ตอนที่ 50 จวินกง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

หญิงสาวน้ำตาคลอทุกถ้อยคำบาดลึกลงในจิตใจผายมือไปทางหลี่เม่า มหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย

“หากท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมีจิตวิญญาณปกป้องบ้านเมือง ยินดีสละชีพปกป้องชาวบ้าน ปกป้องแคว้นต้าจิ้น! จวินกงนี้…ตระกูลไป๋ของข้าขอมอบให้แก่มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็แล้วกัน! กองทัพไป๋…จะยอมก้มหัวเชื่อฟังคำสั่งของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแทน หากท่านอยากได้จวินกงก็เอาไปเถิด สิ่งเดียวที่ตระกูลไป๋เฝ้าภาวนาอยู่ทุกคืนวันคือ การที่บุรุษตระกูลไป๋กลับมาจากสนามรบอย่างปลอดภัยเท่านั้น แค่นั้นจริงๆ!”

ไป๋จิ่นถง ไป๋จิ่นจื้อ ไป๋จิ่นเจา ไป๋จิ่นหวาที่นั่งอยู่ด้านล่างถัดจากต่งซื่อซึ่งได้รับพระทานแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ขอบตาแดงก่ำ เงยหน้ามองดูไป๋ชิงเหยียนซึ่งนั่งหยัดกายตรงราวต้นสนอยู่ตรงแท่นที่นั่งสูง ต่างกำมือแน่น

แม้กระทั่งองค์หญิงใหญ่ยังมีน้ำตาคลอที่ดวงทั้งตาทั้งสองข้าง จุกจนมิอาจเอ่ยสิ่งใดได้

นึกถึงจุดจบของบุรุษตระกูลไป๋ที่ต้องตายอยู่ในสนามรบ หญิงสาวปวดร้าวไปทั้งร่าง

ผ่านไปสักพักหนึ่งไป๋ชิงเหยียนฝืนกลั้นน้ำตา หมุนกายไปทางฮ่องเต้ คุกเข่าคำนับ “นี่ก็สิ้นปีแล้ว แต่หม่อมฉันยังไม่ได้รับข่าวจากทางหนานเจียงจึงกังวลมากไปหน่อย หม่อมฉันเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยเพคะ”

ฮ่องเต้หรี่ตาลง มือลูบไปที่แก้วเหล้า ครู่หนึ่งจึงตรัสขึ้นยิ้มๆ อย่างไม่รีบร้อน “ตระกูลไป๋ช่างภักดีกันทั้งตระกูลจริงๆ! แต่ฟังจากคำกล่าวของคุณหนูใหญ่ไป๋…ตระกูลไป๋จงรักภักดีต่อราษฎรแคว้นต้าจิ้น ในใจของตระกูลไป๋ยังมีเราที่เป็นฮ่องเต้อยู่หรือไม่ จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ผู้นี้ด้วยหรือไม่”

ภายในตำหนักเงียบกริบ

ไป๋จิ่นถงที่นั่งถัดลงมาจากแท่นที่นั่งกำเสื้อผ้าของตนเองแน่น นางนึกถึงคำพูดที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับนางที่เรือนชิงฮุยในวันนั้น…ฮ่องเต้เห็นว่าตระกูลไป๋เป็นอันตรายจึงคิดกำจัดให้หมดกังวล ยิ่งมาได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสในวันนี้อีก จู่ๆ นางก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง

ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลงรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด นี่คือฮ่องเต้ที่ท่านปู่ ท่านพ่อของนางให้ซื่อสัตย์สาบานว่า จะจงรักภักดีไปตลอดชีวิต!

ซีเหลียง หนานเยี่ยนจ้องจะบุกแคว้นต้าจิ้น ต้าเหลียง หรงตี๋ก็คอยรอจังหวะเข้าจู่โจม แม่ทัพฝีมือดีของต้าจิ้นก็น้อยจนแทบไม่มี ในแคว้นต้าจิ้น แม่ทัพที่ได้แต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ต่างก็ไม่อยากให้บุตรหลานของตนต้องไปลำบากที่หนานเจียง สั่งให้บุตรหลานทิ้งการต่อสู้และไปเป็นบัณฑิตแทน

ท่านปู่ ท่านพ่อของนางฝึกฝนทายาทรุ่นต่อไปให้มีฝีมือแข็งแกร่งพร้อมสู้รบกับแคว้นต่างๆ เพื่อรับใช้แคว้นต้าจิ้น ไม่หลงเหลือไว้สักคน ไม่เหลือทางรอดให้ตัวเองสักทาง พาบุรุษตระกูลไป๋ไปออกรบเป็นด่านหน้า ขุนนางที่จงรักภักดีเช่นนี้ จักรพรรดิแคว้นต้าจิ้นเห็นแต่ไม่เคยสนใจกลับลอบทำเรื่องเลวร้าย สงสัยในตัวขุนนาง วางแผนใส่ร้าย ไร้ซึ่งความละอายใจ…

