ตอนที่ 81 การต่อสู้กับแม่มด

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

อัลเฟรียรับหน้าที่จัดการไวเวิร์น

ถึงแม้ไวเวิร์นจะอยู่ในระดับชั้นที่ต่ำกว่ามังกร มันก็ยังถือเป็นปีศาจที่มีเกล็ดแข็งยิ่งกว่าเหล็กธรรมดา บินไปมาบนฟ้าได้ และมีลมหายใจเป็นเปลวเพลิง

ถึงกระนั้น กับปีศาจแค่นี้ อัลเฟรียไม่หวาดหวั่นอยู่แล้ว

มันอาจจะเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งพอสมควรก็จริง

แต่ตัวเธอเองต้องผจญกับศัตรูระดับนี้มาแล้วนักต่อนักก่อนที่เธอจะถูกผนึกไว้

ถึงแม้กิริยาของเธอจะไม่สุภาพ แต่ก็ยังเป็นความจริงที่ว่าตัวเธอคือเซนต์คนแรก

ยิ่งเป็นกว่านั้น ตัวตนของเซนต์ในยุคสมัยของเธอยังไม่เป็นที่ยอมรับ ทำให้ทรัพยากรและกำลังพลของเธอที่มีในการต่อสู้กับแม่มดนั้นน้อยกว่ารุ่นต่อๆมาอย่างเห็นได้ชัด

จริงอยู่ที่เธอถูกลอบโจมตีแล้วจับมาผนึกไว้ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวแค่ไหนในการต่อสู้ตรงๆ

ความแตกต่างของอัลเฟรียและเซนต์คนอื่นๆก็คือการที่เธอไม่มีอัศวินจำนวนมากมาคอยปกป้อง

ไม่นับรวมเอลริสที่แกร่งกว่าอัศวินทั้งหมดรวมกัน แต่เซนต์โดนส่วนมากแล้วจะไม่ค่อยได้ออกแนวหน้าหลังจากผ่านการแต่งตั้งเป็นเซนต์แล้ว

หน้าที่ของพวกเธอคือการร่ายเวทมนตร์จากแนวหลังในขณะที่ทหารและอัศวินทั้งหลายรับหน้าที่เป็นโล่มนุษย์เพื่อซื้อเวลา

อัลเฟรียน่ะต่างออกไป เธอต้องออกรบแนวหน้าไปสู้กับปีศาจโดยตรงอยู่ตลอด

นั่นทำให้ทักษะและรูปแบบการต่อสู้ของเธอนั้น”ไม่สมกับเป็นเซนต์” ถึงแม้จะเป็นเซนต์คนแรกก็เถอะ

“เตรียมพร้อมให้ดีล่ะกิ้งก่าจัง เจ้ากำลังจะกลายมาเป็นสนิมติดดาบของท่านอัลเฟรียผู้นี้ เนื้อไวเวิร์นนี่จะอร่อยมั้ยน้า…? เอากลับไปให้เอลริสทำสเต๊กให้ดีกว่า”

เธอจ้องไปที่เหยื่อพร้อมกับเลียริมฝีปาก จากนั้นก็เปิดใช้งานเวทมนตร์

เวทมนตร์ที่เธอเชี่ยวชาญคือธาตุที่มีเพียงเซนต์และแม่มดที่สามารถใช้งานได้ “ความมืด”

การควบคุมความมืดนั้นก็คือการควบคุมมิติที่กระทั่งแสงก็ไม่อาจส่องผ่าน

ฉะนั้นเวทมนตร์ธาตุมืดนี่ควรจะถูกเรียกว่าธาตุมิติจะถูกกว่า เป็นเวทมนตร์ระดับสูงที่มีเพียงผู้ได้รับเลือกจากโลกเท่านั้นจึงจะใช้ได้

อัลเฟรียโยนดาบสั้นของเธอขึ้นไปบนอากาศ

ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาจับไว้ ดาบนั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่อัลเฟรียจะโยนดาบประเภทเดียวกับขึ้นไปอีกสองเล่ม

ทำแบบนี้ไปอีกสามครั้ง จากนั้นเธอก็หยิบโล่รูปกระดองเต่าออกมา

โล่นี้เป็นโล่ที่เอลริสทำให้เป็นพิเศษ แต่ก่อนที่เธอจะโดนผนึก โปรเฟตะนั่นล่ะที่โดนเอาใาใช้แทนโล่นี้

“จะไปล่ะนะ!”

