ตอนที่ 52 ท้อแท้สิ้นหวัง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ใจเหน็บหนาวจนแม้แต่เตาผิงก็ไม่อาจทำให้รู้สึกอุ่นได้ หญิงสาวกลั้นคำตัดพ้อเอาไว้ในใจ ก้มหน้าลงพลางเอ่ยตอบ “อาเป่าเข้าใจเจ้าค่ะ”

ความแค้นจนอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้ระหว่างศัตรูยังไม่น่าเศร้าสลด จนทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังได้เท่ากับความขัดแย้งระหว่างสายเลือดเดียวกันเลย มันเจ็บปวดราวจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับราวกับโดนใบมีดเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆ

องค์หญิงใหญ่ตีบตันในลำคอ ครู่หนึ่งจึงรั้งไป๋ชิงเหยียนมากอดไว้ทั้งน้ำตา หลับตาลงอย่างปวดใจ รู้สึกว่าตนเองติดอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านเมืองและครอบครัว กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ

ตอนเป็นเยาว์วัย องค์หญิงใหญ่เคยรักแม่ทัพหนุ่มผู้เก่งกล้าอาจหาญอย่างไป๋เวยถิงด้วยใจจริง แต่คืนก่อนที่ราชโองการพระราชทานสมรสจะถูกส่งไปยังจวนเจิ้นกั๋วกง เสด็จพ่อที่รักและเอ็นดูนางมากที่สุดตรัสว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้นางแต่งงานกับไป๋เวยถิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง เหตุผลแรกเพื่อให้นางได้สมหวังในความรักอีกประการหนึ่งเพื่อให้นางคอยจับตาดูไป๋เวยถิงเอาไว้ในฐานะภรรยา เสด็จพ่อของนางมอบอำนาจทางทหารให้จวนเจิ้นกั๋วกงอย่างเต็มที่จึงต้องการให้มีคนคอยเฝ้าระวังเจิ้นกั๋วกงแทนราวงศ์ต้าจิ้น อย่าปล่อยให้จวนเจิ้นกั๋วกงสร้างกองทัพของตัวเองเพื่อกบฏเด็ดขาด

ดังนั้นนางเลยได้แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง กลายเป็นสะใภ้ของตระกูลไป๋ นอกจากมีทายาทสืบทอดให้แก่ไป๋เวยถิงแล้ว นางยังต้องรับใช้ราชวงศ์ในฐานะองค์หญิงแห่งต้าจิ้น

นางไม่มีวันยอมให้หลานสาวที่นางอบรมสั่งสอนมากับมือ…หลานสาวที่นางรักมากที่สุด มีใจคิดกบฏเด็ดขาด ตลอดเวลาที่กลับจวนสองย่าหลานจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว วันเดียวกันกับที่งานเลี้ยงจบลง ทั่วทั้งเมืองไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกตามซอย โรงน้ำาชา โรงเหล้าต่างพากันถกเถียงเรื่องของตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง บรรดาคุณชายเจ้าสำราญที่วันๆ เอาแต่สังสรรค์เฮฮาก็กล่าวถึงตระกูลไป๋เช่นกัน ต่างถกเกียงกันอย่างดุเดือด

ขนาดหลู่หยวนเผิงที่รักสนุกไปวันๆ ยังกล่าวถ้อยคำ การกระทำของตระกูลไป๋ เป็นแบบอย่างให้แก่ข้า! เช่นนี้ออกมาเลย

ตั้งแต่สถาปนาแคว้นต้าจิ้น ที่ใดมีสงคราม ที่นั่นย่อมมีกองทัพไป๋ผู้ภักดี จวบจนบัดนี้ผู้คนในแคว้นต้าจิ้นต่างเคยชินกับมันแล้ว รู้เพียงว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นดาบของแคว้นต้าจิ้น เกิดมาก็ต้องสละชีพเพื่อปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองด้วยความจงรักภักดี

แต่ถ้อยคำที่คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋กล่าวที่หน้าจวนจงหย่งโหว ถ้อยคำที่นางกล่าวเพื่อจัดการกับลูกอนุที่หน้าหอหม่านเจียง รวมถึงถ้อยคำที่ภาวนาขอให้บุรุษตระกูลไป๋กลับมาอย่างปลอดภัยที่นางกล่าวในงานเลี้ยงทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่า บุรุษตระกูลไป๋ซึ่งได้รับสมญานามว่ารบไม่เคยแพ้ก็ล้วนเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเชื่อไขเช่นเดียวกัน…พวกเขาเป็นลูกมีพ่อมีแม่ซึ่งเฝ้ารอวันที่พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกัน

