ผลึกจันทรา        เสวนาเล่าขาน
เนืองนับโบราณ       ราชันสมิง

     แสวงชนเผ่า         รวมเข้าพักพิง
ไร้ซึ่งประวิง             สันติทลาย

         ศัตรูรบเร้า           เรียงเข้าท้าทาย
   ในนอกมิวาย            ปกปักษ์ศักดิ์ศรี

คาสเตียนรุกล่ำ    มิมัวรอรี
เจ็ดวันราตรี             มังกรดับสิ้น

    ราชันหมาป่า        นิทราเพียงดิน
หัวใจรวยริน            ผลึกจันทรา

   บาดแผลสลาย     หายในพริบตา
  หลอมรวมกายา        ตระกูลไลแคน

   เป็นหนึ่งปัจเจก     จิตเสกทดแทน
   คงตำนานแคว้น        กล่าวทอดสืบไป

ต้นฉบับก็เป็นแนวบทกวี ก็เลยพยายามแต่งให้เป็นกลอน ใครไม่พอใจก็ขออภัยด้วย ข้างล่างจะเป็นที่แปลตรงๆอ่านง่ายๆได้ใจความ

 

 ผลึกจันทราถูกค้นพบโดยต้นตระกูลราชวงศ์ไลแคนโทรป

 เขารวบรวมชนเผ่าไลแคนโทรปที่อยู่กระจัดกระจายเข้าเป็นปึกแผ่นและก่อตั้งอาณาจักร จนได้รับขนานนามว่าราชาหมาป่า

 ด้วยถิ่นอาศัยที่อยู่ในโลกมาร ราชาหมาป่าเผชิญกับการท้าทายหลากหลาย

 การบุกของศัตรูจากภายนอก การท้าทายของผู้ที่ต้องการแย่งบัลลังค์จากภายใน

 ราชาหมาป่าเผชิญการท้าทายอย่างห้าวหาญ

 และในวันหนึ่งอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ก็มาเยือน มังกรแดงคาสเตียนบุกมายังดินแดนไลแคนโทรป

 การต่อสู้ดำเนินไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน จนในที่สุดราชาหมาป่าก็ได้รับชัยชนะ

 ทว่าบาดแผลลึกจากการต่อสู้ก็แทบคร่าชีวิตของราชาหมาป่า หัวใจเกินกว่าจะเยียวยาได้ และในช่วงเวลาที่ความตายกำลังย่างกราย ราชาหมาป่าก็พบกับแสงส่องสว่างตัดผ่านค่ำคืน พืชสีขาวนิรนามที่ผลิบาน

 ราชาหมาป่าไม่ตื่นตระหนก เขาไม่ได้พบผลึกจันทรา แต่ผลึกจันทราเลือกราชาหมาป่า

 ผลึกจันทราละลายซึมซับผ่านอกของราชาหมาป่า เยียวยาและผสานกลายเป็นหัวใจดวงใหม่

 ราชาหมาป่าได้รับหัวใจดวงใหม่ เขาเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการตั้งสกุลให้ตนเอง มูนไลท์

 สายเลือดราชาหมาป่าสืบทอดต่อเนื่องในราชวงศ์ไลแคนโทรป  เวลาล่วงเลยก็มีบันทึกผู้พบเจอผลึกจันทราอีกมาก แต่มิเคยมีผู้ใดได้รับหัวใจจากผลึกจันทราอีกเลย

 

 นี่คือตำนานแห่งผลึกจันทรา

 

 มีเพียงราชาหมาป่าเท่านั้นที่ซึมซับพลังเวทจากผลึกจันทราได้อย่างสมบูรณ์ ราชาหมาป่า ไลแคนโทรปที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมา

 

 เรื่องเล่านี้เป็นเพียงตำนานปรัมปราเล่าสืบทอดกันในราชวงศ์ จริงอยู่ที่ผลึกจันทราถือเป็นสมุนไพรฟื้นฟูชั้นสูง แต่ทั้งหมดเชื่อว่าสรรพคุณที่เกินจริงเป็นเรื่องเยินยอที่ราชาหมาป่าแต่งเติมให้ผลึกจันทรา