ดาบทั้งสิบเล่มร่ายรำกลางอากาศและพุ่งเข้าใส่ไวเวิร์ตามคำสั่งของอัลเฟรีย ราวกับว่ามีกลุ่มอัศวินที่มองไม่เห็นคอยสู้กับเจ้าไวเวิร์นอยู่

ส่วนตัวอัลเฟรียจะหลบอยู่หลังโล่ นี่คือวิชาสิบดาบที่อัลเฟรียถนัดนัก

ดาบจะโจมตีศัตรูจากทั้งบนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง หากปล่อยช่องว่างแม้แต่นิดเดียวก็จะโดนจู่โจมเข้าให้

นี่คือสไตล์การต่อสู้ที่อัลเฟรียสร้างขึ้นในการต่อสู้กับปีศาจจำนวนมากพร้อมๆกัน

เธอน่ะเป็นคนง่ายๆ อีกฝ่ายมากี่ตัวก็ใช้อาวุธจำนวนเท่ากันเข้าสู้

แต่ยิ่งเดินออกแนวหน้ามากเท่าไร ทั้งประสิทธิภาพและอัตราการอยู่รอดของเธอก็ยิ่งหดน้อยลง

จึงเป็นที่มาของการต่อสู้แบบเน้นวิ่งหลบในขณะที่ปล่อยให้อาวุธสู้ของมันเอง

รูปแบบการต่อสู้ในอุดมคติของอัลเฟรียก็คือการที่อีกฝ่ายทำอะไรกลับไม่ได้ ส่วนเธอก็จะขยี้พวกมันจนเละให้สาแก่ใจอยู่ฝ่ายเดียว…อะไรแบบนั้น

ถึงจะฟังดูแย่ แต่นี่เป็นสไตล์การต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพสูง

เพราะว่าไม่ได้มีคนถือดาบอยู่จริงๆ ทำให้ดาบที่เธอควบคุมสามารถเคลื่อนไหวในแบบที่มนุษย์ไม่สามารถแกว่งได้ และการที่อัลเฟรียให้ความสำคัญกับการหลบและป้องกันเป็นหลัก ทำให้เธอเป็นศัตรูที่ทนทายาดที่สุดในสนามรบ

และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เธอปล่อยให้ดาบสิบเล่มคอยโจมตีไวเวิร์นไปเรื่อยๆในขณะที่ตัวเธอเองก็ใช้โล่คอยกันลมหายใจเพลิงของมันไว้

เธอไม่มีทางจะแพ้ได้เลย

เจ้าไวเวิร์นจะถูกปราบเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

.

เอเทอร์น่ากำลังงงงวย

ตอนแรกที่ได้ยินแผนว่าจะให้เธอสู้กับปีศาจตัวคนเดียว ก็นึกว่าล้อกันเล่นเสียอีก

ถ้าเป้นอัลเฟรียก็เข้าใจได้ แต่ตัวเอเทอร์น่าเองเป็นเพียงแค่เด็กที่มีพลังใกล้เคียงกับเซนต์ ไม่ใช่เซนต์ตัวจริงด้วยซ้ำ

แผนก็คือการให้อัลเฟรียและเอเทอร์น่าจัดการปีศาจสองตัวให้เร็วที่สุด จากนั้นค่อยตามมาสมทบพวกจอห์นแล้วจัดการอีกสองตัวที่เหลือ

แต่นี่ต้องเป็นการเลือกที่ผิดพลาดแน่ๆ

เธอคิดว่ายังไงก็ทำไม่ได้ ถึงกับคิดว่าเอลริสพยายามจะฆ่าเธอด้วยซ้ำ

แต่ทันทีที่เริ่มสู้ ความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป

—เธอไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้เลย

“มออออออ!”

