ความอันตรายของวิชาลับอิเนียไม่ได้อยู่ที่ความเสียหายจากการโจมตี แต่เป็นการทำลายเส้นชีพจร

 

 ชีพจรทั่วร่างอินกองแปรปรวน แม้อิเนียของอินกองไม่รุนแรงเท่าจีราด แต่เส้นชีพจรของจีราดก็ถูกรบกวนเช่นกัน

 

 อินกองกระอักเลือดท่ามกลางลมปราณสีขาวที่แตกกระจาย สภาพของเขาชุ่มชโลมไปด้วยเลือด ความรู้สึกบริเวณร่างกายซีกขวาเลือนลาง แม้แต่ทัศนวิสัยก็ไม่สามารถเห็นได้ชัด

 

 อินกองพยายามรวบรวมสติประคองไม่ให้ร่างกายสลบ เขาเพ่งมองไปยังจีราดที่พยายามประคองตนอย่างยากลำบากเช่นกัน

 

 สภาพของจีราดก็ไม่ได้ดีกว่าอินกองสักเท่าไร ร่างสัตว์สมิงหมดฤทธิ์ แขนซ้ายที่ห้อยอยู่อย่างไร้เรี่ยวแรง พลังแห่งทุพภิกขภัยที่อ่อนกำลังลง

 

 แต่ถึงกระนั้น จีราดก็ยังคงมีชีวิตอยู่ เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขันพร้อมซัดบางสิ่งไปยังอินกองอย่างรวดเร็ว

 

เคล้ง เคล้ง!

 

 แม้สภาพของจีราดในตอนนี้จะสูญเสียประสาทสัมผัสการได้ยินไปแล้ว แต่จีราดก็คาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ไวท์อีเกิ้ลกางปีกออกปัดป้องอาวุธลับของเขาไว้ได้

 

 ทันทีที่ไวท์อีเกิ้ลบินออกปัดป้องมีดซัด อินกองใช้เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลืออยู่พุ่งเข้าหาจีราด พร้อมกับยิงศรเพลิงใส่ขาของตนเอง เกราะเท้าเกล็ดมังกรเรืองแสงรายล้อมด้วยสะเก็ดไฟ

 

 เคล็ดประกาศิตจิตสุร – อัสนี

 

 สายฟ้าสีส้มฟาดลงในชั่วพริบตา จีราดขยับร่างหลบด้วยสัญชาตญาณ แต่ส้นเท้าของอินกองก็กระแทกลงใส่ไหล่ซ้ายของจีราดอย่างเข้าเป้า

 

 แทนที่จะเรียกว่าจีราดถูกอินกองโจมตี จะเหมาะสมกว่าหากเรียกว่าจีราดถูกเผา ไหล่ข้างนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำก่อนจะแตกกระจาย ราวกับถ่านไม้ที่ถูกทุบ

 

 จีราดเซถอยหลังไป แต่ร่างกายของอินกองก็บอบช้ำเกินกว่าจะต่อสู้ เข่าของอินกองแตกหัก ขาที่ฟาดใส่จีราดหักงอในทิศตรงข้ามกับปกติ อินกองตะโกนสั่งทหารคู่ใจของเขา

 

“คารัค!”

 

“คุร่าฮ์!”

 

 เจ้าออร์คกระโจนเข้าสนามรบ ขวานของมันฟันใส่อกของจีราดโดยมีไวท์อีเกิ้ลพุ่งเข้าโจมตีใส่บริเวณท้อง การโจมตีทั้งสองส่งให้ร่างของจีราดปลิวกระเด็นถอยไปหลายเมตร

 

 คารัคพยุงร่างของอินกองขึ้นแบกบนหลัง อินกองชำเลืองไปยังจีราด แต่ดูเหมือนทั้งหมดยังไม่จบลงเพียงเท่านี้

 

“ถอย!

 

 อินกองร้องสั่งด้วยเสียงอันสั่นคลอน พร้อมกันกับจีราดที่ทุบพื้นด้วยแขนข้างที่หลงเหลือ พลังแห่งทุพภิกขภัยลุกโชนขึ้นดั่งเปลวไฟเฮือกสุดท้าย

 

“เดรน!”

