สิ่งที่อินกองเห็นเป็นอย่างแรกหลังจากตื่นนอนในยามปกติคือเพดานหรือกำแพง แต่ในครั้งนี้สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นเส้นผมสีเขียวกระจัดกระจายบนใบหน้าของเขา และใบหน้าอันยินดีของเจ้าของเส้นผมเหล่านี้
อินกองจ้องตากรีนวินด์ด้วยใบหน้าอันงัวเงีย เขาแทบจะร้องออกมาอย่างตกใจ หากแต่อีกฝ่ายร้องออกมาได้เร็วกว่าเขา
‘นายท่าน!’
กรีนวินด์ร้องขึ้นพลางโผเข้ากอดอินกอง ท่ามกลางความงุนงง อินกองมองผ่านเส้นผมของกรีนวินด์ไปพบกับเพดานที่ดูหรูหรา
‘แล้ว…’
อินกองพยายามตั้งสติภายใต้อ้อมกอดของกรีนวินด์ เขาใช้มือซ้ายลูบหลังกรีนวินด์เบาเบา ก่อนจะระลึกบางอย่าง
‘เดี๋ยวนะ’
บางอย่างผิดแปลกไปเพราะอินกองรู้สึกเพียงมือซ้ายของเขา อินกองพยายามหันหน้าไปทางขวาพลางขยับตัวลุกขึ้น
“นายท่านรู้สึกเป็นปกติใช่ไหม?”
กรีนวินด์อยู่ในสภาพกายเนื้อออกมานั่นทำให้ตัวนางมีน้ำหนัก แม้อินกองสงสัยว่ามวลกายของนางมาจากไหนแต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจในตอนนี้ เขามองไปยังร่างของเคทลินที่นอนกุมมือขวาของเขาอยู่ด้านข้าง
ห้องที่ดูหรูหรา… แล้วก็เตียงนอนขนาดใหญ่
ชุดที่อินกองสวมอยู่เป็นชุดที่สามารถสวมใสได้ง่าย ชุดของเคทลินที่นอนอยู่ด้านข้างก็เช่นกัน
อินกองชักมือของเขาจากพันธนาการของเคทลินอย่างระมัดระวัง แล้วหันกลับไปทางกรีนวินด์
“อธิบายที”
กรีนวินด์ผงกหัวอย่างรวดเร็ว
“พวกเราอยู่ที่ราชวังของไลแคนโทรป นายท่านสลบไปถึงสี่วัน”
“ส สี่วัน?”
“สี่วัน ข้าเฝ้าดูแลนายท่านมาตลอดสี่วัน การเฝ้ามองเป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษของข้า”
กรีนวินด์พูดขึ้นอย่างขบขัน และอินกองก็รู้ถึงสาเหตุ นั่นเพราะกรีนวินด์ที่มีชีวิตอยู่ลำพังมาหลายร้อยปี
อินกองสวมกอดกรีนวินด์อย่างแน่น กรีนวินด์แปลกใจเล็กน้อยแต่ก็รับรู้ได้ว่านี่คือรางวัลของนาง
“งืมม ถึงข้าจะไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกดี เอาอีกๆ”
อินกองยิ้มให้กับท่าทางของกรีนวินด์ ก่อนจะผลักนางออกเล็กน้อยแล้วลูบหัวนาง
“ช่วยอธิบายต่อให้ผมด้วย”
“งืมม พวกเราอยู่ในราชวังของไลแคนโทรป ที่นายท่านนอนอยู่ข้างเคทลินก็เพื่อให้การฟื้นฟูร่างกายของทั้งคู่เพิ่มขึ้น”
“ฟื้นฟูร่างกาย?”
นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย กรีนวินด์ถอยออกห่างมองอินกองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามกลับ
“นายท่านจำเหตุการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน?”
“เอ่อ… จีราดหนีไปได้?”
อินกองหลับตาค้นความทรงจำของเขา ภาพที่ไหล่ของจีราดถูกทำลายจากวิชาอัสนีผุดขึ้นมา
‘คารัคแบกเราออกมา ส่วนกรีนวินด์ก็คอยช่วยป้องกัน’
ภาพเหตุการณ์ต่อจากนี้เลือนลาง มีเสียงของเฟลิซีดังขึ้นก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป
กรีนวินด์พูดเสริม
“เฟลิซีใช้ผลึกแสงจันทร์กับนายท่านและเคทลินตามคำขอของคริสต์ นางแบ่งมันเป็นส่องส่วน แล้วบางอย่างผิดปกติก็เกิดขึ้นระหว่างพวกท่านกำลังดูดซับผลึกแสงจันทร์”
อินกองรีบเปิดหน้าต่างสถานะและหน้าต่างทักษะของเขาขึ้นมา เขากวาดสายตาพบสิ่งที่เปลี่ยนไปในที่สุด
[กายาชาตรี]
[ทักษะติดตัวเสริม: แก่นจันทรา]
‘หัวใจ… ดวงที่สอง?’