มิโนทอร์คำรามเสียงดังพร้อมแกว่งขวานไปมา แต่การโจมตีเหล่านั้นเข้าไม่ถึงเอเทอร์น่าเลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่ที่พลังของเอเทอร์น่าถูกปลุกขึ้นมา เพียงแค่ตั้งสมาธิเล็กน้อย การโจมตีใดๆของปีศาจก็เข้าไม่ถึงเธอ

เอเทอร์น่าไม่รู้ถึงการควบคุมมิติจากเวทย์ความมืด แต่มิโนทอร์ก็ไม่สามารถโจมตีเธอได้เลย

นี่คือความลับของการป้องกันไร้เทียมทานที่แม่มดและเซนต์มี เพราะว่ามิติรอบตัวพวกเธอโดนบิดเบี้ยว ทำให้การโจมตีเข้าไม่ถึงตัว

การจะทะลวงผ่านสิ่งนั้นได้ ผู้โจมตีก็จำเป็นต้องมีความสามารถในการควบคุมมิติเช่นกัน

พวกปีศาจเองก็มีพลังเช่นนั้น ถึงแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม ทำให้พวกมันสามารถทำร้ายเซนต์ได้

แต่ก็เหมือนกับที่คนธรรมดาไม่สามารถทำอะไรปีศาจได้ พลังการควบคุมมิติที่ปีศาจมีนั้นก็ช่างอ่อนแอ

ถ้าเซนต์ตั้งใจที่จะกันจริงๆ การโจมตีใดของปีศาจก็จะเข้าไม่ถึงตัว

‘ไม่อยากจะเชื่อเลย….ชั้นสามารถต่อกรกับสิ่งนี้ได้ ไม่สิ…ชนะได้’

การโจมตีของมิโนทอร์ไม่อาจทำร้ายเอเทอร์น่าได้ ในขณะที่ทุกการโจมตีของเอเทอร์น่าสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับมัน

อย่างที่บอกไปว่าปีศาจสามารถควบคุมมิติได้เล็กน้อย

เพราะเช่นนั้น การโจมตีของอัศวินทั้งหลายจึงสร้างความเสียหายน้อยกว่าที่ควรจะเป้นต่อพวกมัน

การโจมตีที่มีพลังมิติผสมอยู่จึงสามารถทะลวงการป้องกันนั้นและสร้างความเสียหายเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้

เมื่อเกราะมิติที่ล้อมพวกมันหายไป เนื้อในของปีศาจพวกนั้นก็ไม่ต่างจากสัตว์ธรรมดา

“ลูเช่!”

เอเทอร์น่าร่ายมนต์ออกมา ทำให้แสงมารวมที่ปลายนิ้วของเธอ

ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ลำแสงทะลุผ่านอกของเจ้ามิโนทอร์ ส่งมันลงไปนอนจมกองเลือด

.

“ฟุฮะฮะฮ่า! เอาเลย จงร่ายรำให้ข้าชม!”

เทียบกันแล้ว เวอร์เนล ซัปเปิ้ล และแมรี่ที่รับหน้าที่ถ่วงเวลาแม่มดนั้นต้องเจอกับการต่อสู้ที่โหดหินกว่ามาก

เมื่อแม่มดโบกคฑา กระสุนสีดำก็ถูกยิงออกมา

พวกเขาสามารถหลบได้ทันก็จริง แต่เมื่อเห็นกระสุนนั้นตกกระทบกับพื้นและสร้างหลุมใหญ่ขึ้นมา จึงอดไม่ได้เลยที่จะทำให้เหงื่อตก

“เรสตริโจนเน่!”

ซัปเปิ้ลร่ายมนต์เสกโซ่ขึ้นมาจากผืนดินเพื่อพันธนาการแม่มดไว้

เขาใช้พื้นของที่นี่เป็นวัตถุดิบ และใช้เวทย์ดินเปลี่ยนมันกลายเป็นโซ่และใช้เป็นอาวุธ

ไม่ว่าอย่างไร การโจมตีของพวกเขาก็ทำอันตรายต่อแม่มดไม่ได้

มากที่สุดที่ทำได้ก็คือการผนึกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเพื่อยื้อเวลา

“ลูกไม้ตื้นๆ!”

