บทที่ 70 พิสูจน์ยืนยัน

บทที่ 70 พิสูจน์ยืนยัน

“ฉันเชื่อคำพูดของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์!”

“ฉันเองก็เชื่อ ว่าที่เทพธิดาของผองเราพูดเป็นเรื่องจริง”

“ใช่แล้ว หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่พูดโกหกหรอก!”

เรื่องที่บรรดาเถ้าแก่ไม่ทราบคือการที่เหล่านักเรียนนักศึกษาต่างเชื่อคำพูดของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ พวกเขาไม่รู้จักหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ดังนั้นจึงไม่ทราบถึงความนิยม และความสำคัญของตัวหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ในมหาวิทยาลัยเจียงโจวว่ามีมากน้อยเพียงใด

“ต่อให้เธอพูดเรื่องจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าวัตถุดิบของร้านบาร์บีคิวนี่จะไม่มีอะไรผิดปกติ”

“ถูกต้องแล้ว เถ้าแก่ร้านบาร์บีคิวร้านนี้ ไม่นานมานี้ยังฝีมือเรียกว่างั้นงั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดีขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่คิดว่าน่าสงสัยเกินไปหรือยังไง?”

“ใช่แล้ว ที่พวกเราพูดเนี่ย ก็เพราะห่วงสุขภาพของพวกเธอหรอกนะ”

เถ้าแก่ของร้านบาร์บีคิวทั้งหลาย เห็นกันชัดว่าไม่ยินดีที่วิกฤตของอู๋ฝานคลี่คลาย พวกเขาต้องการใส่ร้ายวัตถุดิบของอู๋ฝาน ว่าจะต้องมีการใส่อะไรที่น่าสงสัยลงไป

คำที่พวกเขาพูดเป็นเหตุให้หลายคนเกิดความลังเล โดยเฉพาะคนที่เคยได้ทานบาร์บีคิวของร้านอู๋ฝานมาก่อน พวกเขาเกิดความสงสัยขึ้นในใจเช่นเดียวกัน แม้ว่าฝีมือการทำอาหารก่อนหน้านี้ของอู๋ฝานไม่ได้ถึงขนาดสัตว์ยังไม่ทาน แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศล้ำอะไร นับประสาอะไรหากนำมาเทียบเปรียบกับปัจจุบัน

มันเป็นไปได้ที่ฝีมือการทำอาหารของคนสามารถก้าวหน้าได้ผ่านการฝึกฝน แต่ในกรณีของอู๋ฝานที่ก้าวหน้าอย่างกะทันหันจนเกินไป มันผิดปกติจนชวนให้น่าสงสัย ทำให้บรรดาคนที่ไม่เคยคิดมาก่อน ขณะนี้บรรดาเถ้าแก่พูดออกมา จึงเกิดความสงสัยในตัวอู๋ฝานขึ้นมา

“บอกว่าผมใส่อะไรลงไปงั้นหรือ งั้นผมใส่อะไรลงไปกันล่ะ?” อู๋ฝานมองเถ้าแก่เหล่านั้นพร้อมกับถาม

“แล้วไม่ใช่หรือยังไง? ถ้าไม่งั้นจะอธิบายความอร่อยของบาร์บีคิวที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ยังไง?”

“เพียงเพราะอาหารของผมไม่เหมือนของพวกคุณ เพราะผมมีพรสวรรค์ ก็ไม่ได้งั้นหรือ?” อู๋ฝานถามกลับ

เรื่องของพรสวรรค์นับเป็นความลึกลับประการหนึ่ง มันไม่ใช่อะไรที่จะมีใครอธิบายให้กระจ่างชัดได้ อู๋ฝานตอบมาแบบนี้ ก็ยากที่คนอื่นจะตอบอะไรได้

“ถูกต้องแล้ว พรสวรรค์ของอาจารย์ที่ฉันคนนี้ยอมรับ ไม่ใช่อะไรที่คนอย่างพวกคุณจะมาเทียบเปรียบได้” หลิวอี้เตาพูดออกหน้าแทนอู๋ฝาน

เพราะพรสวรรค์การทำอาหารของอู๋ฝาน หลิวอี้เตาจึงเกิดความนับถือ ส่วนบรรดาผู้ต้องการใส่ร้ายอู๋ฝานและตัวเขา หลิวอี้เตาไม่คิดมองในสายตาหรือให้ค่า

ได้ยินคำที่หลิวอี้เตาเรียกหาอู๋ฝาน หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ถึงกับมองอู๋ฝานด้วยความประหลาดใจ เพราะอะไรเชฟใหญ่ของคัลเลอร์แมนจึงช่วยอู๋ฝาน เพราะอะไรถึงเรียกหาอู๋ฝานเป็นอาจารย์?

