สิ่งที่อินกองเห็นเป็นอย่างแรกหลังจากตื่นนอนในยามปกติคือเพดานหรือกำแพง แต่ในครั้งนี้สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นเส้นผมสีเขียวกระจัดกระจายบนใบหน้าของเขา และใบหน้าอันยินดีของเจ้าของเส้นผมเหล่านี้

 

 อินกองจ้องตากรีนวินด์ด้วยใบหน้าอันงัวเงีย เขาแทบจะร้องออกมาอย่างตกใจ หากแต่อีกฝ่ายร้องออกมาได้เร็วกว่าเขา

 

‘นายท่าน!’

 

 กรีนวินด์ร้องขึ้นพลางโผเข้ากอดอินกอง ท่ามกลางความงุนงง อินกองมองผ่านเส้นผมของกรีนวินด์ไปพบกับเพดานที่ดูหรูหรา

 

‘แล้ว…’

 

 อินกองพยายามตั้งสติภายใต้อ้อมกอดของกรีนวินด์ เขาใช้มือซ้ายลูบหลังกรีนวินด์เบาเบา ก่อนจะระลึกบางอย่าง

 

‘เดี๋ยวนะ’

 

 บางอย่างผิดแปลกไปเพราะอินกองรู้สึกเพียงมือซ้ายของเขา อินกองพยายามหันหน้าไปทางขวาพลางขยับตัวลุกขึ้น

 

“นายท่านรู้สึกเป็นปกติใช่ไหม?”

 

 กรีนวินด์อยู่ในสภาพกายเนื้อออกมานั่นทำให้ตัวนางมีน้ำหนัก แม้อินกองสงสัยว่ามวลกายของนางมาจากไหนแต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจในตอนนี้ เขามองไปยังร่างของเคทลินที่นอนกุมมือขวาของเขาอยู่ด้านข้าง

 

 ห้องที่ดูหรูหรา… แล้วก็เตียงนอนขนาดใหญ่

 

 ชุดที่อินกองสวมอยู่เป็นชุดที่สามารถสวมใสได้ง่าย ชุดของเคทลินที่นอนอยู่ด้านข้างก็เช่นกัน

 

 อินกองชักมือของเขาจากพันธนาการของเคทลินอย่างระมัดระวัง แล้วหันกลับไปทางกรีนวินด์

 

“อธิบายที”

 

 กรีนวินด์ผงกหัวอย่างรวดเร็ว

 

“พวกเราอยู่ที่ราชวังของไลแคนโทรป นายท่านสลบไปถึงสี่วัน”

 

“ส สี่วัน?”

 

“สี่วัน ข้าเฝ้าดูแลนายท่านมาตลอดสี่วัน การเฝ้ามองเป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษของข้า”

 

 กรีนวินด์พูดขึ้นอย่างขบขัน และอินกองก็รู้ถึงสาเหตุ นั่นเพราะกรีนวินด์ที่มีชีวิตอยู่ลำพังมาหลายร้อยปี

 

 อินกองสวมกอดกรีนวินด์อย่างแน่น กรีนวินด์แปลกใจเล็กน้อยแต่ก็รับรู้ได้ว่านี่คือรางวัลของนาง

 

“งืมม ถึงข้าจะไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกดี เอาอีกๆ”

 

 อินกองยิ้มให้กับท่าทางของกรีนวินด์ ก่อนจะผลักนางออกเล็กน้อยแล้วลูบหัวนาง

 

“ช่วยอธิบายต่อให้ผมด้วย”

 

“งืมม พวกเราอยู่ในราชวังของไลแคนโทรป ที่นายท่านนอนอยู่ข้างเคทลินก็เพื่อให้การฟื้นฟูร่างกายของทั้งคู่เพิ่มขึ้น”

 

“ฟื้นฟูร่างกาย?”

 

 นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย กรีนวินด์ถอยออกห่างมองอินกองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามกลับ

 

“นายท่านจำเหตุการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน?”