ทันทีที่พูดแบบนั้น หมอกสีดำรอบตัวเธอก็ทำลายโซ่นั้นออก

เธอขยายมิติรอบโซ่นั้นเพื่อง้างมันจนแตก

“…ฟรีส!”

แมรี่ใช้พลังเวทย์จำนวนมากเพื่อใช้เวทย์น้ำแข็งออกมา

เวทย์นี้แช่แข็งพื้นรอบๆทั้งหมด ทำให้เท้าของแม่มดถูกยึดติดอยู่กับพื้น

เหตุผลที่เธอถูกเลือกมาอยู่ทางกลุ่มนี้ก็เพราะความเชี่ยวชาญในด้านการจำกัดการเคลื่อนไหวศัตรูของเธอ

“อ่อนหัดน่า!”

แต่แม่มดก็เพียงต้องทำอย่างเดิมเพื่อจะหลุดออกมาได้

เธอโบกคฑาเพื่อเตรียมตัวโจมตีครั้งต่อไป

“ตรงนั้น!”

มิติรอบๆเวอร์เนลสั่นไหว

สร้อยที่เขาสวมอยู่แตกออก ส่งผลให้จี้ห้อยคอที่ได้รับมาจากเอลริสร่วงลงกับพื้น

ถือว่ายังดีที่จุดมุ่งหมายของการโจมตีนี้ไม่ใช่เพื่อเอาถึงตาย

ยังไงซะแม่มดก็จะยังต้องการพวกเวอร์เนลไว้เป็นตัวประกัน

ถ้าปล่อยให้ตายไปก็ไร้ความหมาย การจะจับพวกมันทั้งเป็นจึงเป็นเรื่องสำคัญ

และด้วยความรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหนือกว่า การโจมตีนั้นจึงถูกจำกัดพลังไว้เพื่อไม่ให้พลั้งมือฆ่าพวกเขาตาย

ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะก็ พวกเวอร์เนลคงจะต้านแม่มดได้ไม่นานถึงขนาดนี้หรอก

อีกอย่างหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีต่อต้านได้เลย

“ฮ้าาาาาา!”

เวอร์เนลคำราม ไอสีดำทมิฬปกคลุมทั่วร่าง

นี่คือ”ความมืด”เช่นเดียวกับแม่มด

เพื่อสลายเวทมนตร์ที่แม่มดร่ายออกมา เวอร์เนลง้างเกรทซอร์ดขึ้นและฟันลงไปยังแม่มด

ถึงแม้มันจะส่งเธอกระเด็นไป แต่ก็ไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับเธอ

ถึงจะเป็นความมืดแบบเดียวกัน ความเข้มข้นน่ะมันต่างกัน

ความเสียหายที่แม่มดได้รับจากการโจมตีเมื่อครู่มีไม่ถึงหนึ่งในสิบจากที่ควรจะเป็น

ถึงอย่างนั้น แม่มดก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เธอมองไปยังมือของตนเอง…และพบว่ามีเลือดอยู่

สำหรับตัวเธอที่ไร้เทียมทานแล้ว การจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ ไม่สามารถที่จะมองข้ามไปได้…และเธอก็นึกได้ถึงเหตุผลหนึ่งขึ้นมา

“เจ้า…เข้าใจล่ะ! เจ้านี่เองสินะที่ครอบครองพลังส่วนหนึ่งของข้าอยู่…เป็นเจ้า!”

