ตอนที่ 9-1 ตั้งครรภ์
เมืองเยี่ยเหลียงยามพลบค่ำจู่ๆ ก็มีหิมะขนาดเท่าขนห่านโปรยปรายลงมาอย่างหนัก หิมะระลอกแล้วระลอกเล่าทยอยร่วงโปรยปราย เพียงชั่วพริบตาก็ทับถมเต็มเรือนทั้งหลัง
ฟู่เสวี่ยเยียนป้อนนมลูกเสร็จก็ให้ใต้เท้าเจ้าสำนักเฝ้านาง ส่วนตนเองไปที่ห้องของปิงเอ๋อร์
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถูกอาต๋าเอ๋อร์จับไว้อยู่ในห้อง พวกเขานั่งชมหิมะอย่างว่าง่าย ความจริงพวกเขาอยากไปนั่งรอท่านแม่ที่ประตูเหมือนเมื่อวาน แต่หิมะตกหนักเกินไป ไม่ว่าพูดอย่างไรอาต๋าเอ่อร์ก็ไม่ยอม
อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวกับกองทหารรักษาพระองค์เดินทางออกจากจวนอ๋องไปค้นหาอูมู่ตัวในเมืองอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ระหว่างที่ค้นหาอยู่นั่นเอง จู่ๆ หนังตาของเขาก็กระตุกอย่างไร้สาเหตุ
เขาจับสายบังเหียนแน่น
องครักษ์ที่ออกมากับเขาเข้าใจว่าเขาเหนื่อยแล้วจึงเกลี้ยกล่อมเขาว่า “นายน้อย ท่านกลับไปที่จวนก่อนเถิด พวกข้าจะอยู่ค้นหากับกองทหารรักษาพระองค์เอง”
จีหมิงซิวมองไปยังทิศทางที่ตั้งเขาหมั่งฮวง ไม่พูดสิ่งใดตอบอยู่เนิ่นนาน
ในตอนที่องครักษ์คิดว่าเขากำลังจะค้นหาต่อนั่นเอง จู่ๆ เขาก็เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง จากนั้นห้อม้าตะบึงไปทางเขาหมั่งฮวง
เมื่อเขามาถึงทางเข้าเขาหมั่งฮวง พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับเฉียวเจิงก็บังเอิญเดินออกมาจากเทือกเขาพอดี บนศีรษะกับลำตัวของทุกคนมีหิมะเกาะอยู่ เฉียวเจิงสะพายล่วมยาไว้บนหลัง ราชันอสูรอุ้มสือชี เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหิ้วถุงกระสอบที่บรรจุสมุนไพรเต็มไปหมด ส่วนไห่สือซานอุ้มต้าไป๋อยู่
เมื่อทุกคนมองเห็นจีหมิงซิวที่ยืนสง่าอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ พวกเขาก็พากันก้มหน้า
อาชาร่างกำยำของจีหมิงซิวขยับเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว เขานั่งอยู่บนหลังม้าก้มมองทุกคนจากด้านบน “เสี่ยวเวยเล่า”
ไห่สือซานเนื้อตัวสั่นเทาส่งเศษผ้าที่ราชันอสูรคว้าจากแขนเสื้อของเฉียวเวยให้จีหมิงซิว
จีหมิงซิวตวาดเกรี้ยวกราด “ข้าถามถึงตัวนาง!”