 

 หากทว่าเรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นความจริง

 

 ตำนานแห่งผลึกจันทรา ไม่ใช่เรื่องแต่งเติมเยินยอแต่อย่างใด

 

 [ทักษะ พลังพระเอก ได้รับการเสริมประสิทธิภาพ]
 [ทักษะ กายาชาตรี ได้รับการเสริมประสิทธิภาพ]

 

 พลังเวทของผลึกจันทราหลอมรวมเข้าสู่ร่างของอินกอง และทักษะพลังพระเอกก็ซึมซับพลังเวทเหล่านี้เข้าไปเต็มที่

 

 ลมปราณที่ไหลเวียนอย่างแปรปรวนหยุดชะงัก ก่อนพลังเวทจากผลึกจันทราจะแผ่ขยายเข้าแทรกซึมทั่วทุกอนู

 

 ตรงข้ามกับพลังแห่งทุพภิกขภัยที่ดูดกลืนทุกสิ่ง พลังแห่งอาณัติครอบงำซึ่งทุกสิ่ง

 

 ผลึกจันทราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

 การไหลเวียนของลมปราณมีจุดกำเนิดเดียวกับการไหลเวียนของชีวิต นั่นก็คือหัวใจที่สูบฉีดเลือดเลี้ยงร่างกาย

 

 และในตอนนี้พลังเวทของผลึกจันทราก็ก่อตัวควบขึ้นถัดจากหัวใจของอินกอง พลังเวทนั้นรวมเข้ากับลมปราณของอินกอง ก่อตัวขึ้นเป็นหัวใจดวงที่สอง

 

 หัวใจสองดวง แหล่งกำเนิดสองแหล่ง…

 

 ประสิทธิภาพของผลึกจันทราที่มีเพียงราชาหมาป่าที่รับรู้

 

 ลมปราณของอินกองเริ่มโคจรไหลเวียนอีกครั้ง แต่เป็นจากสองแหล่งกำเนิด

 

 เคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร ที่เกิดจากการรวมตัวของเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพและเคล็ดประกาศิตจิตสุร เคลื่อนเดินลมปราณจากหัวใจทั้งสองดวง

 

 แสงสว่างที่ส่องประกายออกจากตัวอินกองเริ่มแผ่วลง คริสต์ที่เชี่ยวชาญเรื่องลมปราณที่สุดในกลุ่มรับรู้การโคจรลมปราณที่เปลี่ยนไปของอินกองได้ในทันที เขากำหมัดแน่นพลางจินตนาการถึงผลที่สามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการเคลื่อนลมปราณจากหัวใจสองดวง

 

 ยิ่งไปกว่านั่น ไม่ใช่อินกองเพียงผู้เดียวที่แสดงการเปลี่ยนแปลง

 

 เคทลินก็ซึมซับผลึกจันทราเข้าไปเช่นกัน

 

 อาจเรียกได้ว่าแสงจันทร์ได้รวมเข้าสู่ตัวอินกอง และแสงดาวรวมเข้าสู่ตัวเคทลิน

 

 ลมปราณของเคทลินตอบสนองต่อลมปราณของอินกอง ดั่งเช่นแสงดาวส่องประกายระยิบระยับรายล้อมดวงเดือน ลมปราณของเคทลินก็เริ่มเคลื่อนตัวโคจรรอบลมปราณของอินกอง

 

 ลมปราณสีขาว ที่มีลมปราณสีน้ำเงินเข้มรายล้อม

 

 กรีนวินด์และดาฟเน่ปล่อยมือ แล้วทั้งสองก็ถอยออก พวกนางทำในสิ่งที่สามารถทำได้แล้ว ที่เหลือก็รอเพียงปาฏิหาริย์จากผลึกจันทรา

 

 ร่างของอินกองและเคทลินที่ลอยอยู่ทยอยร่อนลง ลมปราณที่แผ่คลุมทั้งสองเริ่มเจือจางก่อนจะหายไปในที่สุด