 

 ถ้อยคำอันแผ่วเบาแต่สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน ไอพลังสีดำแผ่กระจายออกโดยมีจีราดเป็นจุดศูนย์กลาง

 

 คารัครีบวิ่งถอย กรีนวินด์ร่ายม่านพลังป้องกันไอพลังสีดำ ส่วนเหล่าทหารไลแคนโทรปต่างก็พยายามหลบหลีกอย่างสุดกำลัง

 

‘นายท่าน!’

 

 กรีนวินด์กรีดร้อง พลังแห่งทุพภิกขภัยปะทะเข้ากับม่านพลังของกรีนวินด์ก่อนระเบิดออก ผืนดินที่ถูกปกคลุมสูญเสียความงดงามของธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา รอยแตกระแหงปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ

 

 ทหารไลแคนโทรปที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันการต่างล้มร้องครวญครางกับพื้น บ้างสูญเสียแขน บ้างสูญเสียขา แต่ทั้งหมดก็รอดตายมาได้

 

 หลังจากไอพลังจางลง จีราดก็หายตัวไป เขาใช้พลังที่ดูดกลืนมาได้ในการหลบหนี

 

 [เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
 [เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]

 

 เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง นั่นเพราะการหลบหนีของจีราดถือเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้

 

 ร่างของอินกองเรืองแสงขึ้น บาดแผลสมานตัว

 

 หัวหน้าทหารตั้งสติได้พร้อมกับตะโกนออกคำสั่ง

 

“หาตัวมัน! อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้!”

 

“กระจายพื้นที่! อย่าเข้าใกล้ตัวมันจนเกินไป พยายามใช้อาวุธระยะไกล!”

 

 ถึงแม้เผ่าไลแคนโทรปจะถนัดการต่อสู้ประชิดตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีอาวุธเลยสักชิ้นในค่ายทหาร เหล่าไลแคนโทรปต่างคว้าหอกและคันศรแล้วกระจายตัวออกไล่ล่าตัวจีราด

 

 แต่อินกองไม่อยู่ในสภาพที่จะเพลิดเพลินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

 จริงอยู่ที่ผลจากการเพิ่มระดับเลเวลช่วยฟื้นฟูบาดแผลตามร่างกาย แต่นั่นไม่ส่งผลกับสภาพภายใน ผลจากวิชาลับอิเนียทำให้เส้นชีพจรของเขาปั่นป่วน แม้แต่จะหายใจก็สามารถทำได้ยาก

 

“องค์ชายแข็งใจไว้ หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกเบาๆ”

 

 คารัควางอินกองลงกับพื้น มันมองดูเจ้านายด้วยท่าทางกระสับกระส่าย แม้มันต้องการจะช่วยเหลือ แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคอยเช็ดเลือดที่ไหลรินจากริมฝีปากของอินกอง

 

 ก่อนเสียงของคริสต์จะดังแทรกขึ้น

 

“ทาง… เร็ว… เคท… เร็ว… ” (ทางนี้ เร็วเข้า พาเคทลินมาเร็วเข้า)

 

 องครักษ์ไลแคนโทรปประคองร่างของคริสต์เข้ามา สภาพของคริสต์ก็ดูไม่สู้ดีนัก แต่เมื่อเทียบ ในบรรดาทั้งสามเรียกได้ว่าคริสต์มีสภาพดีที่สุด

 

 จริงอยู่ที่จีราดหลบหนีไปได้ แต่สำหรับคริสต์ การพยาบาลเคทลินกับฉัตรสำคัญกว่าการไล่ล่านักโทษที่เพิ่งแหกคุกออกมาจากหอคอยนิฬกาล

 

 หลังจากที่คริสต์เห็นสภาพของอินกอง เขาก็ถอนหายใจออกมา

 

“ผลึก… รา… ” (ผลึกจันทรา)

 

 แม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เจตนาของคริสต์สามารถสื่อออกมาได้ไม่ยาก เซร่ารีบลุกขึ้นมุ่งไปยังกระโจม เฟลิซีร้องออกมาอย่างเร่งรีบ

 

“อย่าทำเป็นฝืน! สภาพเธอตอนนี้ก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน!”

 

 เฟลิซีที่คอยรักษาเคทลินหันมาทางคริสต์ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก หมดซึ่งความงามของเจ้าหญิงแห่งเอลฟ์รัตติกาล

 

“หน้า… นิม… แย่… ” (หน้าของนูนิมก็ย่ำแย่สุดๆไปเลย)

 

“คริสต์!”