ไป๋ชิงเหยียนคำนับอีกครั้ง “อำนาจของฝ่าบาทได้มาจากราษฎร! หากไม่มีราษฎรจะมีโอรสสวรรค์ได้เช่นไรเพคะ ตระกูลไป๋คุ้มครองชายแดน ปกป้องราษฎรแคว้นต้าจิ้น มิเคยทำเกินหน้าที่เช่นนี้ยังไม่เป็นการภักดีต่อฝ่าบาทอีกหรือเพคะ ขอทูลถามฝ่าบาทสักหน่อย…สิ่งใดคือความภักดีเพคะ”

ในฐานะราชาแห่งแผ่นดิน ได้ครอบครองบัลลังก์สูงสุดแต่กลับไม่ห่วงใยราษฎร ไม่มีใจทะเยอทะยานอยากรวบแผ่นดินเป็นผืนเดียว ทหารของแคว้นพลีชีพสู้รบกับศัตรูที่มารุกรานต้าจิ้น แต่พวกเขาในฐานะผู้ปกครองแคว้นกลับอยู่ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง วางแผนแก่งแย่งชิงอำนาจกันเอง กลัวบารมีของขุนนางจะมากจนกลบบารมีของตน ทำเรื่องต่ำช้าสามานย์มากมาย เหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ!

ราชสำนักนี้ไม่ใช่ที่ที่มีแต่ความยุติธรรม โปร่งใส แยกแยะถูกผิดชัดเจนดังที่ท่านปู่เคยเล่าให้นางฟังอีกต่อไปแล้ว ขุนนางทหารตายอยู่ที่สนามรบ แต่ไม่เห็นภาพขุนนางในราชสำนักยอมตายเพื่อผดุงความยุติธรรมอีกแล้ว

ตรงดั่งคันธนู จนตายในท้ายที่สุด! โค้งดั่งตะขอ กลับได้อวยยศศักดิ์! ราชสำนักที่เต็มไปด้วยการประจบสอพอ เต็มไปด้วยคนมีอำนาจ ใช้วิธีคดโกงให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ได้อวยยศถาบรรดาศักดิ์นำมาซึ่งความรุ่งเรือง! ตระกูลไป๋ของนางที่ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง ทุกคนในตระกูลดำรงไว้ซึ่งคุณธรรมและความยุติธรรม แต่สุดท้ายกลับมีจุดจบด้วยการถูกเข่นฆ่า! ช่างน่าขบขันเสียจริง

ชาติที่แล้ว ต้าจิ้นถูกแคว้นต้าเยี่ยนที่พวกเขาเอาแต่ดูถูกเหยียดหยามรุกรานจนแคว้นล่มสลาย มันก็สมควรแล้ว

“ฝ่าบาท…” องค์หญิงใหญ่กลัวว่าฮ่องเต้จะบันดาลโทสะใส่ไป๋ชิงเหยียน รีบคุกเข่าลง “เด็กนี่ถูกหม่อมฉันตามจนเสียคน ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยเถิดเพคะ”

ฮ่องเต้อึ้งไปกับคำถามของไป๋ชิงเหยียน อีกทั้งยังตะลึงกับความโกรธของไป๋ชิงเหยียนซึ่งแสดงออกมาอย่างไม่ปกปิด

ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้สรวลออกมาเบาๆ พลางสะบัดอาภรณ์ซึ่งไม่ได้มีฝุ่นติดอยู่แม้แต่น้อย เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน ตรัสขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ “เมื่อวานผู้ตรวจการถวายฎีกาขึ้นมาว่าฮูหยินโหวฆ่าบ่าวติดตามซึ่งเป็นสินเดิมของคุณหนูรองตระกูลไป๋ตาย แต่บ่าวพวกนั้นกลับเป็นชาวบ้านธรรมดาฉินเต๋อเจา…เจ้ารู้เรื่องนี้มากน้อยเพียงใด ลองเล่ามาให้ละเอียดสิ”

จงหย่งโหวรีบก้าวออกมาข้างหน้า คุกเข่าลงบนพื้น เหงื่อท่วมใบหน้า เดาไม่ถูกว่าฮ่องเต้ตรัสถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเหตุใด เขากล่าวขึ้น “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสอบถามเรื่องราวโดยละเอียดจากภรรยาแล้ว นางกล่าวว่าเพราะสัญญาทาสของสาวใช้พวกนั้นยังอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกง นางเป็นเพียงสตรีจากเรือนใน ไม่รู้ว่าบ่าวพวกนั้นถูกส่งมาจวนโหวเพื่อเป็นสาวใช้ติดตามหรือเพราะจุดประสงค์อื่นกันแน่ หากไม่จัดการให้เรียบร้อย นางในฐานะนายหญิงใหญ่มิอาจวางใจได้พ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนยิ้มเย็น จงหย่งโหวถนัดเรื่องกลับขาวเป็นดำเสียจริง

“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีสิ่งที่อยากถามจงหย่งโหว ขอพระราชทานอนุญาตได้หรือไม่เพคะ” หญิงสาวถามฮ่องเต้ด้วยความนอบน้อม