อินกองหลับตาลง เขาสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่รวมตัวเป็นก้อนอยู่ภายในอกของเขา ลมปราณบางส่วนขับเคลื่อนออกมาจากก้อนนี้ ทำให้กระแสลมปราณโดยรวมของเขาเปลี่ยนไป
จากข้อมูลในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ผลึกจันทราเป็นสมุนไพรวิเศษที่สามารถรักษาบุคคลได้โดยสมบูรณ์ ขอเพียงแค่บุคคลนั้นยังมีลมหายใจตอนที่กลืนผลึกจันทรา สรรพคุณนี้ก็เรียกว่าสุดยอดแล้ว แต่มันยังมีสรรพคุณอื่นซ่อนเร้นอยู่อีก?
อินกองรวมสมาธิจดจ่อกระแสลมปราณอยู่สักพัก แม้จุดกำเนิดจะมาจากสองแหล่งแต่ลมปราณของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไร ลมปราณทั้งสองยังคงรวมเป็นหนึ่ง เหมือนเขาจะสามารถโคจรลมปราณได้รวดเร็วและทรงพลังขึ้นกว่าเดิม
‘นี่มัน… ทวินไดรฟ์?’
ภาพหุ่นเหล็กต่อสู้ในอวกาศผุดขึ้นมาในหัวของอินกอง
***DUM!! *ขอบคุณ comment Hika Kichi ผู้แปลไม่ใช่สาวก ***ดั้ม เลยมึนอยู่นานกว่าจะรู้ว่าอันนี้อ้างอิง/ล้อเลียนอะไร
นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่อินกองรับรู้ว่าผิดแปลกไป เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแฝงเพิ่มเข้ามาในกระแสลมปราณของเขา
สิ่งแปลกปลอมบางอย่าง ที่อินกองกลับรู้สึกคุ้นเคย
อินกองหันไปมองยังเคทลินระหว่างกรีนวินด์ยังคงอธิบายต่อ
“หลังจากดูดซับผลึกจันทรา นายท่านกับเคทลินก็ถูกหุ้มด้วยแสงประหลาดที่เชื่อมทั้งคู่เข้าด้วยกัน เหมือนที่นายท่านกับข้ามีพันธะ นายท่านกับเคทลินก็เช่นกัน แต่แน่นอนว่าพันธะที่ว่าไม่เหมือนของข้า”
อินกองพยักหน้าเข้าใจ เขารู้สึกว่าเคทลินอยู่ในตัวเขา และตัวเขาเองก็อยู่ในตัวเคทลิน
“คริสต์บอกว่ายิ่งทั้งสองอยู่ใกล้กันเท่าไร พันธะก็จะยิ่งทรงพลังขึ้น ถ้านายท่านกุมมือนางอีกครั้ง นายท่านจะเข้าใจเอง”
อินกองไม่รอช้า เขากุมมือเคทลินและเห็นผลที่เกิดขึ้นทันที
“นี่มัน”
ทันทีที่มือของอินกองสัมผัสกับเคทลิน ลมปราณจากแก่นจันทราในตัวเขาก็แผดพุ่งราวกับได้รับการกระตุ้น
ดูเหมือนคริสต์จะรู้ถึงเรื่องนี้ ถึงได้วางอินกองกับเคทลินไว้บนเตียงเดียวกัน
“แล้วมีใครบาดเจ็บอีกไหม?”