 

“เอ่อ… จีราดหนีไปได้?”

 

 อินกองหลับตาค้นความทรงจำของเขา ภาพที่ไหล่ของจีราดถูกทำลายจากวิชาอัสนีผุดขึ้นมา

 

‘คารัคแบกเราออกมา ส่วนกรีนวินด์ก็คอยช่วยป้องกัน’

 

 ภาพเหตุการณ์ต่อจากนี้เลือนลาง มีเสียงของเฟลิซีดังขึ้นก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป

 

 กรีนวินด์พูดเสริม

 

“เฟลิซีใช้ผลึกแสงจันทร์กับนายท่านและเคทลินตามคำขอของคริสต์ นางแบ่งมันเป็นส่องส่วน แล้วบางอย่างผิดปกติก็เกิดขึ้นระหว่างพวกท่านกำลังดูดซับผลึกแสงจันทร์”

 

 อินกองรีบเปิดหน้าต่างสถานะและหน้าต่างทักษะของเขาขึ้นมา เขากวาดสายตาพบสิ่งที่เปลี่ยนไปในที่สุด

 

 [กายาชาตรี]
 [ทักษะติดตัวเสริม: แก่นจันทรา]

 

‘หัวใจ… ดวงที่สอง?’

 

 อินกองหลับตาลง เขาสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่รวมตัวเป็นก้อนอยู่ภายในอกของเขา ลมปราณบางส่วนขับเคลื่อนออกมาจากก้อนนี้ ทำให้กระแสลมปราณโดยรวมของเขาเปลี่ยนไป

 

 จากข้อมูลในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ผลึกจันทราเป็นสมุนไพรวิเศษที่สามารถรักษาบุคคลได้โดยสมบูรณ์ ขอเพียงแค่บุคคลนั้นยังมีลมหายใจตอนที่กลืนผลึกจันทรา สรรพคุณนี้ก็เรียกว่าสุดยอดแล้ว แต่มันยังมีสรรพคุณอื่นซ่อนเร้นอยู่อีก?

 

 อินกองรวมสมาธิจดจ่อกระแสลมปราณอยู่สักพัก แม้จุดกำเนิดจะมาจากสองแหล่งแต่ลมปราณของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไร ลมปราณทั้งสองยังคงรวมเป็นหนึ่ง เหมือนเขาจะสามารถโคจรลมปราณได้รวดเร็วและทรงพลังขึ้นกว่าเดิม

 

‘นี่มัน… ทวินไดรฟ์?’

 

 ภาพหุ่นเหล็กต่อสู้ในอวกาศผุดขึ้นมาในหัวของอินกอง

 ***DUM!!  *ขอบคุณ comment Hika Kichi ผู้แปลไม่ใช่สาวก ***ดั้ม เลยมึนอยู่นานกว่าจะรู้ว่าอันนี้อ้างอิง/ล้อเลียนอะไร

 

 นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่อินกองรับรู้ว่าผิดแปลกไป เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแฝงเพิ่มเข้ามาในกระแสลมปราณของเขา

 

 สิ่งแปลกปลอมบางอย่าง ที่อินกองกลับรู้สึกคุ้นเคย

 

 อินกองหันไปมองยังเคทลินระหว่างกรีนวินด์ยังคงอธิบายต่อ

 

“หลังจากดูดซับผลึกจันทรา นายท่านกับเคทลินก็ถูกหุ้มด้วยแสงประหลาดที่เชื่อมทั้งคู่เข้าด้วยกัน เหมือนที่นายท่านกับข้ามีพันธะ นายท่านกับเคทลินก็เช่นกัน แต่แน่นอนว่าพันธะที่ว่าไม่เหมือนของข้า”

 

 อินกองพยักหน้าเข้าใจ เขารู้สึกว่าเคทลินอยู่ในตัวเขา และตัวเขาเองก็อยู่ในตัวเคทลิน

 