แต่เพราะแคว้นต้าจิ้น เพราะชาวบ้านทุกคนในแคว้น…พวกเขาจึงยอมสละชีพไปออกรบในสงคราม ราวกับหมอกบางๆ ถูกคลี่คลายออกเพียงชั่วข้ามคืน ทำให้ทุกคนมองเห็นความจงรักภักดีของจวนเจิ้นกั๋วกงที่มีสืบต่อมาทุกรุ่น ผู้คนได้รู้จักจวนเจิ้นกั๋วกงใหม่อีกครั้ง ยิ่งรู้สึกเคารพเลื่อมใสมากขึ้นไปอีก

จวนเจิ้นกั๋วกงออกไปซื้อหาของตามปกติ แต่บรรดาร้านขายของในเมืองหลวง ชาวนาชาวสวนจากนอกเมืองต่างไม่ยอมรับเงินจากจวนเจิ้นกั๋วกง กระทั่งมีชาวสวนบางคนนำผลไม้สดมาวางที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงทุกวัน ผู้ดูแลเรื่องการจัดซื้อของรายงานเรื่องนี้ต่อต่งซื่อ ต่งซื่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ฮูหยิน ตอนนี้พวกชาวไร่ชาวนา พ่อค้าแม่ค้าต่างยืนออกันอยู่ที่ประตูหลังเพื่อมอบของให้จวนเรา ควรทำเช่นไรดีขอรับ” ผู้ดูแลหลิวขมวดคิ้วแน่นถามความเห็นจากต่งซื่อ

ต่งซื่อถือถ้วยชา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวขึ้น “เจ้าไปบอกกับพ่อบ้านเหา ให้เขากำชับกับทุกคน…ยามออกไปนอกจวน ทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงห้ามรับเงินหรือสิ่งของใดจากชาวบ้าน และบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเด็ดขาด หากฝ่าฝืนแล้วถูกจับได้ภายหลังก็โบยให้ตายทันทีไม่ต้องมารายงานข้า”

แม้ว่าตอนนี้ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงจะเลื่องลือไปทั่ว แต่หากทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจเป็นภัยในภายหลังได้ ต่งซื่อควบคุมดูแลจวนเจิ้นกั๋วกงมาหลายปีแล้ว เรื่องสำคัญเช่นนี้นางรู้ดี

หลิวซื่อจ้องดูท่านหมอเปลี่ยนยา และผ้าพันแผลบริเวณศีรษะให้ไป๋จิ่นซิ่ว เมื่อนึกว่าบุตรสาวอาจมีแผลเป็นก็กังวลใจมาก เดินตาแดงก่ำออกมาจากเรือนชิงจู๋ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นหลัวมัวมัววิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี

หลัวมัวมัวย่อกายทำความเคารพ “ฮูหยิน ข่าวดีเจ้าค่ะ! เช้าวันนี้ด้านนอกต่างลือกันว่าหลังจากที่งานเลี้ยงเมื่อคืนจบลง จงหย่งโหวส่งฮูหยินโหวเจี่ยงซื่อไปบำเพ็ญเพียรที่สำนักจิ้งซินตั้งแต่เมื่อคืนเจ้าค่ะ บ่าวให้คนไปสืบดูแล้วเป็นเรื่องจริงแน่นอน คุณหนูไม่ต้องกลัวแม่สามีรังแกอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ!”

สำนักจิ้งซินเป็นสถานที่ที่สตรีซึ่งถูกลงโทษจากตระกูลถูกเนรเทศไปอยู่โดยไม่ได้กลับออกมาอีก กระทั่งโดนทรมานจนตายก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

ฮูหยินสองหลิวซื่อได้ยินก็รู้สึกสะใจยิ่งนัก ขอบคุณที่สวรรค์เมตตา “หลัวมัวมัว เจ้าไปเตรียมตั้งโต๊ะฉลอง วันนี้ข้าจะเลี้ยงขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่คอยช่วยเหลือข้าในช่วงหลายวันมานี้!”