ศีรษะของไห่สือซานก้มต่ำลงอีก
เฉียวเจิงนึกถึงบุตรสาวที่ร่วงตกลงไปในเหวลึก ดวงตาก็แดงระเรื่อ เขาอยากจะให้คนที่ตกลงไปเป็นตัวเขาเอง! หากรู้ก่อนเขาคงเชื่อฟังคำพูดของลูกสาว สมุนไพรบ้าบออะไรนี่เขาไม่ต้องการทั้งนั้น! อะไรก็ไม่ต้องการทั้งนั้น! หากออกมาเร็วกว่านี้สักหน่อย…บางทีคนพวกนั้นอาจจะตามมาไม่ทัน…
“ที่ใด” จีหมิงซิวถามสีหน้าสุขุม
เขายิ่งสุขุมเท่าใด ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่กับเขามานานก็ยิ่งหวาดผวาหัวใจสั่นสะท้าน
ทั้งสองคนสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวจีหมิงซิวเย็นชาขึ้นหนึ่งระดับ
ไห่สือซานสะกิดเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปัดมือเขาออก จากนั้นก็รวบรวมความกล้าตอบว่า “ปากถ้ำใต้สะพานหิน คนพวกนั้นยิงธนูใส่แม่ทัพน้อยมู่กับฮูหยินน้อย…พวกเขา…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ จีหมิงซิวก็ควบม้าพุ่งหายไปกลางพายุหิมะอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
…
เฉียวเวยหลงอยู่ในห้วงฝัน นางฝันเห็นตนเองถูกผีอำ นางเค้นพละกำลังพยายามร้องตะโกนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการนั้น ชั่วพริบตาที่ร้องตะโกนออกมาได้ นางก็ตื่นจากฝันของตนเอง
ทั้งร่างของนางปวดร้าวและไร้เรี่ยวแรง ศีรษะหนักอึ้งเหมือนถูกลาเหยียบมา
นางลืมตาขึ้นมองก็เห็นห้องที่ตกแต่งเรียบง่ายแห่งหนึ่ง โต๊ะกับเก้าอี้ผุพัง กำแพงสีซีดจาง บนกำแพงแขวนตะแกรงไว้หลายอัน ด้านข้างเตียงวางเตาถ่านไว้เตาหนึ่ง บนเตาถ่านจุดฟืนย่างมันฝรั่งกับมันเทศหลายหัวจนส่งกลิ่นหอมฉุย
นางได้กลิ่นหอมฉุยของมันเทศ ท้องก็ส่งเสียงร้องโครกคราก
ประตูไม้ถูกเปิดออก ลมหนาวหอบหนึ่งพัดหาหิมะเข้ามา
เฉียวเวยขดตัวซุกในผ้าห่มอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อบานประตูถูกปิดลง ห้องก็กลับมาอบอุ่นอีกหน
มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเดินมาที่เตียง ก่อนจะนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วยื่นมือออกมาดึงผ้าห่มของเฉียวเวยลงเบาๆ ตอนแรกอีกฝ่ายกลัวว่าเฉียวเวยจะซุกอยู่ด้านในจนหายใจไม่ออก แต่คิดไม่ถึงว่ากลับเห็นดวงตาเบิกโตคู่หนึ่ง นางยิ้มอย่างดีอกดีใจ “ฮูหยินน้อย ท่านฟื้นแล้วหรือ”
ฮูหยินน้อยหรือ
เฉียวเวยกะพริบตา จากนั้นจึงเพ่งสายตามอง ชั่วพริบตานั้นนางก็ตกตะลึง แม้แม่นางน้อยคนนี้จะสวมเสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์ทั้งตัวแต่ก็ยากจะปิดบังความงดงามของนาง นี่ไม่ใช่ซิ่วฉินแล้วจะเป็นผู้ใดอีก
เฉียวเวยเอ่ยเรียก “ซิ่วฉิน!”
ซิ่วฉินพยักหน้าอย่างดีอกดีใจ “ข้าเองเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย!”
เฉียวเวยมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป สีหน้าก็ดูไม่เลว จึงค่อยๆ วางใจ “พวกเราส่งคนออกมาตามหาเจ้าอยู่ตลอด คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าแล้ว…”
ซิ่วฉินยิ้มตอบว่า “ข้าไม่เป็นอันใด คืนนั้นข้าไปตักน้ำให้คุณหนู ตักได้ครึ่งเดียวก็พบกับนักรบมรณะคนหนึ่ง ข้าสู้เขาไม่ได้จึงถูกเขาไล่ล่าจนมาถึงที่แห่งนี้”
“เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ” เฉียวเวยถาม ความจริงที่นี่ก็ไม่เลว อย่างน้อยดูจากสีหน้าของซิ่วฉินแล้ว นางคงไม่พบความลำบากอันใดหรือถูกรังแกอะไรที่นี่
ซิ่วฉินพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ที่นี่เดิมทีมีท่านแม่เฒ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่ ตอนนั้นนางเป็นคนเก็บข้ามา ตอนนี้นางออกไปข้างนอก รอประเดี๋ยวท่านก็จะได้พบนาง”
เฉียวเวยถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่กลับมาเล่า รู้หรือไม่ว่าทุกคนเป็นห่วงเจ้าอยู่”
ซิ่วฉินก้มหน้า “ข้า…ข้าก็อยากกลับไป แต่ข้าจำทางไม่ได้แล้ว”
นางจำไม่ได้จริงๆ คืนที่มาคืนนั้นนางวิ่งอย่างตระหนกลนลานเกินไป สนใจแต่จะหลบหนีคนที่ไล่ล่าฆ่านางอยู่ด้านหลังจนตื่นตระหนกไม่เลือกเส้นทาง หากไม่ใช่เพราะท่านแม่เฒ่าเก็บนางมา นางก็คงหลงทางตายอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้แล้ว
เฉียวเวยรู้ว่าเรื่องนี้โทษนางไม่ได้ เทือกเขาหมั่งฮวงกว้างใหญ่นัก มันมีขนาดแทบจะเท่ากับอาณาเขตของเผ่าเยี่ยหลัวทั้งหมด แม่นางน้อยตัวคนเดียวเดินทางออกไปได้เสียที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นอากาศก็หนาวเย็นแล้ว หิมะปิดกั้นภูเขาอยู่ ไม่สะดวกจะสำรวจหาเส้นทางบนภูเขาจริงๆ
เฉียวเวยจำได้ว่าตนเองพลัดร่วงลงมาจากสะพานหิน หากร่วงลงมาถึงตรงนี้ได้ก็หมายความว่าความจริงแล้วพวกนางอยู่ห่างจากทางออกไม่ไกลใช่หรือไม่
พอสันนิษฐานได้เช่นนี้ดวงตาของเฉียวเวยก็เป็นประกายจางๆ “เจ้าช่วยข้าไว้หรือ”
“ข้าไปซักผ้าแล้วพบท่านตรงริมแม่น้ำ จริงสิ ข้างๆ ท่านยังมีบุรุษอีกคนหนึ่ง เขา…” ซิ่วฉินนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เขาเป็นอันใดกับท่านหรือเจ้าคะ ตอนที่ข้าพบท่าน ท่านถูกเขา…”
กอดปกป้องไว้ในอ้อมแขน ถ้อยคำนี้พูดออกมาไม่ลงจริงๆ
เฉียวเวยรู้ดีว่านางเข้าใจผิดแล้ว ทว่าเรื่องบางอย่างพูดเพียงสองสามคำยากจะทำให้คนเชื่อ นางจึงได้แต่พยายามบอกอย่างตรงไปตรงมา “เขาคือแม่ทัพน้อยมู่จากหนานฉู่ เป็นสหายเก่าของข้ากับหมิงซิว เขาช่วยข้าถึงร่วงลงมาจากข้างบน”
พอได้ยินว่าเป็นสหายเก่าของทั้งสองคน ซิ่วฉินก็ทำท่าว่าเข้าใจแล้ว แต่เหตุใดนางหวนนึกถึงภาพในตอนนั้นแล้วรู้สึกว่าแม่ทัพน้อยมู่มีใจให้จั๋วหม่าน้อยกันนะ ปกติใครมันจะปกป้องผู้อื่นไว้ในอ้อมแขนโดยไม่สนใจชีวิตของตนเองขนาดนั้น
รู้บ้างหรือไม่ว่าตัวเขาเองอาจจะร่วงลงมาพิการดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ซิ่วฉินชี้เหนือศีรษะ “พวกท่านร่วงลงมาจากข้างบนหรือเจ้าคะ จากยอดเขาน่ะหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยชะงัก “น่าจะกระมัง”
ดวงตาของซิ่วฉินเบิกโตในพริบตา “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านยังรอดมาได้เช่นไร”
เฉียวเวยเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ชั่วพริบตาที่พลัดตกจากถ้ำ นางคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว นางยังนึกอยู่เลยว่าต่อให้ตายกลายเป็นผีก็จะหวนกลับไปสับพวกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นเศษเนื้อ เคยคิดที่ไหนว่าตนเองจะดวงแข็งถึงเพียงนี้