“คริสต์บอกว่ายิ่งทั้งสองอยู่ใกล้กันเท่าไร พันธะก็จะยิ่งทรงพลังขึ้น ถ้านายท่านกุมมือนางอีกครั้ง นายท่านจะเข้าใจเอง”

 

 อินกองไม่รอช้า เขากุมมือเคทลินและเห็นผลที่เกิดขึ้นทันที

 

“นี่มัน”

 

 ทันทีที่มือของอินกองสัมผัสกับเคทลิน ลมปราณจากแก่นจันทราในตัวเขาก็แผดพุ่งราวกับได้รับการกระตุ้น

 

 ดูเหมือนคริสต์จะรู้ถึงเรื่องนี้ ถึงได้วางอินกองกับเคทลินไว้บนเตียงเดียวกัน

 

“แล้วมีใครบาดเจ็บอีกไหม?”

 

 อินกองวางมือที่กุมเคทลินลงพลางหันกลับไปถามกรีนวินด์

 

“ไม่มี นายท่านกับเคทลินสภาพย่ำแย่ที่สุดแล้ว คริสต์ตอนนี้ปึ๋งปั๋งสั่งการไปทั่ว ส่วนเฟลิซี แม้จะร้องฟูมฟายแต่นางไม่ได้บาดเจ็บอะไร”

 

“ค่อยยังชั่ว”

 

 อินกองรู้สึกว่าไม่ต้องห่วงคารัค ดาฟเน่ กัมมะ และเดเลียแต่อย่างใด

 ฮาเร็มใคร ฮาเร็มมัน◝(⁰▿⁰)◜

 

 อาชาแห่งอาณัติ

 

 อาชาแห่งทุพภิกขภัย

 

 คำพูดของอาณัติที่ว่าอินกองเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนางผุดขึ้นมาในหัว

 

 หรือว่าผู้ที่นำอินกองมายังโลกนี้จะเป็นนาง? แต่ทำไมถึงต้องเป็นเขา? นางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

 

 แน่นอนว่าอินกองไม่ได้โกรธเคือง การที่สตรีชุดขาวนำตัวเขามายังโลกนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ถึงแม้ตัวเขาเองจะยังไม่รู้ถึงเหตุผลเหล่านั้นก็ตาม

 

 แต่เขาก็ปล่อยข้อสงสัยเหล่านั้นทิ้งไว้ นั่นเพราะเขาไม่สามารถสื่อสารกับนางได้ กังวลเรื่องเหล่านี้ไปล้วนไร้ประโยชน์

 

‘คิดอีกด้านก็คือโคตรเจ๋ง’

 

 เหตุผลก็เพราะว่า

 

 ในวันหนึ่งอินกองกลับพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกของเกม หรือโลกที่คล้ายคลึงกับเกมบทกวีแห่งผู้กล้า

 

 แม้มันอาจจะมีปัจจัยที่เลวร้ายที่ตัวเขายังไม่รู้ถึง แต่มันก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เขามองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งอัศจรรย์

 

‘แล้วก็… ’

 

 อินกองจ้องมองยังใบหน้าของเคทลิน แม้จะซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ไม่มีสีหน้าเจ็บปวดอย่างใด ลมปราณที่เขาสัมผัสได้ก็ไม่มีความแปรปรวน

 

 การมาเยือนของอินกองทำให้เหตุการณ์ทั้งหลายในโลกนี้เปลี่ยนไป

 

 อินกองต้องการจะหยุดยั้งวันล้างบางเอาไว้ให้ได้ แม้เหตุผลที่แท้จริงคือเขาไม่อยากตายแต่มันก็มีบางอย่างมากกว่านั้น

 

 หลังจากที่รู้จักกับคริสต์และเคทลิน อินกองต้องการจะยับยั้งการกวาดล้างเหล่าไลแคนโทรป และหากหยุดวันล้างบางเอาไว้ได้ นั่นย่อมช่วยให้เฟลิซีและดาฟเน่รอดมาด้วย

 

