่านต้องทิ้งไว้ กลับไปข้าจะหาคืนมาให้ท่านเอง!”

“ก็ได้ๆ…” เฉียวเจิงปิดล่วมยา ผูกปากถุงกระสอบอย่างอาลัยอาวรณณ์ จากนั้นคล้องสายสะพายล่วมยากับแขนข้างขวา ใช้มือขวาหิ้วกระสอบ ทว่าพอเดินมาถึงประตู เขาก็ละล้าละลังแล้ววกกลับไปอีกหน ก่อนจะคว้าเห็ดหลิงจืออายุพันปีสองดอกซุกเข้าไปในอกเสื้อ

พอเขาเดินไปถึงประตูอีกครั้ง ก็คิดจะกลับไปคว้าโสมพันปีมาอีกสักหน่อย แต่ถูกเฉียวเวยลากตัวออกมาก่อน

เฉียวเวยลากบิดาของตนเองมาขึ้นรถม้า สือชีกับราชันอสูรอยู่บนรถม้าอยู่แล้ว สือชีบาดเจ็บจึงสีหน้าซีดเผือด ราชันอสูรกำลังถ่ายทอดกำลังภายในให้เขา แต่ดูเหมือนจะได้ผลเพียงน้อยนิดเท่านั้น

“เหตุใดสือชีเป็นเช่นนี้เล่า” เฉียวเจิงถาม

เฉียวเวยตอบว่า “เขาถูกตาข่ายสีแดงผืนหนึ่งจับเอา ไม่รู้ว่าบนตาข่ายนั่นมีสิ่งใดผิดปกติ หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นเช่นนี้”

เฉียวเจิงหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากล่วมยา “นี่เป็นยารักษาอาการบาดเจ็บภายใน กินลงไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน จริงสิ นักรบมรณะกลุ่มนั้นเล่าจะทำอย่างไร”

จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

เรื่องนี้ต้องดูความสามารถของราชันอสูรแล้ว

ราชันอสูรก็คือราชาแห่งนักรบมรณะทั้งมวล เขามีแรงกดข่มนักรบมรณะทั้งมวลมาตั้งแต่ถือกำเนิด เขาคลายจุดของนักรบมรณะดาบยาวทั้งสิบหกคนจากนั้นร้องคำรามดังสนั่นหนึ่งหน นักรบมรณะสิบหกคนหยิบดาบยาวพุ่งเข้าใส่ศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามมาเหล่านั้น

ยามอยู่ต่อหน้าราชันอสูรนักรบมรณะดาบยาวไม่มีค่าให้ชายตาแล ทว่าเมื่อประมือกับศิษย์กลุ่มนั้น พวกเขาทรงพลังอย่างยิ่ง คงจะรั้งไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง

รถม้าแล่นผ่านเมืองไวว่องประหนึ่งบิน โชคดีที่ถนนหนทางในเมืองอวิ๋นจงกว้างขวาง สองข้างทางเป็นเสาโคมไฟมุกราตรีส่องสว่างเรืองๆ ถนนนับว่าแล่นรถสะดวก พวกเขาแล่นรถม้าอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคตลอดทาง ไม่นานก็สลัดศิษย์กลุ่มนั้นไว้ด้านหลังไกลลิบ

จังหวะที่รถม้าวิ่งผ่านปากทางเข้าตรอกน้อยแห่งหนึ่ง จู่ๆ เฉียวเวยก็ได้ยินเสียงของต้าไป๋

เฉียวเวยเปิดม่านรถขึ้น แล้วก็เห็นต้าไป๋ถูกคนกลุ่มหนึ่งแยกเขี้ยวกางเล็บรุมมันอยู่ในตรอก คนเหล่านั้นหน้าผากสีดำคล้ำ ดวงตาแดงก่ำ มองปราดเดียวก็เห็นว่าผิดปกติ “ลุงเยี่ยน หยุดก่อน!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจอดรถม้า “มีอะไร แม่หนู”

“ข้าเห็นต้าไป๋!” เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในตรอก

ต้าไป๋กับผู้ชายสามคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม่ทัพน้อยมู่ก็อยู่ด้วย ทว่าเขาไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้หนนี้ แต่กำลังสาวเท้าไล่ตามผู้หญิงที่วิ่งแยกออกมาจากกลุ่มคนหนึ่ง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตามมาด้วย เขาเหวี่ยงอาวุธลับเข้าใส่ร่างพิษที่รุมโจมตีต้าไป๋อยู่สามร่างนั้น

เฉียวเวยไล่ตามไปจนทันแม่ทัพน้อยมู่ แม่ทัพน้อยมู่บังเอิญคว้าหัวไหล่ของสตรีนางนั้นเอาไว้ได้พอดี สตรีนางนั้นผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่ง ใบหน้าสกปรกมอมแมมอย่างยิ่ง หลังจากถูกแม่ทัพน้อยมู่จับตัวได้ นางก็หันใบหน้าสกปรกมอมแมมกลับมาอย่างคลุ้มคลั่ง