 

“เรา… ไหว… แผล… ฉัตร… เคท…” (เรายังไหว แค่แผลนิดๆหน่อย ที่สำคัญคือฉัตรกับเคท)

 

 เซร่าวิ่งกลับมาพร้อมบางสิ่งในมือทั้งสอง

 

 คริสต์คว้าแขนเฟลิซีไว้พลางกล่าวบางอย่างออกมา

 

“เวท… นูนิม… นูนิม… ” (พลังเวทของนูนิมแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา ทีนี้ก็ถึงตานูนิมแล้ว)

 

 เฟลิซีไม่รู้จักผลึกจันทรา แต่จากสภาพการณ์ นางก็สามารถเดาสรรพคุณของมันได้

 

 เฟลิซีพยักหน้า ก่อนคริสต์จะครางออกมาอย่างเจ็บปวดแล้วฝืนพูดต่อ

 

“กล่อง… เวท… ผลึก… แบ่ง… ฉัตร… เคท… ” (พอเปิดกล่องแล้ว ต้องใช้พลังเวทปกคลุมผลึกจันทราไว้ แบ่งมันเป็นสองส่วน แล้วป้อนให้ฉัตรกับเคท)

 

“ฉ ฉันเข้าใจแล้ว”

 

 คริสต์ปล่อยแขนเฟลิซี เฟลิซีเช็ดเลือดคริสต์ที่เปื้อนแขนนางแล้วสูดหายใจ นางรับกล่องที่ว่าจากเซร่าโดยที่ยังมีน้ำตาคลอ

 

 ด้วยความที่เป็นจอมเวทย์ระดังสูง เฟลิซีจึงคุ้นเคยกับสมุนไพรเป็นอย่างดี นางเข้าใจได้ว่าสรรพคุณของผลึกจันทราจะลดลงหากมันไม่อยู่ในที่ที่อุดมด้วยพลังเวท แทนที่จะเรียกว่าสมุนไพร อาจเรียกได้ว่าเป็นก้อนพลังเวท

 

 เฟลิซีใช้พลังเวทแผ่ปกคลุมกล่องในมือ ก่อนจะเปิดมันออก ภายในมีสมุนไพรสีขาวขนาดเล็ก รูปร่างราวกับก้อนผลึก

 

 ผลึกจันทราคล้ายคลึงกับรากสมุนไพรบางอย่าง หากอินกองเป็นเฟลิซี เขาคงนึกถึงโสมขึ้นมาในทันที

 

 เฟลิซีกลืนน้ำลายพลางหยิบผลึกจันทราออกมา นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะแบ่งเป็นมันออกเป็นสองซีก

 

 แล้วปัญหาตามมา

 

“แล แล้วฉันจะป้อนทั้งคู่ยังไง?”

 

 ผลึกจันทราเรียกได้ว่าแข็งพอประมาณ เกินกว่าบุคคลที่หมดสติจะสามารถเคี้ยวหรือกลืนมันลงไปได้

 

 คารัคหันมาถามด้วยสีหน้าที่มองราวกับเป็นเรื่องปกติ

 

“แกก็ป้อนด้วยปากได้ไม่ใช่หรือ?”

 

 คารัคชี้นิ้วไปยังปากของมัน มันทำท่าเคี้ยวบางสิ่งเหมือนแม่ที่ป้อนอาหารให้ลูก

 

 คริสต์ส่ายหน้าให้กับคำถามของคารัค

 

“ผลึก… ละลาย… ดูดซับ… ” (ผลึกจันทราจะละลายในปาก แล้วร่างกายจะดูดซับเอง)

 

 เฟลิซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพลางหันไปทางเคทลิน แม้เวทมนตร์ของเฟลิซีจะช่วยรักษาร่างกายของนางได้ แต่สภาพภายในของนางเรียกได้ว่ายับเยิน เฟลิซีน้ำตาคลอจ้องมองเคทลิน

 

 คริสต์พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ดาฟ… ดรูอิด… ช่วย… เวท…” (ดาฟเน่ เราได้ยินว่าพรของดรูอิดสามารถช่วยในการซึมซับเวทมนตร์ได้)

 

“รับทราบ!”

 

 สำหรับดรูอิดที่ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติแล้ว การใช้สมุนไพรทั้งหลายอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต่างจากการหายใจ ดาฟเน่ร่ายพรของนางเพื่อช่วยในการดูดซับผลึกจันทรา

 

“เริ่มละนะ”

 

 เฟลิซีร้องออกมาพลางป้อนผลึกจันทราให้กับเคทลิน และก็เป็นไปตามที่คริสต์บอก ผลึกจันทราละลายกลายเป็นของเหลวสีขาวไหลลงคอ

 

 ดาฟเน่หลับตาลงพลางกล่าวร่ายคาถา แล้วร่างกายของเคทลินก็เรืองแสงขึ้น

 

“แสงจันทร์ นางมีแสงจันทร์เรืองออกมาจากร่าง!”

 

 คารัคร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ และทันใดนั้นกรีนวินด์ก็ปรากฏกายขึ้นข้างคารัค นางพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังผิดแปลกไปจากปกติ

 

“ผลังเวทของผลึกจนทราเริ่มเลือนลาง รีบป้อนให้นายท่านเร็วเข้า ข้าจะช่วยนายท่านดูดซับมันเอง”

 

 องครักษ์ไลแคนโทรปต่างตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของนาง แต่เฟลิซีที่รู้จักกรีนวินด์อยู่แล้วรีบป้อนผลึกจันทราที่เหลือให้อินกอง

 

 เริ่มแรกก็ไม่ต่างไปจากเคทลิน แต่เมื่อกรีนวินด์สัมผัสอินกอง บางสิ่งก็เกิดขึ้น

 

 แสงสีขาวแผ่ออกจากร่างของอินกอง หากแต่ไม่ใช่แสงอันอ่อนโยนที่เรืองออกจากร่างเคทลิน แสงจากร่างของอินกองส่องสว่างเจิดจ้าไปรอบบริเวณ ก่อนร่างของอินกองจะเริ่มลอยตัวขึ้น

 

 คารัครีบหันไปจ้องกรีนวินด์แต่กรีนวินด์ก็อ้าปากค้างเช่นกัน ท่าทางของนางบ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหนือความคาดหมาย

 

“ให้ตายเถอะ! จะมีอะไรปกติเหมือนชาวบ้านบ้างไม่ได้หรือไงเนี่ย?”

 

 คารัคบ่นออกมาอย่างถอดใจ ส่วนเฟลิซีก็รีบหันไปถามคริสต์

 

“เกิดอะไรขึ้น? ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า?”

 

 เสียงของเฟลิซีสั่นราวกับจะร้อง ไม่สินางร้องไห้ออกมาเป็นที่เรียบร้อย คริสต์จ้องไปที่ร่างอินกอง หากแสงจากเคทลินเป็นดั่งดวงจันทร์ยามปกติ แสงที่แผ่ออกมาจากอินกองก็เรียกได้ว่าเหมือนกับพระจันทร์เต็มดวง

 

 ร่างของอินกองยังคงลอยสูงขึ้นทีละน้อย ราวกับได้รับอิทธิพลจากอินกอง ร่างของเคทลินก็เริ่มลอยขึ้น  ทั้งดาฟเน่และกรีนวินด์ต่างคว้าทั้งสองไว้พลางสวดภาวนาร่ายพร

 

 ผลึกจันทราเป็นสมุนไพรที่ผลิบานทุกร้อยปี นี่จึงเป็นครั้งแรกที่คริสต์เห็นมันถูกกิน

 

 สภาพของเคทลินดูไม่แตกต่างไปจากที่มีกล่าวไว้ในเอกสารบันทึก แต่สภาพของอินกองผิดแปลกไป มิหนำซ้ำสภาพของเคทลินในตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

 

 หรือว่าจะเป็นอย่างที่เฟลิซีว่า หรือว่าพวกเขาจะทำอะไรผิดไป?

 

“บางที… เป็นไปไม่ได้…”

 

“บางทีอะไร?”

 

 คริสต์กลืนน้ำลายพลางจ้องไปยังแสงสว่างตรงหน้า ก่อนจะฝืนกล่าวออกมา

 

“บางทีนี่อาจจะเป็นตำนานแห่งผลึกจันทรา”

 

 เหตุการณ์ที่ไม่มีการจดบันทึก

 

 ตำนานแห่งผลึกจันทราที่เป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปากในราชวงศ์ไลแคนโทรป

 

 คริสต์กระอักเลือดก่อนจะหัวเราะออกมา

 

“ไม่ว่าไปที่ไหน ก็เกิดเรื่องผิดปกติตลอด”

 

 เฟลิซีหันกลับไปมองอินกอง แสงสว่างที่ส่องออกมาปัดเป่าความมืดให้จางหายไป