แม่มด…อเล็กเซียในช่วงเวลาที่ยังหลงเหลือตัวตนอยู่ ก่อนที่เธอจะตกลงสู่ความมืด ได้ตัดวิญญาณของตนออกมาส่วนหนึ่งเพื่อต่อต้านกระบวนการเปลี่ยนเป็นแม่มด

เมื่อเธอกลายมาเป็นแม่มดอย่างเต็มตัว สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกเกี่ยวกับการกระทำนี้ก็คือความเสียดาย แต่เธอก็รู้ดีว่าที่ใดสักแห่งในโลกนี้มีใครสักคนที่ครอบครองวิยญาณและพลังส่วนหนึ่งของเธออยู่

เธอพบเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสามปีก่อน

ถึงแม้จะโดนตัดไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นวิญญาณของเธอ ทำให้อเล็กเซียยังสามารถสัมผัสถึงมันได้และรู้ที่อยู่คร่าวๆของมัน

ในตอนนั้นเธอส่งออคโตออกไปเก็บมันกลับมา แต่ก็ถูกขัดขวางโดยเอลริส…ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังส่วนนี้อีกเลย

เหยื่อที่หลุดหนีไปตอนนั้น ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเจอที่นี่!

รอยยิ้มของแม่มดเริ่มบิดเบี้ยว เธอมองเวอร์เนลราวกับได้เจอกับสมบัติที่ทำหายไป

“โออ โชคดีจริงๆ…ไม่นึกเลยว่าในหมู่คนที่ข้าสั่งให้พาตัวมา จะมีเจ้าหนูที่ครอบครองเศษเสี้ยวพลังของข้ารวมอยู่ด้วย…”

“นี่คือ-พลังของแก…?”

“ก็ใช่น่ะสิ ในตอนนั้นข้าน่ะยังโง่เขลา เลือกที่จะตัดพลังของตนออกไป ข้ารู้ว่ามันไปสถิตอยู่กับชีวิตที่ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา แต่ก็ไม่นึกเลยว่ามันจะกลับมาหาข้าถึงที่แบบนี้”

ตรงข้ามกับความสุขของแม่มด เวอร์เนลในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ

อย่างนี้นี่เอง เป็นความผิดของเจ้านี่

ที่เขาถูกครอบครัวทอดทิ้งและปฏิบัติเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด…

…ไม่ นั่นไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว

มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยกโทษให้ไม่ได้เป็นอันขาด

“อายุขัยของชั้นเหลืออีกไม่มากแล้ว อย่างมากก็ครึ่งปี…ชั้นคงจะอยู่ไม่ถึงวันเกิดครั้งต่อไปแล้วล่ะ”

เพราะว่าเขามีพลังนี้อยู่ เธอถึงได้มาช่วยเขาไว้ในวันนั้น

เพราะว่าเธอดึงพลังนั้นออกไป ทำให้อายุขัยของเธอถูกกัดกินหายไป

ในอีกไม่เกินครึ่งปี โลกนี้จะสูญเสียเอลริสไป

คนที่จะสามารถทำเช่นเดียวกับเธอได้ คงจะไม่โผล่มาอีกแล้วในอนาคต

จะไม่มีใครอื่นที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากเท่ากับเธออีกแล้ว

ในอีกเพียงครึ่งปี เธอก็จะจากโลกนี้ไป

เธอจะไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว…เธอจะไม่ยิ้มแย้มอีกแล้ว

ทุกๆอย่าง…ทั้งหมดนี้…

“ทั้งหมด…ทั้งหมดนี้—เป็นความผิดของแกกกกกกก!!!”

เวอร์เนลคำรามเสียงดัง ไอความมืดรอบตัวยิ่งเข้มข้นมากขึ้น

พลังที่หลั่งไหลออกมาผสมเข้ากับความรู้สึกที่ปะทุ ทำให้แม่มดเห็นภาพของยักษ์ที่กระทั่งเธอก็อดไม่ได้ที่จะหวาดผวา

เขาลืมเลือนหน้าที่ของตนไป ถือเกรทซอร์ดกระโจนเข้าใส่แม่มด

ไม่สนว่าเธอจะกันได้รึเปล่า

สายตาของเขาถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยความโกรธ เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าการโจมตีนั้นจะเข้าไม่ถึงอีกฝ่าย

ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาบของเขากระทบข้าใส่การป้องกันของแม่มดจนเกิดประกายไฟขึ้นมา เป็นการโจมตีที่บ้าคลั่งและดุร้าย

“อึก…อะ อะไรน่ะ!? อยู่ๆก็…!”