นางเปลี่ยนฝ่ามือเป็นกรงเล็บ ตะกุยใส่ลำคอของแม่ทัพน้อยมู่อย่างชิงชัง

เฉียวเวยก้าวเข้าไปจับข้อมือของนางบิดมาไว้ด้านหลังกดทั้งร่างของนางลงบนพื้น หลังจากนั้นจึงชักกริชออกมาเล็งไปที่หัวใจของนาง ขณะที่กำลังจะแทงลงไปเต็มแรงนั่นเองก็ได้ยินเสียงแม่ทัพน้อยมู่เอ่ยปากว่า “หยุดก่อน!”

การเคลื่อนไหวของเฉียวเวยชะงัก นางหันกลับไปมองเขาอย่างประหลาดใจ

สตรีนางนั้นฉวยช่องว่างที่นางเสียสมาธิหนนี้ ดิ้นหลุดแล้วกระแทกเข่าใส่ท้องของเฉียวเวยดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ทว่าเพียงพริบตาเดียวเฉียวเวยก็ฟาดฝ่ามือไปที่หัวเข่าของนาง ตบจนขาครึ่งท่อนของนางชาไร้ความรู้สึก

เฉียวเวยฟันฝ่ามือใส่นางจนสลบ ก่อนจะปลดสายคาดเอวของนางออกมา จับนางพลิกกลับหลังกดไว้ที่พื้นก่อนจะมัดมือมัดเท้าเอาไว้

แม่ทัพน้อยมู่เดินเข้ามาแหวกเส้นผมอันรุงรังของนางออก

เฉียวเวยไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำสิ่งใด

แม่ทัพน้อยมู่หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าของนาง เมื่อใบหน้าแปลกหน้าดวงหนึ่งเผยออกมาให้เห็น ดวงตาของเขาก็ฉายแววผิดหวังอย่างห้ามตนเองไม่ได้

เฉียวเวยเห็นสีหน้าของเขาอยู่ในสายตาทั้งหมด จู่ๆ ในสมองก็มีความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา “หมิงซิวบอกว่าครั้งแรกที่พบเจ้า เจ้ากำลังตามหาคนอยู่ในหมู่บ้าน เจ้ากำลังตามหาน้องสาวของเจ้าหรือ”

เขาเงียบงัน

ตอนที่เฉียวเวยคิดว่าเขาจะไม่ตอบแล้วนั่นเอง เขาก็เอ่ยปากออกมาแผ่วเบา “คนกลุ่มนั้นบอกว่านางมีร่างหยินบริสุทธิ์แต่กำเนิด ยาพิษที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจะบริสุทธิ์อย่างยิ่ง”

“พวกเดรัจฉาน!” เฉียวเวยกำหมัดแน่นท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ “จวนอ๋องของพวกเจ้าถูกคนกลุ่มนั้นลอบเล่นงานเพราะเรื่องนี้หรือ”

เฉียวเวยเข้าใจแล้ว ศิษย์น้องรองถูกตามใจจนมีนิสัยไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินปานนั้น ยามอยู่ในบ้านนางย่อมเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคน จะแม่ทัพมู่ก็ดี แม่ทัพน้อยมู่ก็ดี พวกเขาคงไม่มีทางยอมมอบคนให้เป็นแน่ ในเมื่อไม่มอบให้ อีกฝ่ายก็ใช้กำลังบังคับแย่งมา…

หากไม่ได้ยินกับหูของตนเอง ผู้ใดจะเชื่อว่าบนโลกจะมีเรื่องที่โหดร้ายทารุณและไร้เหตุผลเช่นนี้

“ข้าคิดว่า…” เฉียวเวยพูดได้ครึ่งหนึ่งก็หยุด

แม่ทัพน้อยมู่เอ่ยเรียบๆ “คิดว่าพวกเขาทำลายตระกูลมู่เพราะกริชเฟิ่นเทียนสินะ”

“อืม” เฉียวเวยพยักหน้า นางเคยคิดเช่นนั้นจริงๆ กริชเฟิ่นเทียนเป็นหนึ่งในกุญแจสี่ดอกที่จะเปิดพระราชวังเยี่ยหลัว แต่กุญแจดอกนี้อยู่ในมือของนาง ตระกูลมู่มอบกริชเฟิ่นเทียนให้ไม่ได้ คนกลุ่มนั้นจึงโมโห คิดสังหารคนตระกูลมู่…

แม่ทัพน้อยมู่เอ่ยปลอบ “เจ้าอย่าโทษตนเองเลย ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอก”

เฉียวเวยมองตรอกด้านหลัง “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย ออกไปจากเมืองอวิ๋นจงก่อนเถิด เรื่องน้องสาวของเจ้า ข้าจดจำเอาไว้แล้ว”