อินกองวางมือที่กุมเคทลินลงพลางหันกลับไปถามกรีนวินด์
“ไม่มี นายท่านกับเคทลินสภาพย่ำแย่ที่สุดแล้ว คริสต์ตอนนี้ปึ๋งปั๋งสั่งการไปทั่ว ส่วนเฟลิซี แม้จะร้องฟูมฟายแต่นางไม่ได้บาดเจ็บอะไร”
“ค่อยยังชั่ว”
อินกองรู้สึกว่าไม่ต้องห่วงคารัค ดาฟเน่ กัมมะ และเดเลียแต่อย่างใด
ฮาเร็มใคร ฮาเร็มมัน◝(⁰▿⁰)◜
อาชาแห่งอาณัติ
อาชาแห่งทุพภิกขภัย
คำพูดของอาณัติที่ว่าอินกองเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนางผุดขึ้นมาในหัว
หรือว่าผู้ที่นำอินกองมายังโลกนี้จะเป็นนาง? แต่ทำไมถึงต้องเป็นเขา? นางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
แน่นอนว่าอินกองไม่ได้โกรธเคือง การที่สตรีชุดขาวนำตัวเขามายังโลกนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ถึงแม้ตัวเขาเองจะยังไม่รู้ถึงเหตุผลเหล่านั้นก็ตาม
แต่เขาก็ปล่อยข้อสงสัยเหล่านั้นทิ้งไว้ นั่นเพราะเขาไม่สามารถสื่อสารกับนางได้ กังวลเรื่องเหล่านี้ไปล้วนไร้ประโยชน์
‘คิดอีกด้านก็คือโคตรเจ๋ง’
เหตุผลก็เพราะว่า
ในวันหนึ่งอินกองกลับพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกของเกม หรือโลกที่คล้ายคลึงกับเกมบทกวีแห่งผู้กล้า
แม้มันอาจจะมีปัจจัยที่เลวร้ายที่ตัวเขายังไม่รู้ถึง แต่มันก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เขามองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งอัศจรรย์
‘แล้วก็… ’
อินกองจ้องมองยังใบหน้าของเคทลิน แม้จะซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ไม่มีสีหน้าเจ็บปวดอย่างใด ลมปราณที่เขาสัมผัสได้ก็ไม่มีความแปรปรวน
การมาเยือนของอินกองทำให้เหตุการณ์ทั้งหลายในโลกนี้เปลี่ยนไป
อินกองต้องการจะหยุดยั้งวันล้างบางเอาไว้ให้ได้ แม้เหตุผลที่แท้จริงคือเขาไม่อยากตายแต่มันก็มีบางอย่างมากกว่านั้น
หลังจากที่รู้จักกับคริสต์และเคทลิน อินกองต้องการจะยับยั้งการกวาดล้างเหล่าไลแคนโทรป และหากหยุดวันล้างบางเอาไว้ได้ นั่นย่อมช่วยให้เฟลิซีและดาฟเน่รอดมาด้วย
ถึงจะมีเรื่องของบุคคลปริศนาทั้งสี่อยู่อีก แต่นั่นก็คือนั่น นี่ก็คือนี่
อินกองไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ของโลกมารแห่งนี้ดำเนินไปตามที่ปรากฏในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า
‘สรุปก็คือ เหมือนเดิมสินะ’
เช่นเดียวกับความคิดแรกเริ่มที่อินกองมีในยามที่ก้าวมาสู่โลกแห่งนี้
ความคิดที่ไม่ต่างไปจากคำพูดของคริสต์และปราชญ์ดาบ
ที่เขาต้องการก็คือพลัง
พลังที่มากพอจะต่อกรกับอุปสรรคทั้งหมดที่ขวางทาง แล้วปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลายไปเอง
อาจเรียกได้ว่าเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาและสิ้นคิดแต่มันก็คือความจริง อย่างการต่อสู้กับจีราด อินกองแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต่อต้านจีราดได้ หากอินกองมีพลังน้อยกว่านี้ บทสรุปการต่อสู้กับจีราดย่อมเปลี่ยนไป แม้แต่คริสต์ เคทลิน คารัค และอีกจำนวนมากอาจต้องทิ้งชีวิตไว้ที่การต่อสู้กับจีราด
อินกองบีบมือข้างที่กุมเคทลินพร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย
‘พระเอก… สินะ’
เช่นเดียวกับพระเอกในนิยาย อินกองจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ฟันฝ่าอุปสรรคแผนการอันชั่วร้าย และสร้างตอนจบอันสวยงาม
แต่นิยายบางเรื่องก็ไม่ แฮปปี้เอ็นดิ้ง พระเอกตายตอนจบก็มีนาาา (¬‿¬ )
“นายท่านกำลังคิดอะไรอยู่? ข้าไม่ชอบสีหน้านั้นเลย”
กรีนวินด์หรี่ตาลง แต่ก็มีเสียงผู้มาเยือนดังขึ้นก่อนนางจะพูดต่อ
“โฮ่ ตื่นซะทีสินะ?”