ถึงแม้แม่มดจะตื่นตระหนกกับแรงกดดันที่เขา่แผ่ออกมา เธอก็ยังโจมตีสวนกลับไปได้

แต่เวอร์เนลก็ยังไม่หยุด

ถึงแม้เวทมนตร์จะพุ่งเข้าใส่ท้องของเขาเต็มๆ เขาก็ไม่แม้แต่จะชะงัก

เสียงแกร๊งดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แม่มดใช้มือกุมหัวของเธอไว้ด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าแค่! ถ้าแค่ไม่มีแกอยู่ล่ะก็!!!!!”

น้ำตาไหลรินจากใบหน้าของเวอร์เนล เขาโยนดาบของตนทิ้งไปและขึ้นคร่อมแม่มด

เขากำหมัดแน่นและชกเข้าใส่ใบหน้าของเธอด้วยทุกอย่างที่มี

สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง…ถึงแม้จะส่งเสียงเหมือนกับถูกค้อนทุบในทุกๆหมัด แต่จริงๆแล้วความเสียหายไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น

แม่มดที่เริ่มตั้งสติได้ใช้เวทมนตร์เป่าเวอร์เนลออกไป

“อย่ามาทำได้ใจไปนะ! ไอ้เด็กเวร!”

แม่มดโบกคฑาและยิงลูกไฟออกไปห้าลูกพร้อมๆกัน

แมรี่ใช้ม่านน้ำเพื่อบังทัศนวิสัยของเธอไว้

แต่ถึงจะมองไม่เห็น เธอก็ยังไม่หยุดโจมตี

ซัปเปิ้ลและแมรี่ยิงกระสุนหินและน้ำแข็งผ่านม่านน้ำสวนกลับไป

เวอร์เนลใช้โอกาสนี้หยิบดาบขึ้นมาเพื่อโจมตีอีกครั้ง

“อย่ามาดูถูกข้านะเจ้าพวกเด็กบ้า… ข้าคือแม่มดนะโว้ย!”

แม่มดพูดด้วยความหงุดหงิด มิติรอบตัวเธอค่อยๆบิดเบี้ยว

ในครั้งนี้พลังเวทย์ที่ใส่เข้าไปในการโจมตีมันผิดกัน

จริงอยู่ที่จุดเด่นของแม่มดคือความคงกระพัน แต่ก็จะดูถูกพลังเวทย์มหาศาลของเธอไม่ได้เลย

เพราะว่าพลังของเวทมนตร์นั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ที่ใส่ไป ยิ่งยัดพลังเวทย์เข้าไปในการโจมตีเยอะเท่าไรก็จะยิ่งรุนแรง

ด้วยพลังเวทย์จำนวนมากที่เธอถือครองอยู่ การโจมตีของเธอจึงไม่อาจกันได้

เพียงแค่ครั้งเดียว ซัปเปิ้ล เวอร์เนล และแมรี่ก็ถูกอัดกระเด็นติดผนัง

“หึ…พวกเจ้ามีความสามารถก็จริง แต่สุดท้าย…”

“ไอ้ย๊ะ เจอยัยโง่ที่เผลอลดการป้องกันหนึ่งหน่อ!”

ในตอนที่แม่มดเริ่มใจเย็นลง เธอก็โดนอัลเฟรียดร็อปคิกเข้าให้ที่สีข้าง

ความคงกระพันของแม่มดไม่มีผลเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเซนต์คนแรกอย่างอัลเฟรีย

ลูกเตะของอัลเฟรียส่งแม่มดกระเด็นไป เธอหันมาหาพวกพ้องของเธอพร้อมชูนิ้วเป้นตัว V

“เย้!”

และอัลเฟรียที่เผลอลดการป้องกันก็โดนแม่มดโจมตีจนกระเด็นไป

อุ๊ยตาย ยัยโง่ที่ไหนกันนะ

อเล็กเซียน้ำตาคลอจากความเจ็บปวดที่สีข้างค่อยๆลุกขึ้นมา

“นี่เจ้า…ทะลวงการป้องกันของข้าได้ยังไงกัน…?”