“คงหาไม่พบแล้ว” เขาบอก

เฉียวเวยถาม “เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าคงหาไม่พบแล้ว”

แม่ทัพน้อยมู่ตอบว่า “ข้าเคยถามชางจิวแล้ว เขาบอกว่าไม่เคยเห็น”

เฉียวเวยแย้งทันที “คำพูดของเขาเชื่อได้หรือ วันนี้ข้าไปเยือนลัทธิศักดิ์สิทธิ์มา ภายในลัทธิศักดิ์สิทธิ์แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหลายฝ่าย หากไม่ใช่เรื่องที่ฝั่งฮองเฮาเป็นคนจัดการ ชางจิวย่อมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เขาไม่เคยเห็นน้องสาวของเจ้าไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่เคยเห็น องค์ชายสามก็อยู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วย กลับไปข้าจะคิดหาวิธีติดต่อเขา ให้เขาช่วยหาน้องสาวของเจ้าจากข้างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์”

แม่ทัพน้อยมู่หันมามองเฉียวเวย

เฉียวเวยจ้องตอบเขา “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ”

แม่ทัพน้อยมู่หลุบตาลง “เปล่า”

เฉียวเวยลากเขามา “ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกันเถิด! พวกเราถูกเปิดโปงแล้ว นักรบมรณะของฮองเฮาคงขวางไว้ได้ไม่นาน!”

ทั้งสองคนกลับมาบนรถม้า ต้าไป๋ร่วมมือกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจัดการสามคนที่เหลือเรียบร้อยแล้ว เวลานี้มันกำลังนั่งเรียบร้อยอยู่บนตักของเฉียวเจิง พอเห็นเฉียวเวยขึ้นรถม้ามา มันก็วิ่งฉิวเข้ามาซุกในอ้อมแขนของเฉียวเวย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำแส้ในมือแน่น “พวกท่านนั่งให้ดีๆ!”

พูดจบ เขาก็เงื้อแส้ฟาดลงบนอาชาร่างกำยำอย่างแรง ม้าสัมผัสถึงความเจ็บปวดก็วิ่งเตลิดทันที

หนึ่งเค่อหลังจากนั้นทุกคนก็มาถึงทางออก ยอดฝีมือที่พิทักษ์เมืองได้รับควันสัญญาณสั่งให้ขัดขวางทุกคนที่จะออกจากเมืองตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าพวกเขาสองคนหาใช่คู่ต่อสู้ของราชันอสูร ยังไม่ทันชักดาบก็ถูกราชันอสูรตบทีเดียวร่วงตกบันไดสวรรค์ไปแล้ว

หนนี้ไม่มีเวลาให้สำออยตอนลงจากบันไดสวรรค์อีกแล้ว นอกจากเฉียวเจิงที่แข้งขาอ่อนจริงๆ กับสือชีที่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ คนที่เหลือต่างเค้นพละกำลังที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยกินนมมารดา วิ่งตึงตังลงมาด้านล่าง

ราชันอสูรมือหนึ่งหิ้วเฉียวเจิง อีกมือหนึ่งหิ้วสือชี ทะยานปานประหนึ่งบินลงไปที่พื้น

หลังจากนั้นทุกคนก็ลัดเลาะผ่านอุโมงค์มาจนถึงถ้ำใต้สะพานหิน

ด้วยกำลังภายในของราชันอสูร เขากระโจนทีเดียวก็เหินจากถ้ำข้ามสะพานหินจนไปถึงฝั่งตรงข้ามของสะพาน เขาพาเฉียวเจิงกับสือชีข้ามไปส่งก่อน ในเวลาเดียวกันนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานก็กระโดดออกมาจากสุดปลายถ้ำ วิ่งมายังสะพานหินด้วย

ราชันอสูรวกกลับไปรับเฉียวเวย ต้าไป๋กับแม่ทัพน้อยมู่

คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาที่เขากำลังจะขยับตัว ลูกธนูอันเย็นเฉียบดอกหนึ่งก็แล่นเร็วรี่ออกมาจากอุโมงค์ มันกำลังจะปักลงบนร่างของเฉียวเวยอยู่แล้ว ตอนนั้นเองแม่ทัพน้อยมู่ก็โถมร่างเข้ามาบังธนูดอกนี้

ในธนูแฝงกำลังภายในเอาไว้ แรงส่งมหาศาลซัดเขาลอยไปด้านหน้าทั้งตัว เฉียวเวยจึงโชคร้ายหนีไม่พ้น

ต้าไป๋กระโจนออกมาเอื้อมกรงเล็บไขว่คว้า

ทว่าตอนที่ราชันอสูรเหินมาถึง เขาก็คว้าไว้ได้แค่ตัวของต้าไป๋กับชายเสื้อขาดวิ่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น

******************************