เมื่อเห็นฮ่องเต้พยักหน้า ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไป ยืดกายตรง ดวงตาราวกับเปลวไฟลอบสังเกตแววตาที่มองมาอย่างเมามาย เย้าหยอก ดูหมิ่นเหยียดหยามของขุนนางในราชสำนักแต่ละคน

บรรดาผู้คนที่นั่งอยู่ ส่วนใหญ่คงรอดูเรื่องน่าอับอายของตระกูลไป๋ รอดูความล่มสลายของตระกูลที่เจริญรุ่งเรืองมานานนับร้อยปี

สีหน้าเย็นชาของไป๋ชิงเหยียนมองไปทางจงหย่งโหว เอ่ยเสียงเยือกเย็น “ขอถามท่านโหวสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินโหวรู้ว่าสัญญาทาสของสาวใช้พวกนั้นอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงหลังจากที่นางรื้อค้นสินเดิมของน้องรอง หรือฮูหยินโหวฉลาดหลักแหลมจนคาดเดาได้ตั้งแต่แรกกันเจ้าคะ”

รู้อยู่แล้วว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ร้ายกาจ จงหย่งโหวจึงนัดแนะคำตอบกับฮูหยินโหวเรียบร้อย เตรียมใจพร้อม “ฝ่าบาท เรื่องสัญญาทาสนั่น หมิงอวี้ซึ่งเป็นสาวใช้ติดตามของลูกสะใภ้กระหม่อมเป็นคนบอกภรรยากระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ เพราะเหตุนี้ภรรยากระหม่อมเลยไว้ชีวิตสาวใช้ผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินเต๋อเจาใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องของหมิงอวี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มีแต่คำอธิบายนี้เท่านั้นที่สามารถแก้ต่างได้ว่าเหตุใดสาวใช้ติดตามของไป๋จิ่นซิ่วจึงไปอยู่ที่จวนซึ่งเป็นสินเดิมของเจี่ยงซื่อได้

คุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด เตรียมจะลุกขึ้นยืนด่าจงหย่งโหวแต่กลับโดนไป๋จิ่นถงจับตัวไว้เสียก่อน

“พี่สาม! เขาโกหก!” ไป๋จิ่นจื้อจ้องเขม็งไปที่ฉินเต๋อเจา

“อย่าวู่วาม ที่นี่คือพระราชตำหนักนะ!” ไป๋จิ่นถงเตือนไป๋จิ่นจื้อเบาๆ

“สัญญาทาสเป็นเรื่องสำคัญ ท่านโหวคิดว่าน้องรองของข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไรกันถึงได้บอกเรื่องสัญญาทาสแก่บ่าวรับใช้ ท่านโหวคงเห็นว่าหมิงอวี้เป็นบ้าไปแล้ว…จึงใช้หมิงอวี้มาอ้างใช่หรือไม่เจ้าคะ” วาจาของไป๋ชิงเหยียนแฝงไปด้วยความขบขันอย่างชัดเจน

ฉินเต๋อเจาเริ่มหวาดกลัวแต่ไม่นานก็ตั้งสติได้ กล่าวอย่างจริงจัง “เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงจงใจลองใจข้าเช่นนี้เล่า บ่าวหมิงอวี้กล่าวว่านางแอบเห็นว่าลูกสะใภ้ข้าไม่ได้นำสัญญาทาสไปที่จวนจงหย่งโหวด้วย นางกลัวว่าจะโดนรังแกเพราะสัญญาทาสจึงบอกเรื่องนี้กับฮูหยินของข้า!”

“ท่านโหวรู้หรือไม่ว่าหลอกลวงเบื้องสูงจะโดนลงโทษเช่นไร ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ ท่านโหวลองบอกข้ามาหน่อยสิว่า…สาวใช้ที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของตัวเอง ถูกน้องรองของข้าซื้อตัวมาตั้งแต่เด็ก สัญญาทาสของตัวเองเป็นเช่นไรก็ยังมิเคยได้เห็นมาก่อน ท่านโหวกล่าวว่าหมิงอวี้แอบเจอสัญญาทาสแล้วไปรายงานฮูหยินโหวเช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้…ท่านโหวคิดว่าข้าปัญญาอ่อนจะหลอกเช่นไรก็ได้ หรือท่านโหวจะทำตัวเป็นลาเฉียนฉลาดน้อย[1]หลอกตัวเองต่อไปเช่นนี้กันเจ้าคะ” ฉินเต๋อเจาโมโหจนท้องไส้ปั่นป่วน สมองแล่นคิดว่าจะรับมือเช่นไรดี ริมฝีปากขยับแต่ก็มิรู้จะเอ่ยพูดสิ่งใด

[1]ลาเฉียนฉลาดน้อย สำนวนใช้เปรียบเทียบคนที่พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้ หรือคนที่มีข้อดีเพียงน้อยนิดและแสดงออกจนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนี้อาจใช้ประชดประชันคนที่มีดีแต่รูปกายภายนอกแต่กลับไร้ความสามารถ ไร้มันสมอง