“คริสต์ฮยอง”
ผู้มาเยือนที่ว่าก็คือคริสต์ในชุดหนังอย่างปกติ และนั่นทำให้กรีนวินด์หายตัวไปในทันที
คริสต์ยักไหล่
“ขี้อายซะจริง”
‘ไม่ใช่ซะหน่อย’
กรีนวินด์บ่นอุบอิบแต่อินกองก็ไม่สนใจ เขาลุกขึ้นนั่งก่อนจะถามคริสต์ด้วยเสียงจริงจัง
“ฮยองหายดีแล้วหรือครับ?”
“แน่นอน แล้วเอ็งละดีขึ้นรึยัง?”
คริสต์ถามพลางดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง
“นิดหน่อยครับ ผมได้ยินเรื่องผลึกจันทราจากกรีนวินด์แล้ว ยังไงก็ขอบคุณมากครับ”
สมุนไพรเลอค่าที่สามารถเก็บได้เพียงหนึ่งครั้งในรอบหนึ่งร้อยปี
สิ้นเสียงอินกอง คริสต์ก็ลุกขึ้นพลางเอื้อมมือไปขยี้ผมของอินกองด้วยเสียงหัวเราะ
“เราต่างหากที่ต้องของคุณเอ็ง ถ้าไม่ได้เอ็งเราก็คงตายไปแล้ว แล้วไหนจะมีโอกาสได้เห็นตำนานแห่งผลึกจันทราซึ่งๆหน้าอีก”
คริสต์ชำเลืองมองไปยังเคทลินเล็กน้อย เป็นที่แน่นอนว่าคริสต์รู้ถึงแก่นจันทราในตัวของอินกอง
แล้วคริสต์ก็วางมาดนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
“เรื่องของจีราดในตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่าเป็นหรือตาย”
“ไม่มีรายงาน?”
เป็นข้อสรุปที่ฟังดูแปลก ไม่ใช่ว่าจีราดหลบหนีไปได้หรอกหรือ?
คริสต์กุมขมับก่อนจะตอบอินกอง
“หน่วยติดตามพบชิ้นส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นร่างกายท่อนล่างและท่อนบนของจีราด ดำสนิทเหมือนถ่าน… นั่นคือข้อสรุปจากรายงาน”
ภาพที่วิชาอัสนีกระแทกเข้ากับไหล่ของจีราดผุดขึ้นมาในหัวของอินกอง ไหล่ที่ถูกเผาไหม้จนดำสนิทแตกกระจายออกเหมือนถ่าน
“เราคิดว่าจีราดน่าจะตายแล้วถ้าร่างท่อนล่างตัดขาดออกมา แต่… เพื่อความปลอดภัย เราคงต้องค้นหาต่อไปจนกว่าจะแน่ใจจริงๆว่าจีราดตายแล้ว”
อินกองเห็นด้วยกับคริสต์ ตัวเขาก็ไม่คิดว่าจีราดจะตายในลักษณะนี้เช่นกัน
คริสต์หัวเราะขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด
“อย่าคิดมากน่า ถึงจีราดจะรอดทั้งที่เสียร่างกายท่อนล่างไปก็เถอะ ท่อนบนก็เหลืออะไรบ้าง? ไหล่ซ้ายแหลกละเอียด สภาพก็ย่ำแย่ ส่วนไอ้วิชาแปลกๆนั่น เราก็มีวิธีการรับมือเตรียมไว้แล้ว”
คริสต์พูดขึ้นเพื่อให้อินกองหายห่วง แต่ดวงตาของคริสต์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ดูเหมือนคริสต์จะเตรียมแผนการบางอย่างเอาไว้
แล้วคริสต์ก็เปลี่ยนประเด็นการสนทนา
“มาคุยเรื่องผลึกจันทราดีไหม? พวกปรมาจารย์ต่างบอกว่าที่อยู่ในตัวเอ็งคือแก่นจันทรา ส่วนในตัวเคทคือแก่นบริวาร”
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่มันดูเยี่ยมไปเลยครับ”
กระแสลมปราณที่มาจากจุดกำเนิดสองจุด ยิ่งเมื่อทั้งสองรวมเป็นหนึ่งได้อย่างกลมกลืนแล้ว ผลจากการรวมกันย่อมไม่ใช่เพียง 1+1=2 แต่จะทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
‘แล้วก็… ’
อินกองจ้องไปยังเคทลิน มีหลายครั้งที่เขาต้องการทดลองอะไรหลายอย่าง และในครั้งนี้เขาหวังว่าเคทลินจะสามารถช่วยเขาพบวิธีฝึกฝนแบบใหม่ขึ้นได้
อินกองเป็น M ถ้าต้องการให้เคทลินช่วยฝึกก็แสดงว่า… (✧∀✧)
“หืมม เอาเป็นว่าเราจะรอดูก็แล้วกัน”
คริสต์พูดเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เขาชะเง้อมองบางอย่างก่อนจะบ่นบางสิ่ง
“ถึงเวลาแล้วสินะ”
“เวลา?”