 ถึงจะมีเรื่องของบุคคลปริศนาทั้งสี่อยู่อีก แต่นั่นก็คือนั่น นี่ก็คือนี่

 

 อินกองไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ของโลกมารแห่งนี้ดำเนินไปตามที่ปรากฏในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า

 

‘สรุปก็คือ เหมือนเดิมสินะ’

 

 เช่นเดียวกับความคิดแรกเริ่มที่อินกองมีในยามที่ก้าวมาสู่โลกแห่งนี้

 

 ความคิดที่ไม่ต่างไปจากคำพูดของคริสต์และปราชญ์ดาบ

 

 ที่เขาต้องการก็คือพลัง

 

 พลังที่มากพอจะต่อกรกับอุปสรรคทั้งหมดที่ขวางทาง แล้วปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลายไปเอง

 

 อาจเรียกได้ว่าเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาและสิ้นคิดแต่มันก็คือความจริง อย่างการต่อสู้กับจีราด อินกองแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต่อต้านจีราดได้ หากอินกองมีพลังน้อยกว่านี้ บทสรุปการต่อสู้กับจีราดย่อมเปลี่ยนไป แม้แต่คริสต์ เคทลิน คารัค และอีกจำนวนมากอาจต้องทิ้งชีวิตไว้ที่การต่อสู้กับจีราด

 

 อินกองบีบมือข้างที่กุมเคทลินพร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

‘พระเอก… สินะ’

 

 เช่นเดียวกับพระเอกในนิยาย อินกองจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ฟันฝ่าอุปสรรคแผนการอันชั่วร้าย และสร้างตอนจบอันสวยงาม

 แต่นิยายบางเรื่องก็ไม่ แฮปปี้เอ็นดิ้ง พระเอกตายตอนจบก็มีนาาา (¬‿¬ )

 

“นายท่านกำลังคิดอะไรอยู่? ข้าไม่ชอบสีหน้านั้นเลย”

 

 กรีนวินด์หรี่ตาลง แต่ก็มีเสียงผู้มาเยือนดังขึ้นก่อนนางจะพูดต่อ

 

“โฮ่ ตื่นซะทีสินะ?”

 

“คริสต์ฮยอง”

 

 ผู้มาเยือนที่ว่าก็คือคริสต์ในชุดหนังอย่างปกติ และนั่นทำให้กรีนวินด์หายตัวไปในทันที

 

 คริสต์ยักไหล่

 

“ขี้อายซะจริง”

 

‘ไม่ใช่ซะหน่อย’

 

 กรีนวินด์บ่นอุบอิบแต่อินกองก็ไม่สนใจ เขาลุกขึ้นนั่งก่อนจะถามคริสต์ด้วยเสียงจริงจัง

 

“ฮยองหายดีแล้วหรือครับ?”

 

“แน่นอน แล้วเอ็งละดีขึ้นรึยัง?”

 

 คริสต์ถามพลางดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง

 

“นิดหน่อยครับ ผมได้ยินเรื่องผลึกจันทราจากกรีนวินด์แล้ว ยังไงก็ขอบคุณมากครับ”

 

 สมุนไพรเลอค่าที่สามารถเก็บได้เพียงหนึ่งครั้งในรอบหนึ่งร้อยปี

 

 สิ้นเสียงอินกอง คริสต์ก็ลุกขึ้นพลางเอื้อมมือไปขยี้ผมของอินกองด้วยเสียงหัวเราะ

 

“เราต่างหากที่ต้องของคุณเอ็ง ถ้าไม่ได้เอ็งเราก็คงตายไปแล้ว แล้วไหนจะมีโอกาสได้เห็นตำนานแห่งผลึกจันทราซึ่งๆหน้าอีก”

 

 คริสต์ชำเลืองมองไปยังเคทลินเล็กน้อย เป็นที่แน่นอนว่าคริสต์รู้ถึงแก่นจันทราในตัวของอินกอง

 

 แล้วคริสต์ก็วางมาดนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

 

“เรื่องของจีราดในตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่าเป็นหรือตาย”

 

“ไม่มีรายงาน?”