“พูดจาไร้สาระกันทั้งนั้น! ต่อให้มีพรสวรรค์จริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้ากระโดดถึงขนาดนั้นในคราวเดียว!” เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวคนหนึ่งยังไม่ยอมรับ

“อี้เตา คุณไปร้านแผงลอยของเถ้าแก่คนนี้ นำเครื่องเทศมาส่วนหนึ่งสิ” อู๋ฝานพลันหันศีรษะไปบอกกับหลิวอี้เตา

“คิดทำอะไร? ร้านของฉันไม่เหมือนของนาย วัตถุดิบของร้านฉันโปร่งใส ไม่ได้ใส่อะไรเสริมเติมแต่งทั้งนั้น!” เถ้าแก่ร้านดังกล่าวตอบกลับเสียงดัง

“หยิบยืมสักหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกมั้งครับ?” อู๋ฝานถาม

เถ้าแก่ร้านคนนี้ไม่ทราบว่าอู๋ฝานคิดทำอะไร เพียงแต่เครื่องเทศของร้านเขาไม่มีอะไรเสริมเติมแต่งทั้งสิ้น เขาจึงไม่กลัวอู๋ฝานจะใส่ร้ายป้ายสี “ก็ได้ ให้ยืมก็ได้!”

“นำวัตถุดิบส่วนหนึ่งมาด้วยนะครับ” อู๋ฝานบอกกับหลิวอี้เตา ก่อนจะหันมองยังเถ้าแก่คนนั้น “วางใจได้ ผมจะจ่ายในส่วนที่นำมา ถือว่าผมซื้อบาร์บีคิวของร้านคุณก็แล้วกัน”

เถ้าแก่คนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าอู๋ฝานคิดทำอะไร แต่ในเมื่ออู๋ฝานจ่าย เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ และคิดอยากได้เห็น ว่าอู๋ฝานมีแผนการคิดทำอะไรกันแน่

เพียงไม่ช้าหลิวอี้เตาจึงนำวัตถุดิบและเครื่องเทศส่วนหนึ่งจากร้านของเถ้าแก่คนนั้นกลับมา อู๋ฝานรับเอาไว้ ก่อนจะเริ่มปิ้งที่หน้าร้านของตัวเอง

ตอนนี้เอง ที่คนซึ่งพอฉลาดเริ่มเข้าใจการกระทำของอู๋ฝานแล้ว

หากบอกว่าวัตถุดิบของคนอื่นมีปัญหา ก็ไม่เป็นไร อย่างนั้นใช้วัตถุดิบของคุณก็แล้วกัน จะใช้วัตถุดิบจากร้านของคุณที่ยืนยันไปแล้วว่าไม่ได้เสริมเติมแต่งอะไร ถึงตอนนั้คงไม่บอกว่าวัตถุดิบของร้านตัวเองมีปัญหาหรอกมั้ง?

บรรดาผู้ชมต่างเกิดความสนใจ พวกเขาไม่คิดจากไปไหน แต่รอคอยบาร์บีคิวของอู๋ฝานปิ้งย่างจนได้ที่ พวกเขาคิดอยากได้เห็น ว่าฝีมือการทำอาหารของอู๋ฝานพัฒนาขึ้นมาได้ เพราะมีการเติมแต่งอะไรลงไป หรือเป็นเพราะพรสวรรค์กันแน่

เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวคนอื่นต่างก็เข้าใจเจตนาของอู๋ฝาน ขณะนี้สีหน้าของพวกเขาเริ่มเกิดปั้นยากขึ้นมา

ในใจของพวกเขา ไม่มีความคิดเชื่อว่าฝีมือของอู๋ฝานจะพัฒนาอย่างกะทันหันมากมายขนาดนี้ได้ พวกเขาจึงพร้อมใจกันเชื่อ ว่าอู๋ฝานมีการใส่อะไรลงไปจนทำให้อาหารรสชาติดี เพียงแต่พวกเขาเองก็กลัวเช่นกัน หากว่าอู๋ฝานตื่นรู้พรสวรรค์ขึ้นมาอย่างกะทันหันเล่า? ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองแล้วหรอกหรือ?

