ตอนที่ 51 มองหน้ากันไม่ติด

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ขณะนั้นเอง ฮ่องเต้กลับไม่สนพระทัยเรื่องนี้อีก หันไปมองไป๋ชิงเหยียนพลางตรัสถาม “ได้ยินว่าเจ้าเล่นหมากล้อมเก่ง?”

หญิงสาวกำมือแน่น หลุบตาลงไม่เอ่ยตอบ ฮ่องเต้ปกป้องจงหย่งโหวชัดเจนถึงเพียงนี้ ขุนนางในราชสำนักต้องทำตามทิศทางลม หากข่าวการแพ้สงครามของตระกูลไป๋ส่งมาถึงเมืองหลวง พวกขุนนางที่ประจบสอพลอฮ่องเต้มิถือโอกาสนี้เหยียบย่ำซ้ำเติมตระกูลของนางหรอกหรือ

มิน่าเล่า ชาติที่แล้วผู้คนต่างรู้ว่าตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดี แต่กลับไม่มีผู้ใดในราชสำนักแก้ต่างให้ตระกูลไป๋เลยสักคน

เบื้องบนสั่งเช่นไรเบื้องล่างก็ต้องทำตาม ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยในตระกูลไป๋ถึงขนาดขั้นนี้แล้ว ขุนนางผู้ใดจะกล้าทวงความยุติธรรมให้ตระกูลไป๋กัน

ไป๋ชิงเหยียนย่อกายคำนับ “แค่พอใช้ได้เพคะ…”

“ท่านอาของเจ้า…เล่นหมากล้อมเก่งมาก” สายตาของฮ่องเต้หยุดอยู่ที่เรือนร่างของไป๋ชิงเหยียน ราวกับตกอยู่ในภวังค์ อยากมองผ่านไป๋ชิงเหยียนแล้วเห็นใครอีกคน ตรัสขึ้นเนิบๆ “หากมีเวลาก็ตามท่านย่าของเจ้าเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮาบ้าง ฮองเฮาก็ชอบเช่นเดียวกัน ลุกขึ้นเถิด!”

ฮองเฮาพยักหน้ายิ้มๆ มือที่ซ่อนอยู่ในอาภรณ์จิกไปกลางฝ่ามืออย่างแรง นางเป็นสามีภรรยากับฮ่องเต้มาหลายปี ย่อมรู้ดีว่าไป๋ซู่ชิว บุตรสาวคนเดียวของไป๋เวยถิง…คือนางในดวงใจที่ฮ่องเต้มิอาจลบเลือนออกไปจากใจได้

ไป๋ซู่ชิวตายไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นคนในใจของฮ่องเต้ที่ไม่มีผู้ใดสามารถทดแทนได้ บัดนี้ฮ่องเต้สั่งให้ไป๋ชิงเหยียนเข้าวังในยามที่ว่างหมายความว่าอย่างไรกัน หรือว่าฮ่องเต้อยากรับไป๋ชิงเหยียนมาเป็นสนมอีกคน

ฮองเฮากังวลเป็นอย่างมาก รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ตอนนี้ท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อตระกูลไป๋ไม่ชัดเจน เหมือนจะรังเกียจแต่ก็ยังไว้หน้าอยู่ ช่างดูไม่ออกจริงๆ

เสียง เพล้ง ดังขึ้น นางกำนัลรีบคุกเข่าอ้อนวอนในทันที “เซียนเซิง[1] โปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ! บ่าวมิได้ตั้งใจเจ้าค่ะ!”

“มิเป็นไร…” เซียวหรงเหยี่ยนสะบัดชายเสื้อที่ถูกเหล้าหกใส่อย่างใจเย็น ใบหน้ารูปงามยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงนุ่มนวลจนคนฟังต้องเคลิ้มตาม

ฮ่องเต้ได้สติ หันไปมองบุรุษรูปงามซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังฉีอ๋อง รู้สึกว่าร่างนั้นสง่างามราวนักปราชญ์ ท่าทีใจเย็น ดูสุขุมอ่อนโยน ฮ่องเต้พลันรู้สึกประทับใจ ตรัสขึ้น “เจ้า…คือเซียวหรงเหยี่ยน พ่อค้าจากแคว้นต้าเว่ยที่ฉีอ๋องเอ่ยให้เราฟังบ่อยๆ ใช่หรือไม่”

สีหน้าของเซียวหรงเหยี่ยนสงบนิ่ง ลุกขึ้นยืนโค้งกายคำนับฮ่องเต้ “ขอบพระทัยที่องค์ชายทรงนึกถึงกระหม่อม กระหม่อมมีวาสนาได้เข้ามาในวัง ได้เห็นสิริโฉมของฝ่าบาท เป็นพระกรุณาอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ต่อให้เป็นถ้อยคำประจบประแจง แต่เมื่อกล่าวออกมาจากปากของบุรุษสง่างามเช่นนี้กลับฟังแล้วน่าภิรมย์ใจยิ่งนัก ฮ่องเต้สรวลออกมาอย่างอารมณ์ดี “เซียวเซียนเซิงเป็นพ่อค้าจากแคว้นต้าเว่ย มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว เมื่อเดือนก่อนเราได้ชมภาพหิมะยามค่ำคืนแห่งผิงชวน ของหอเหวินเสียน เรายิ่งประทับใจในความงดงามของเมืองผิงชวนยิ่งนัก!”

จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสเรียกเซียวหรงเหยี่ยนว่าเซียนเซิง ทั้งยังทรงชื่นชมอย่างออกนอกหน้า บรรดาขุนนางที่นั่งอยู่ด้านล่างต่างเริ่มคิดวางแผนไปต่างต่างนานา

“จิตนาการบรรเจิดหลังเมาเหล้า ฝ่าบาทตรัสชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวหรงเหยี่ยนไม่ถ่อมตนและไม่หยิ่งผยอง มีความเป็นบัณฑิตอยู่ในตัว เสื้อผ้าเลอะคราบเหล้าแต่ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มดูน่าสมเพชเลยแม้แต่น้อย แววตาสงบนิ่งเปิดเผย ช่างราวกับทวยเทพที่ไร้มลทินแดนมนุษย์ทำอันใดเขาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

“คนเก่งกาจมีชื่อเสียงในแคว้นต้าเว่ยมีมากมาย เซียนเซิงเป็นที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้น ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น ใยต้องถ่อมตัวถึงเพียงนี้กัน!” ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนักปราชญ์ที่ฉลาดหลักแหลม จึงตรัสถามเซียวหรงเหยี่ยนมากหน่อย “สิ้นปีแล้วเซียนเซิงยังไม่กลับแคว้น จะอยู่ฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงเช่นนั้นหรือ”

“ได้ยินมาว่าเมืองหลวงจะจัดเทศกาลโคมไฟสิบห้าดวงเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่แคว้นต้าจิ้น เหล่านักปราชญ์นักเขียนล้วนตื่นเต้นที่จะมาร่วมงานเพื่อแสดงความสามารถ คงคึกคักไม่น้อย กระหม่อมจึงตั้งใจอยู่ฉลองปีใหม่ที่นี่ เมื่อพ้นเทศกาลโคมไฟสิบห้าดวงค่อยเดินทางกลับแคว้นพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า สังเกตเห็นคราบเหล้าที่เลอะอยู่บนเสื้อของเซียวหรงเหยี่ยนจึงตรัสขึ้น “เซียวเซียนเซิงไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด กลับมาจะได้เล่าเรื่องความงามของเมืองผิงชวนให้เราฟัง”

เซียวหรงเหยี่ยนทำความเคารพ รับคำยิ้มๆ

ไป๋ชิงเหยียนไม่เห็นบ่าวรับใช้ข้างกายเช่อเฟยของฉีอ๋อง ในใจเริ่มคาดเดาได้ นางได้แต่เป็นกังวลแทนเซียวหรงเหยี่ยน สายตาเหลือบมองไปทางเซียวหรงเหยี่ยนอย่างอดไม่ได้

สายตาสอดประสานกับดวงตาสงบนิ่งและเฉียบคมของชายหนุ่ม

มือที่กำแน่นของไป๋ชิงเหยียนผ่อนคลายลงเล็กน้อย เห็นดวงตาคมกริบของเซียวหรงเหยี่ยนก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มรู้ว่ามีกับดักแล้ว ทว่า…เขาจะหลบหายนะครั้งนี้พ้นหรือไม่

ดวงตาของเซียวหรงเหยี่ยนสงบนิ่ง แววตาทอประกายแสงขึ้นแวบหนึ่งจากนั้นจึงละสายตา เดินตามนางกำนัลไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย

แค่สองเค่อ[2] เซียวหรงเหยี่ยนซึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยก็เดินกลับเข้ามาด้านใน ใจที่เป็นกังวลของไป๋ชิงเหยียนจึงสงบลง

ขณะเดินทางกลับจวนหลังจากที่งานเลี้ยงเลิกรา องค์หญิงใหญ่เป็นกังวลอย่างมาก นางกุมมือของ

ไป๋ชิงเหยียนแน่น ตำหนิเสียงแข็ง “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร! ปกติเจ้าเป็นคนสุขุมรอบคอบ เหตุใดวันนี้จึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เช่นนี้เล่า กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นต่อหน้าฮ่องเต้ หากพระองค์ทรงกริ้วขึ้นมาเจ้าจะชดใช้ไหวหรือไม่! หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาย่าจะทำเช่นไร!”