 

 เป็นข้อสรุปที่ฟังดูแปลก ไม่ใช่ว่าจีราดหลบหนีไปได้หรอกหรือ?

 

 คริสต์กุมขมับก่อนจะตอบอินกอง

 

“หน่วยติดตามพบชิ้นส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นร่างกายท่อนล่างและท่อนบนของจีราด ดำสนิทเหมือนถ่าน… นั่นคือข้อสรุปจากรายงาน”

 

 ภาพที่วิชาอัสนีกระแทกเข้ากับไหล่ของจีราดผุดขึ้นมาในหัวของอินกอง ไหล่ที่ถูกเผาไหม้จนดำสนิทแตกกระจายออกเหมือนถ่าน

 

“เราคิดว่าจีราดน่าจะตายแล้วถ้าร่างท่อนล่างตัดขาดออกมา แต่… เพื่อความปลอดภัย เราคงต้องค้นหาต่อไปจนกว่าจะแน่ใจจริงๆว่าจีราดตายแล้ว”

 

 อินกองเห็นด้วยกับคริสต์ ตัวเขาก็ไม่คิดว่าจีราดจะตายในลักษณะนี้เช่นกัน

 

 คริสต์หัวเราะขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด

 

“อย่าคิดมากน่า ถึงจีราดจะรอดทั้งที่เสียร่างกายท่อนล่างไปก็เถอะ ท่อนบนก็เหลืออะไรบ้าง? ไหล่ซ้ายแหลกละเอียด สภาพก็ย่ำแย่ ส่วนไอ้วิชาแปลกๆนั่น เราก็มีวิธีการรับมือเตรียมไว้แล้ว”

 

 คริสต์พูดขึ้นเพื่อให้อินกองหายห่วง แต่ดวงตาของคริสต์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ดูเหมือนคริสต์จะเตรียมแผนการบางอย่างเอาไว้

 

 แล้วคริสต์ก็เปลี่ยนประเด็นการสนทนา

 

“มาคุยเรื่องผลึกจันทราดีไหม? พวกปรมาจารย์ต่างบอกว่าที่อยู่ในตัวเอ็งคือแก่นจันทรา ส่วนในตัวเคทคือแก่นบริวาร”

 

“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่มันดูเยี่ยมไปเลยครับ”

 

 กระแสลมปราณที่มาจากจุดกำเนิดสองจุด ยิ่งเมื่อทั้งสองรวมเป็นหนึ่งได้อย่างกลมกลืนแล้ว ผลจากการรวมกันย่อมไม่ใช่เพียง 1+1=2 แต่จะทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก

 

‘แล้วก็… ’

 

 อินกองจ้องไปยังเคทลิน มีหลายครั้งที่เขาต้องการทดลองอะไรหลายอย่าง และในครั้งนี้เขาหวังว่าเคทลินจะสามารถช่วยเขาพบวิธีฝึกฝนแบบใหม่ขึ้นได้

 อินกองเป็น M ถ้าต้องการให้เคทลินช่วยฝึกก็แสดงว่า… (✧∀✧)

 

“หืมม เอาเป็นว่าเราจะรอดูก็แล้วกัน”

 

 คริสต์พูดเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เขาชะเง้อมองบางอย่างก่อนจะบ่นบางสิ่ง

 

“ถึงเวลาแล้วสินะ”

 

“เวลา?”

 

 คริสต์หมายถึงอะไรกันแน่?

 

 คริสต์จ้องเขม็งมาที่อินกอง

 

“ฉัตร เดี๋ยวเอ็งจะได้พบ… เอาเป็นว่าอย่าตื่นเต้นก็แล้วกัน ใจเย็นเข้าไว้แล้วอะไรก็จะดีเอง”

 

“คริสต์ฮยอง?”