แม่มดเริ่มระแวงอัลเฟรียขึ้นมา ในมือกำคฑาแน่น

อีกฝ่ายคือตัวตนที่โจมตีผ่านการป้องกันสมบูรณ์แบบของเธอมาได้ นั่นทำให้เธอหวาดกลัวเล็กน้อย

รอบนี้ เป็นเวทมนตร์ของเอเทอร์น่าที่พุ่งมาทางนี้

เธอคิดจะใช้มือเดียวกันเอาไว้ แต่เธอสังหรณ์ไม่ดี จึงเลือกที่จะหลบแทน

การโจมตีที่โดนหลบแบบฉิวเฉียดนั้นสร้างรอยแผลบนมือของอเล็กเซีย ใบหน้าของแม่มดเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงที่สุด

“เป็น เป็นไปไม่ได้… เธอคนนั้นก็ทะลวงการป้องกันของข้าได้เช่นกันหรือ…!? นี่มันบ้าอะไรกัน…!”

ไม่เคยมีใครอื่นนอกจากเซนต์ที่สามารถทะลวงการป้องกันของแม่มดได้มาก่อน สองคนรวดนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เมื่อเห็นพวกเอเทอร์น่าตามมาสมทบ ก็ทำให้แม่มดรู้สึกตัวว่าในตอนนี้เหลือเธออยู่เพียงคนเดียว

แต่เจ้าพวกนั้นก็ไม่ปล่อยเวลาเหลือให้เธอได้คิด

อัลเฟรียโบกคฑาที่ได้รับมาจากเอลริสและยิงเวทมนตร์ออกไปเต็มกำลัง

มิติรอบตัวเธอบิดเบี้ยว ปรากฏหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสิ่งออกมา

“อะไร…นี่มันเป็นไปไม่ได้! ได้ยังไงกัน ทั้งที่เอลริสก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แท้ๆ ทำไมถึงมีเซนต์อยู่ได้ล่ะ!?”

เบื้องหน้าแม่มดที่ตัวสิ่นด้วยความกลัว เอเทอร์น่าก็ร่ายเวทมนตร์ตาม

มิติรอบตัวเธอเองก็เริ่มบิดเบี้ยว แสงค่อยๆมารวมตัวที่ปลายคฑาของเธอ

“คะ คนนั้นก็ด้วยรึ?! โกหก โกหกน่า…นี่มันไม่จริง…ทำไม…ทำไมถึงมีเซนต์อยู่สองคน!?”

เซนต์มีอยู่เพียงคนเดียวในแต่ละยุคสมัย เป็นเช่นนี้มาตลอด

แต่กลับมีข้อยกเว้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเธอ

ยิ่งไปกว่านั้น เอลริสยังไม่ได้มาที่นี่เสียด้วยซ้ำ ก็แสดงว่ามีเซนต์อยู่ถึงสามคนน่ะสิ?

“เอาล่ะเอเทอร์น่าจัง กะให้ตรงจังหวะของเรานะ!”

“ค่ะ ท่านอัลเฟรีย!”

พลังเวทย์ของอัลเฟรียและเอเทอร์น่าเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนยิงการโจมตีเข้าใส่แม่มด

“ซุปเปอร์ท่าไม้ตาย! บอลโคตรอภิมหาเทพแข็งแกร่งทนทานงดงามที่สุดในสามโลก!”

“อะ เอ่ออ….แบบว่า บอลที่สุดยอดมากๆค่ะ!”

ชื่อท่าไม้ตายของเธอแสดงให้เห็นอย่างดีว่าเซนส์การตั้งชื่อของอัลเฟรียนั้นห่วยแค่ไหน ส่วนเอเทอร์น่าที่ไม่มีเวลาคิดชื่อท่าก็จำเป็นต้องให้ชื่อสั่วๆแบบนั้นไป

ถึงแม้จะชื่อเอาฮาแบบนี้ แต่พลังนั้นเป็นของจริง

แม่มดที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ ก็ได้แต่รีดพลังเวทย์ทั้งหมดมาใช้ป้องกันการโจมตีนั้น…

—เกิดระเบิดขนาดขึ้นที่ชั้นใต้ดินส่งเสียงดังขนาดทำให้หูดับได้ออกมา