 

 แกนลมปราณในร่างของทั้งสองได้เปลี่ยนไป

 

 คริสต์ได้แต่อ้าปาก ส่วนเฟลิซีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางลูบหัวอินกองและเคทลินอย่างเอ็นดู

 

&

 

 อินกองลืมตาขึ้นในห้วงความมืดอีกครั้ง ตรงหน้าของเขาก็คือสตรีในชุดขาวผู้สวมมงกุฎทอง

 

 นางอยู่ห่างออกไปไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล อินกองจ้องมองนาง ไม่มีการสนทนาใดระหว่างทั้งสอง นั่นเพราะนางไม่สามารถสนทนากับเขาได้ เสียงของนางที่เตือนอินกองอยู่เป็นระยะเป็นเพียงคำมากกว่าประโยค

 

 อาชาแห่งทุพภิกขภัย

 

 จีราด มูนไลท์ครอบครองพลังแห่งทุพภิกขภัยอยู่ในมือ

 

 แต่พลังแห่งทุพภิกขภัยของจีราดถือว่ายังอ่อนแอ พลังจากตัวทุพภิกขภัยแข็งแกร่งกว่านี้

 

 อินกองรู้ได้เพราะเขาเผชิญกับพลังนี้อย่างซึ่งหน้า ทั้งจีราดและอินกองต่างไม่ใช่อาชาอย่างสมบูรณ์

 

 อาณัติและทุพภิกขภัย

 

 พลังของมือหอกนิรนามในปราสาทธันเดอร์ดูมคือพลังแห่งอาสัญ แม้มือหอกที่ว่าจะไม่ใช่อาชาแห่งอาสัญ แต่เป็นที่แน่นอนว่าเขาได้รับพลังแห่งอาสัญบางส่วนมาจากตัวอาชา

 

 ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือรณการ

 

 เมื่อเทียบกับในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าแล้ว จีราดในเกมไม่ใช่อาชาแห่งทุพภิกขภัย

 

 ไม่ว่าจะเป็น อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย หรืออาสัญ ทั้งหมดต่างก็เป็นบางสิ่งที่ไม่ปรากฏในเกมที่อินกองเคยเล่น

 

 ทั้งสี่คืออะไรกันแน่? แล้วไหนจะอาชาทั้งสี่ที่สืบทอดพลังจากตัวตนปริศนาเหล่านี้? อาชาเหล่านี่มีอยู่เพื่อจุดหมายอะไร? หรือจุดหมายที่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการที่อาชาแห่งอาสัญเพ่งเล็งตัวแซเฟียร์?

 

 จากการที่อาชาแห่งอาสัญปองร้ายกับทางวังจอมมาร จึงเรียกได้อย่างแน่นอนว่าเป็นอีกขั้วอำนาจของโลกมาร

 

 จีราดผู้เป็นอาชาแห่งทุพภิกขภัยก็เป็นศัตรูกับเผ่าไลแคนโทรป ยิ่งไปกว่านั้นทุพภิกขภัยเองก็มีความเคียดแค้นในอาณัติเป็นอย่างมาก

 

 หรือว่าทุพภิกภัยกับอาสัญจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน?

 

 แต่ทำไมทุพภิกขภัยถึงได้เคียดแค้นอาณัติ? ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะอินกองเข้าขัดขวางจีราดแน่ ความแค้นที่อินกองรับรู้ได้มันฝังรากลึกยิ่งกว่านั้น

 

 ในดวงตาของสตรีชุดขาว… อินกองมองเห็นความโศกเศร้า นางเงื้อมือขึ้นลูบอากาศราวกับกำลังลูบแก้มอินกอง ก่อนนางจะเอ่ยปากออกมาเล็กน้อย

 

“อาชาของข้า เจ้าเป็นความหวังเพียงหนึ่ง… ”

 

 เสียงของนางจางหายไปราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง อินกองเห็นรอยยิ้มอันโศกเศร้าของนางอีกครั้ง ก่อนร่างของนางจะจางหายไปกับความมืด