รถม้าไม้ชั้นเลิศ โคมไฟที่แขวนประดับทั้งสี่มุมของรถ สะท้อนเข้าไปด้านในตัวรถเป็นแสงริบหรี่

ไป๋ชิงเหยียนหลุบสายตาซ่อนดวงตาที่แดงก่ำไว้ นางยอมรับว่าสิ่งที่นางกล่าวออกไปในวันนี้ นางจงใจกล่าวให้ฮ่องเต้ฟัง นางต้องการให้ฮ่องเต้ขี้หวาดระแวงผู้นั้นได้รับรู้ ต้องการให้ทุกคนได้รับรู้! ว่าตระกูลไป๋ของนางเสียสละหยาดเลือดหยาดเหงื่อเป็นทัพด่านหน้าเพื่อปกป้องคุ้มครองทุกคนในแคว้นต้าจิ้น ทำในสิ่งที่จักรพรรดิเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างพวกเขาไม่มีทางเทียบได้!

ถ้อยคำเหล่านั้น เรื่องพวกนั้นติดอยู่ในใจของนางราวกับใบมีดที่ติดอยู่ในลำคอของนาง หากไม่คายออกมาก็ไม่มีวันดีขึ้น!

เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนก้มหน้างุดท่าทีเหมือนไม่อยากกล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น องค์หญิงหลับตาที่บวมช้ำลง กล่าวอย่างกล้ำกลืน “ย่ารู้ว่าวันนั้นที่ย่าถามเจ้าเรื่องกบฏทำให้เจ้าเสียใจใช่หรือไม่ เด็กคนนี้…อะไรก็ดีไปหมด เว้นเสียแต่นิสัยยอมหักไม่ยอมงอเหมือนกับท่านปู่ของเจ้า! อาเป่า…ราชวงศ์คือครอบครัวของย่า ย่าตระกูลหลิน! ในร่างกายของเจ้าก็มีเลือดของย่าไหลเวียนอยู่! เพราะฉะนั้น ผู้ใดในต้าจิ้นคิดจะกบฏก็ได้…ยกเว้นหลานของย่า! เจ้าเข้าใจหรือไม่!”

ความรู้สึกต้องการปกป้องราชวงศ์ขององค์หญิงใหญ่เป็นความรู้สึกเดียวกับไป๋ชิงเหยียนที่อยากปกป้องตระกูลไป๋ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน

“ย่าถามว่าเจ้าเข้าใจหรือไม่ เข้าใจหรือไม่ ตอบย่ามาสิ!”

เผชิญหน้ากับการถามอย่างบีบคั้นขององค์หญิงใหญ่ นางไม่สามารถข่มความอ่อนล้าและสิ้นหวังในราชวงศ์ได้อีกต่อไปแล้ว นางเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

นางโตมาในอ้อมแขนของท่านย่า ยามฝึกเดินก็มีมือของท่านย่าคอยประคองให้ก้าวเดิน

อักษรตัวแรกที่เขียนได้ก็เพราะท่านย่าจับมือสอนให้นางหัดเขียน

ยามนางเป็นไข้ ท่านย่าคอยประคองกอดดูแลทั้งคืน คุกเข่าอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยอมลดอายุขัยตัวเองสิบปีเพื่อให้นางปลอดภัย

ท่านย่าอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของนาง สำคัญมากจนไม่อาจหาอะไรมาเปรียบได้

ก่อนหน้านี้นางเล่าให้ท่านย่าฟังได้ทุกเรื่อง ทว่า บัดนี้…สองย่าหลานมีจุดมุ่งหมายเดียวกันแต่อยู่กันคนละจุดยืน ช่วยเหลือกันและกันแต่ก็ต้องคอยระวังกันเองด้วย เดิมทีควรเป็นที่พึ่งที่ไว้ใจได้มากที่สุดบนโลกใบนี้ ทว่าบัดนี้ อยู่ใกล้กันแค่คืบแต่กลับเหมือนห่างไกลกันคนละฟากฟ้า

นางกลัวเป็นที่สุดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ สายสัมพันธ์ทางสายเลือดอันลึกซึ้งระหว่างนางกับท่านย่าจะหมดสิ้นไปเพราะความหวาดระแวงในตัวของอีกฝ่าย ค่อยๆ ห่างเหินกันไป จนกระทั่ง…มองหน้ากันไม่ติด

[1] เซียนเซิง แปลว่าสุภาพบุรุษ เป็นคำสุภาพที่ใช้เรียกผู้ชายแบบให้เกียรติ

[2] เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนโบราณโดยใช้นาฬิกาน้ำ อาศัยสังเกตการณ์จากการลดลงของน้ำเพื่อบ่งบอกเวลา 1 วันมี 100 เค่อ โดย 1 เค่อ เทียบเท่าเวลาประมาณ 15 นาที