ช่างทำให้คนประหลาดใจและน่ายินดีเสียจริง
“จริงสิ แม่ทัพน้อยมู่ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” เฉียวเวยถาม
ซิ่วฉินพยักหน้า นางเดินไปที่ประตูแล้วแง้มประตูออกเป็นช่องเล็กๆ หลังจากพินิจดูด้านนอกครู่หนึ่งก็เดินกลับมาข้างเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วบอกเฉียวเวยว่า “เขาอยู่เจ้าค่ะ เขาบาดเจ็บหนักอยู่บ้าง ข้าจึงพาเขาไปไว้ที่ห้องเก็บฟืนด้านหลัง”
เฉียวเวยไม่แปลกใจ บ้านบนภูเขาขนาดไม่ใหญ่คงไม่มีห้องเหลือเฟือจะเอาออกมาให้แม่ทัพน้อยมู่พัก จึงได้แต่พาเขาไปไว้ที่ห้องเก็บฟืน “เจ้าพาข้าไปดูเขาหน่อยได้หรือไม่”
ซิ่วฉินหลุบตาลง แล้วเบี่ยงกายบอกว่า “ท่านต้องนอนพักผ่อนบนเตียงนะเจ้าคะ”
เฉียวเวยขยับร่างกาย นอกจากความปวดร้าวกับรอยแผลขูดขีดเล็กน้อยที่ทำให้เจ็บแปลบอยู่บ้างก็ไม่มีอาการย่ำแย่ตรงที่ใดอีก นางบอกซิ่วฉินว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าบอกว่าเขาบาดเจ็บหนักมากไม่ใช่หรือ ข้าเป็นหมอ เขาต้องการข้า”
“แต่…เรื่องนั้น…” ซิ่วฉินอึกอักอยู่บ้าง
แววตาของเฉียวเวยเริ่มจริงจัง “เขาเป็นอะไรใช่หรือไม่”
ซิ่วฉินเม้มปาก นางอยากจะพูดบางอย่างแต่แล้วก็เงียบ นางลังเลครู่หนึ่งสุดท้ายก็เอ่ยอย่างจนปัญญา “ก็ได้เจ้าค่ะ ในเมื่อท่านต้องการพบเขา ข้าก็จะพาท่านไปพบเขาก็แล้วกัน”
เฉียวเวยตลบผ้าห่มออกไปยืนบนพื้น ไม่รู้ว่าเพราะร่วงตกหน้าผาศีรษะกระทบกระเทือนเล็กน้อยหรืออย่างไร นางเดินได้สองก้าวก็เวียนหัว หน้าอกอึดอัดเหมือนจะอาเจียน น่าเสียดายที่หมอรักษาตัวเองไม่ได้ นางจึงได้แต่อดทนไว้ก่อน โชคยังดีที่ไม่ว่าส่วนไหนๆ ของร่างกายนางก็ทำงานดีไปเสียหมด
เสื้อผ้าของเฉียวเวยเปียกปอนเพราะหิมะไปแล้ว ซิ่วฉินจึงให้นางสวมเสื้อผ้าของตนเอง ส่วนซิ่วฉินก็สวมเสื้อผ้าที่แม่เฒ่ายกให้นาง มันเป็นเสื้อแขนกุดทำจาหนังสัตว์ มีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเงินกันลม นับว่าอุ่นสบายทีเดียว
ตอนซิ่วฉินเปิดประตู เฉียวเวยก็เห็นพายุหิมะโหมพัดทั่วผืนนภา อุณหภูมิของที่แห่งนี้หนาวเย็นกว่าเมืองเยี่ยเหลียงเล็กน้อย นางกระชับผ้าคลุมกันลม
“พวกเรารีบไปกันเถิด ที่นี่ลมแรง ท่านอย่าต้องลมเลยดีกว่า ระวังจะจับไข้เอา” ซิ่วฉินเกลี้ยกล่อม
เฉียวเวยพยักหน้า นางมองพายุหิมะที่หนาประหนึ่งกำแพง อากาศเช่นนี้ หมิงซิวจะต้องตามหาตนเองอย่างยากลำบากมากแน่…
เขาจะร้อนใจมากหรือไม่
“ฮูหยินน้อย” ซิ่วฉินโบกมือตรงหน้านาง
เฉียวเวยได้สติกลับมา แล้วเดินไปยังห้องเก็บฟืนกับนาง
ระหว่างทางไปห้องเก็บฟืน ซิ่วฉินถามถึงฟู่เสวี่ยเยียน “คุณหนูสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “นางสบายดี คลอดคุณหนูตัวน้อยออกมาคนหนึ่ง แม่ลูกปลอดภัยดี”
“คุณหนูน้อยหรือ ดีเหลือเกิน!” ซิ่วฉินยิ้มจนปากไม่หุบ
ทั้งสองคนเลือกข้ามอดีตอันไม่น่าพอใจไป ไม่ว่าในอดีตจะขัดแย้งกันอย่างไร พวกนางก็ถูกผูกติดไว้ด้วยกันอีกครั้งเพราะเด็กน้อยคนนั้นแล้ว นางช่วยชีวิตฟู่เสวี่ยเยียนกับลูกเอาไว้ ส่วนซิ่วฉินก็ช่วยนางกับแม่ทัพน้อยมู่เอาไว้
โชคชะตา บางครั้งก็มหัศจรรย์จนพูดไม่ออก
ทั้งสองคนเดินผ่านห้องโถงกับท้ายเรือนเข้ามาในห้องเก็บฟืน