 

 อินกองหลับตาของเขาลง แล้วร่างของเขาก็จางหายไปในความมืดเช่นเดียวกับนาง

 

&

 

 จีราดลากตัวเองไปตามพื้น เขาตัดแขนซ้ายที่ใช้การไม่ได้ทิ้งไปเรียบร้อย แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าความเจ็บปวดจะหายไปด้วย

 

 แขนหนึ่งข้างที่เหลืออยู่คลำตามพื้น ลากร่างกายที่อ่อนแรงให้เคลื่อนที่

 

“เจอแล้ว! มันอยู่ห่างไปไม่ไกล!”

 

“นี่มันกลิ่นเลือด!”

 

 เสียงของบรรดาทหารไลแคนโทรปดังขึ้นห่างออกไปไม่ไกล จีราดกัดฟันรวบรวมสมาธิไปยังแขนของเขา จีราดอยู่ในสภาพที่ชีพจรลมปราณแปรปรวน นั่นทำให้การรวบรวมลมปราณทำได้ยาก

 

 จีราดดึงตัวขึ้นนั่งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ผืนดินที่เปียกแฉะและเย็นพอช่วยระงับความเจ็บปวดให้เขาได้บ้าง

 

 จีราดนับถอยหลังในใจ เขาหลับตาลงรวมสมาธิไปยังประสาทการได้ยินพลางรวมพละกำลังในแขนของเขา

 

บรึ้ม!

 

 พลังในแขนขวาของจีราดระเบิดออก เขากระโจนเข้าโจมตีทหารไลแคนโทรปที่พลาดเข้าใกล้จีราดมากเกินไป ทหารตนนั้นยกแขนขึ้นปัดป้องแต่ก็ไม่ทันการ จีราดคว้าแขนข้างหนึ่งของทหารเคราะห์ร้ายตนนั้นแล้วเหวี่ยงลงพื้น ก่อนจะเงื้อไปจับคอ

 

 คอของเผ่าไลแคนโทรปใหญ่เกินกว่าจะคว้าได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แต่จีราดใช้แรงที่หลงเหลือบีบมันอย่างง่ายดาย เสียงหายใจติดขัดดังขึ้นก่อนมีเสียงบางสิ่งแตกหักตามมา

 

“แค่ก แค่ก!”

 

 ไลแคนโทรปตนนั้นหายใจไม่ออก พยายามใช้แขนคว้าหาบางอย่างใกล้ตัวแต่ก็ไม่เป็นผล จีราดออกแรงบีบมากขึ้น

 

“……”

 

 ร่างทหารไลแคนโทรปล้มลง จีราดใช้พลังแห่งทุพภิกขภัยดูดกลืนพลังคืนมาได้เล็กน้อย เทียบได้กับการตักน้ำเพียงหนึ่งขันใส่บ่อน้ำ

 

“ทางนั้น!”

 

“ขว้างหอกใส่มัน!”

 

 ไม่มีช่องว่างให้ร่างกายอันบอบช้ำของจีราดหลบเลี่ยงได้ หอกพุ่งแทงเข้าใส่ร่างของจีราดและศพทหารไลแคนโทรปเข้าพร้อมกัน

 

 ความร้อนที่วูบไปทั้งร่าง แม้จะอยู่ในสภาพเจียนตายขนาดไหน ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างนี้ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

 

“ขว้างไปอย่าหยุด!”

 

 หอกจำนวนมากถูกซัดมาอย่างต่อเนื่อง ไหล่ เอว อก น่อง ทั้งร่างของจีราดถูกปักไปด้วยหอก ถึงแม้เผ่าไลแคนโทรปจะทนทายาดขนาดไหนก็ตาม ท่ามกลางบาดแผลเหล่านี้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงรอความตายเท่านั้น

 

 ไม่มีทหารไลแคนโทรปตนใดเข้าใกล้จีราด แม้นี่อาจจะใช้เวลามากกว่าแต่พวกเขาก็ไม่คิดจะเสี่ยง

 