ตอนนี้ที่อู๋ฝานปิ้งบาร์บีคิวไปแล้ว หากพวกเขาก้าวออกไปหยุดอีกฝ่ายจะเป็นความผิดหรือไม่?

“พรสวรรค์อะไรนั่นไม่มีทางมีอยู่แล้ว ไม่เคยมีใครจะพัฒนาฝีมือการทำอาหารได้รวดเร็วขนาดนี้มาก่อน เขาที่ขึ้นหลังเสือแล้วจึงลงไม่ได้ ใช่มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ กำลังคิดจะโกงอะไรพวกเราอยู่แน่! รอคอยจนถึงโอกาสให้พวกเราได้พูดอีกครั้งก็พอ!” เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวทั้งหลายต่างครุ่นคิดกับตัวเอง

“เหยียนเอ๋อร์ รู้จักกับเถ้าแก่ร้านนี้หรือ?” ขณะอู๋ฝานกำลังตั้งใจปิ้งหน้าเตา รูมเมทของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมา จนต้องเข้ามาพูดถามหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ด้วยเสียงเบา

“เคยเจอกันมาบ้าง” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับเสียงเบา ทว่าสายตายังคงมองยังอู๋ฝานไม่วางสายตา

ตอนที่เขาทำอะไรอย่างจริงจัง ทำไมถึงได้ดูดึงดูดขนาดนี้กัน?

“เจอกันมาบ้าง?” รูมเมทของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่คิดเชื่อ

“อืม”

“ก็ได้” พบเห็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่คิดพูดอะไรมากกว่านี้ รูมเมทของเธอก็ไม่คิดถามให้มากความ เพียงแต่กำลังคาดเดาความเป็นไปได้มากมาย ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และอู๋ฝาน

อู๋ฝานไม่คิดสนใจสายตาของผู้คนรอบด้านที่มองมา แต่ทุ่มเทสมาธิกับการปิ้งบาร์บีคิวตรงหน้า เพียงเวลาไม่นาน กลิ่มหอมฉุยก็เริ่มฟุ้งออกมาจากอาหารตรงหน้า

“กลิ่นยังดีเหมือนเคย”

“ต้องพูดเลย ว่าฝีมือเถ้าแก่นี่ของจริง”

“รอไม่ไหวแล้ว อยากจะเหมากลับไปกินทั้งร้าน!”

“ฉันก่อนสิ!”

กลุ่มลูกค้าตรงหน้าร้านแผงลอย ต่างถูกกลิ่นหอมของบาร์บีคิวดึงดูด พวกเขาอดไม่ได้จนแทบน้ำลายสอ

สีหน้าของเถ้าแก่ร้านอื่น เริ่มดำมืดขึ้นทีละน้อย

“ได้แล้ว!” เพียงไม่นาน อู๋ฝานก็ปิ้งทุกไม้จนสุกเรียบร้อย ก่อนจะส่งให้หลิวอี้เตาและบอก “แจกจ่ายให้ทุกคนด้วยครับ อย่าลืมเหลือไว้ให้พวกเถ้าแก่ร้านอื่นด้วยนะครับ”

ภายหลังอู๋ฝานส่งให้หลิวอี้เตา เขาจึงหันไปบอกกับทุกคน “รอบนี้ไม่คิดเงินครับ ช่วยตัดสินก็พอครับ”

“ฉันเอา!”

“ฉันเอาด้วย!”

“ฉันด้วยสิ ฉันช่วยตัดสินได้นะ!”

ลูกค้าหลายคนขันอาสา พวกเขาคิดอยากได้บาร์บีคิวที่หลิวอี้เตาถืออยู่ หลิวอี้เตาจึงเร่งรีบแจกจ่ายอาหารในมือ แน่นอนว่า ตามคำของอู๋ฝาน ว่าต้องเหลือส่วนหนึ่งไว้ให้บรรดาเถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวข้างเคียงด้วย

เถ้าแก่เหล่านั้นต่างถืออาหารไว้ในมือ อารมณ์ในใจบังเกิดความซับซ้อน แม้พวกเขายังไม่ได้ลอง รสชาติและรูปลักษณ์ของมันก็ก้าวข้ามของที่พวกเขาทำไปมาก ในใจจึงบังเกิดสังหรณ์ลางร้ายกันขึ้นมา