 

“มาเถอะ”

 

 คริสต์ก้าวถอยออกไปแล้วทหารองครักษ์ก้าวไปเปิดประตู ทหารตนนั้นหยุดอยู่ที่ประตูให้สตรีนางหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง

 

 อินกองรู้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นใคร

 

‘ราชินีองค์ที่สี่! เอเลน มูนไลท์!’

 

 ราชินีแห่งเหล่าไลแคนโทรป พระมารดาของคริสต์และเคทลิน!

 

 ชุดกระชับเข้ารูปสีน้ำเงินทำให้นางดูไม่ต่างไปจากเคทลินที่อายุยี่สิบปี สิ่งที่ทำให้นางต่างไปจากเคทลินคือเส้นผมสีดำขลับและเรือนร่างอันเย้ายวน

 

 หากนางยืนอยู่ข้างเคทลินแล้ว ทั้งคู่ดูเหมือนพี่น้องมากเสียกว่าแม่ลูก

 

 นางเดินเข้ามาใกล้พลางจ้องมองอินกองด้วยดวงตาสีน้ำเงินเช่นเดียวกับคริสต์ บุคลิกอันเยือกเย็นของนางทำให้อินกองตระหนักได้ว่าบุคลิกของเคทลินมาจากนาง

 

“เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา”

 

“พระพุทธเจ้าข้า”

 

 เอเลนเอ่ยออกมาและอินกองกล่าวขานรับ ก่อนนางจะหัวเราะขึ้นแล้วโอบเข้ากอดอินกอง

 

“เราต้องขอบคุณเจ้า เพราะเจ้าคริสต์และเคทลินจึงรอดชีวิตมาได้ หากมิเป็นเพราะเจ้า เหตุการณ์คงเลวร้ายมิผิดเพี้ยน”

 

 นางทำเพียงตบหลังอินกองเล็กน้อยก่อนจะปล่อยตัวเขาออก นางลูบแก้มอินกองราวกับเป็นลูกของนางแล้วพูดต่อ

 

“เราได้ยินเรื่องราวของเจ้าจากคริสต์และเคทลิน เป็นเรื่องที่น่าประทับใจยิ่ง นานแล้วที่เคทลินกล่าวชมเชยผู้ใดมากเยี่ยงนี้”

 

 บุคลิกของนางดูเยือกเย็น แต่เสียงของนางกลับดูอ่อนหวาน อินกองรู้สึกสับสนไม่ต่างจากในครั้งแรกที่เขาพบเคทลิน

 

 ในบทกวีแห่งผู้กล้าความสัมพันธ์ระหว่างเอเลนกับแซเฟียร์เป็นได้เพียงศัตรูเท่านั้น และการปรากฏตัวของนางในเหตุการณ์วันล้างบางก็สมกับที่นางได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งไลแคนโทรป

 

 แต่เอเลนที่อยู่ตรงหน้าอินกองในตอนนี้กลับดูเป็นมิตรจนเหลือเชื่อ

 

“เป็นพระกรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”

 

 อินกองตอบอย่างไม่ยำเกรง นั่นทำให้เอเลนหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ นางเดินถอยออกไปนั่งข้างคริสต์ก่อนจะหันชำเลืองกลับมามองยังเคทลินที่นอนกุมมืออินกอง

 

“จบการทักทายไว้เท่านี้ เราจะพูดอย่างตรงไปตรงมา”

 

 อินกองจ้องไปยังคริสต์อย่างสงสัยแล้วก็พบกับแววตาของคริสต์ที่จ้องกลับมาอย่างท้าทาย เอเลนที่นั่งอยู่ระหว่างทั้งคู่กล่าวขึ้นพลางมองมายังอินกอง

 

“เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา เจ้ามีความคิดจะขึ้นเป็นจอมมารหรือไม่?”

 

 คำถามที่ออกมาจากราชินีแห่งเหล่าไลแคนโทรปทำให้อินกองตัวแข็งทื่อ

 

 ดวงตาของอินกองเบิกกว้าง ราชินีเอเลนนั่งรอคำตอบจากอินกองท่ามกลางความเงียบ