 จีราดหัวเราะออกมา อาจดูเหลือเชื่อท่ามกลางบาดแผลเหล่านี้ แต่จีราดหัวเราะอย่างไม่ผิดเพี้ยน

 

 ยี่สิบปีที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันภายใต้หอคอยนิฬกาล

 

 ภายใต้สภาพที่อาจตายได้ทุกเมื่อ สิ่งเดียวที่ทำให้จีราดยื้อชีวิตอยู่ได้คือความแค้น

 

 เอเลน มูนไลท์ น้องสาวผู้พรากทุกสิ่งไปจากตัวเขา

 

 และลูกของนาง คริสต์กับเคทลิน

 

 ที่สำคัญที่สุดคือผู้ที่ขัดขวางการชำระแค้นอันแสนยาวนาน อาชาแห่งอาณัติ!

 

 จีราดไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกต่อไป เบื้องหน้าเขามีแต่ความมืดมิด

 

 หากแต่จีราดกลับเห็นบางสิ่งในความมืดนี้ บุรุษในชุดสีดำที่กลืนกินทุกแสงสว่างชำเลืองมองลงมายังจีราด

 

‘ทีนี้ เจ้าจะยอมรับหรือไม่?’

 

 ทุพภิกขภัย

 

 เขาต่างไปจากรณการหรืออาสัญ ความคิดที่จะนำไปเทียบกับอาณัติยิ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลก

 

 ผู้ที่หิวกระหายอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ไม่ต้องการเลือกอาชาอย่างทั้งสามที่เหลือ

 

 สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่กายเนื้อที่สืบทอดพลัง แต่เป็นการถือกำเนิดของตัวตนทุพภิกขภัยอีกครั้ง

 

 จีราดหัวเราะให้กับบุรุษชุดดำตรงหน้า ในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของชายที่ชื่อจีราดก็ขาดลง ทุพภิกขภัยเข้ากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างของจีราด

 

 ร่างไลแคนโทรปที่ถูกหอกจำนวนมากเสียบอยู่ไม่อาจเรียกว่าจีราดได้อีกต่อไป

 

 สิ่งที่อยู่คือตัวตนแห่งทุพภิกขภัยพร้อมกับความหิวกระหายที่ไม่อาจหมดสิ้น

 

 ดวงวิญญาณของจีราดตกอยู่ภายใต้อาณัติของทุพภิกขภัยอย่างสมบูรณ์

 

 ร่างของจีราดหรือก็คือตัวทุพภิกขภัยในตอนนี้หัวเราะออกมาอย่างขบขัน นั่นก็เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองเพิ่งจะนึกใช้นิยามของ ‘อาณัติ’

 

“เดรน”

 

 เสียงกระซิบแห่งจุดเริ่มต้นและจุดจบ ทหารไลแคนโทรปทั้งหมดต่างตกอยู่ในอาณาบริเวณของทุพภิกขภัยอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

 ทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีต่างถูกดูดกลืนพลังชีวิต

 

 ร่างของทหารที่เหี่ยวเฉาจนไม่อาจแม้แต่จะส่งเสียง ถูกฝั่งลงสู่รอยแตกระแหงของผืนดินที่แผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว

 

 อาชาแห่งทุพภิกขภัยกลืนกินทุกอย่างที่อยู่ในอาณาเขตของเขาแล้วขยับร่างอย่างช้าช้า ร่างกายบางส่วนที่รับภาระไม่ไหวบุบสลายแตกหัก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ในแววตาของเขาเป็นฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

 

 ทุกสิ่งอย่างผิดแปลกไปตั้งแต่วันที่อันเคลตายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

 

 ถึงเวลาแล้วที่มันจะต้องได้รับการแก้ไข และจุดจบในครั้งนี้จะต้องเปลี่ยนไป

 

 อาชาแห่งทุพภิกขภัยเงยมองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ก่อนร่างของเขาจะจางหายไปกับความมืด

 

 

จบบทที่ 12 – ตำนาน เริ่มบทที่ 13 – อำนาจ