คริสต์หมายถึงอะไรกันแน่?
คริสต์จ้องเขม็งมาที่อินกอง
“ฉัตร เดี๋ยวเอ็งจะได้พบ… เอาเป็นว่าอย่าตื่นเต้นก็แล้วกัน ใจเย็นเข้าไว้แล้วอะไรก็จะดีเอง”
“คริสต์ฮยอง?”
“มาเถอะ”
คริสต์ก้าวถอยออกไปแล้วทหารองครักษ์ก้าวไปเปิดประตู ทหารตนนั้นหยุดอยู่ที่ประตูให้สตรีนางหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง
อินกองรู้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นใคร
‘ราชินีองค์ที่สี่! เอเลน มูนไลท์!’
ราชินีแห่งเหล่าไลแคนโทรป พระมารดาของคริสต์และเคทลิน!
ชุดกระชับเข้ารูปสีน้ำเงินทำให้นางดูไม่ต่างไปจากเคทลินที่อายุยี่สิบปี สิ่งที่ทำให้นางต่างไปจากเคทลินคือเส้นผมสีดำขลับและเรือนร่างอันเย้ายวน
หากนางยืนอยู่ข้างเคทลินแล้ว ทั้งคู่ดูเหมือนพี่น้องมากเสียกว่าแม่ลูก
นางเดินเข้ามาใกล้พลางจ้องมองอินกองด้วยดวงตาสีน้ำเงินเช่นเดียวกับคริสต์ บุคลิกอันเยือกเย็นของนางทำให้อินกองตระหนักได้ว่าบุคลิกของเคทลินมาจากนาง
“เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา”
“พระพุทธเจ้าข้า”
เอเลนเอ่ยออกมาและอินกองกล่าวขานรับ ก่อนนางจะหัวเราะขึ้นแล้วโอบเข้ากอดอินกอง
“เราต้องขอบคุณเจ้า เพราะเจ้าคริสต์และเคทลินจึงรอดชีวิตมาได้ หากมิเป็นเพราะเจ้า เหตุการณ์คงเลวร้ายมิผิดเพี้ยน”
นางทำเพียงตบหลังอินกองเล็กน้อยก่อนจะปล่อยตัวเขาออก นางลูบแก้มอินกองราวกับเป็นลูกของนางแล้วพูดต่อ
“เราได้ยินเรื่องราวของเจ้าจากคริสต์และเคทลิน เป็นเรื่องที่น่าประทับใจยิ่ง นานแล้วที่เคทลินกล่าวชมเชยผู้ใดมากเยี่ยงนี้”
บุคลิกของนางดูเยือกเย็น แต่เสียงของนางกลับดูอ่อนหวาน อินกองรู้สึกสับสนไม่ต่างจากในครั้งแรกที่เขาพบเคทลิน
ในบทกวีแห่งผู้กล้าความสัมพันธ์ระหว่างเอเลนกับแซเฟียร์เป็นได้เพียงศัตรูเท่านั้น และการปรากฏตัวของนางในเหตุการณ์วันล้างบางก็สมกับที่นางได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งไลแคนโทรป
แต่เอเลนที่อยู่ตรงหน้าอินกองในตอนนี้กลับดูเป็นมิตรจนเหลือเชื่อ
“เป็นพระกรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
อินกองตอบอย่างไม่ยำเกรง นั่นทำให้เอเลนหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ นางเดินถอยออกไปนั่งข้างคริสต์ก่อนจะหันชำเลืองกลับมามองยังเคทลินที่นอนกุมมืออินกอง
“จบการทักทายไว้เท่านี้ เราจะพูดอย่างตรงไปตรงมา”
อินกองจ้องไปยังคริสต์อย่างสงสัยแล้วก็พบกับแววตาของคริสต์ที่จ้องกลับมาอย่างท้าทาย เอเลนที่นั่งอยู่ระหว่างทั้งคู่กล่าวขึ้นพลางมองมายังอินกอง
“เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา เจ้ามีความคิดจะขึ้นเป็นจอมมารหรือไม่?”
คำถามที่ออกมาจากราชินีแห่งเหล่าไลแคนโทรปทำให้อินกองตัวแข็งทื่อ
ดวงตาของอินกองเบิกกว้าง ราชินีเอเลนนั่งรอคำตอบจากอินกองท่ามกลางความเงียบ