บนโต๊ะอาหาร ฮูหยินสองหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ “ตอนนี้แค่ข้าได้ยินเรื่องโชคร้ายของเจี่ยงซื่อ ข้าก็สบายกายสบายใจราวกับดื่มเหล้าไปเป็นไหเลยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าต้องเจริญอาหารแน่นอนเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินห้าฉีซื่อลูบหน้าท้อง ยิ้มพลางเอ่ยแซว “พี่สะใภ้สองขอบคุณเทวดาที่ใดกันเจ้าคะ! ท่านควรขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ต่างหาก…หากไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ใหญ่เมตตายกเลิกฐานะทาสให้สาวใช้ทั้งห้านั่น เรื่องจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ผู้ตรวจการจะมาสอบสวนฮูหยินโหวได้อย่างไร เจี่ยงซื่อจะเคราะห์ร้ายเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

“พี่สะใภ้สองต้องขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่อยู่แล้ว มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าที่พี่สะใภ้สองจัดโต๊ะฉลองเช่นนี้เพราะเลี้ยงพวกเราเช่นนั้นหรือ! พวกเรา…เป็นแค่แขกที่เท่านั้น” ฮูหยินสามหลี่ซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากพลางหัวเราะออกมา

หลิวซื่ออารมณ์ดีสั่งให้หลัวมัวนำเหล้าออกมารินเหล้าเต็มแก้ว ยกขึ้นคาราวะต่งซื่อ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ลูกเขยย้ายเข้าจวนใหม่หรือเรื่องของเจี่ยงซื่อล้วนลำบากพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว!”

“ครอบครัวเดียวกัน เหตุใดต้องเกรงใจเช่นนี้!” ต่งซื่อดื่มเหล้าไปอึกหนึ่ง ฉุดให้หลิวซื่อนั่งลงอย่างอารมณ์ดี “พอจิ๋นซิ่วหายดีแล้วย้ายเข้าจวนใหม่ นางก็จะกลายเป็นนายหญิงใหญ่ของจวน ไม่ต้องเกรงว่าจะถูกผู้ใดรังแกอีก เจ้าก็จะวางใจได้เสียที”

หลิวซื่อนึกถึงไป๋จิ่นซิ่ว ดวงตาแดงก่ำในทันที นางพยักหน้า

ฤดูหนาวในเดือนสิบสอง จวนโบราณที่สร้างด้วยอิฐและกระเบื้องสีเขียวถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะขาวราวกับปีกหงส์ เป็นภาพราวกับอยู่ในจินตนาการ

ฮูหยินสี่หวังซื่อมองไปทางหน้าต่างด้านนอกที่เริ่มมีหิมะโปรยลงมาอีกครั้ง ขอบตาร้อนผ่าว ถอยหายใจออกมา “มิรู้ว่าพวกเด็กๆ ทางหนานเจียงจะเป็นเช่นไรกันบ้าง จะกลับมาทันฉลองปีใหม่หรือไม่…”

“มีท่านกั๋วกงอยู่ ซื่อจื่อกับบรรดาพ่อๆ ของพวกเขาก็อยู่มิเป็นอันใดหรอก! เด็กหนุ่มต้องฝึกฝนประสบการณ์ให้มากถึงจะมีความรับผิดชอบ” แม้ต่งซื่อจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจก็เป็นห่วงบุตรชายของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน

แม้เหลียงอ๋องไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ในวัง แต่ถ้อยคำที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวไว้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน เมื่อเห็นว่าชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงและไป๋ชิงเหยียนเริ่มเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว เหลียงอ๋องจึงเริ่มไม่เป็นสุข

บัดนี้ชื่อเสียงของตระกูลไป๋มีอิทธิพลมาก แม้แต่เสด็จพ่อของเขายังตรัสถามเรื่องบ่าวใช้ติดตามของคุณหนูรองตระกูลไป๋ รับสั่งให้จงหย่งโหวจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย

ด้านนอกลือกันว่า คืนนั้นพอจงหย่งโหวกลับมาที่จวนใน ก็สั่งให้คนส่งเจี่ยงซื่อไปบำเพ็ญเพียรสำนึกผิดที่สำนักจิ้งซินทันที ไม่รู้ว่าพอข่าวจากหนานเจียงส่งมาถึงเมืองหลวง ชาวบ้านเข้าข้างตระกูลไป๋ถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อของเขาจะกล้าแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงหรือไม่