บทที่ 64 เสี่ยวเป่าหิวข้าว

บทที่ 64 เสี่ยวเป่าหิวข้าว

เด็กเล็กนัวเนียเจ้าโร่วโร่วจนพอใจแล้ว นางก็หันมาคว้ามือของพี่ใหญ่ทาบลงบนแก้มนุ่ม คลอเคลียเสียยิ่งกว่าหมาน้อยติดคน

“พี่ใหญ่ ท่านรอเราอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ?”

“เสี่ยวเป่ามีของมาให้พี่ใหญ่ด้วยนะ”

เสี่ยวเป่าโบกมือน้อย ๆ พร้อมตะโกนเสียงดังฟังชัด “พี่สี่เร็วเข้าเพคะ!”

เหล่าซื่อ*[1]หนานกงฉีอิง หนุ่มหล่อล่ำบึกที่ในมือมีกระถางกล้วยไม้เขากวางอ่อนสีขาวเผยตัวออกมาจากฝูงชน

“พี่ใหญ่ น้องหญิงเอามาให้ท่าน”  

หนานกงฉีอิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า หากเขาไม่ได้กำลังยิ้มแย้ม คงจะดูเป็นคนโหดเหี้ยมราวกับขุนโจรทันที 

แต่เมื่อเอื้อนเอ่ย เขากลับดูเป็นคนซื่อบื้อ ถึงตัวจะสูงใหญ่ทว่ารังแกง่าย  

หนานกงฉีซิวมองกระถางกล้วยไม้เขากวางอ่อนด้วยความประหลาดใจ

“กล้วยไม้เขากวางอ่อน?”  

นี่เป็นของล้ำค่าที่หายากยิ่ง ซ้ำยังเป็นกล้วยไม้เขากวางอ่อนป่าที่เติบโตได้ดีถึงเพียงนี้

หนานกงฉีซิวชื่นชอบกล้วยไม้เป็นชีวิตจิตใจ และยิ่งเขามองกล้วยไม้เขากวางอ่อนสลับกับน้องสาวตัวน้อยที่ยืนลุ้นจนตัวโก่งอยู่ข้าง ๆ หัวใจพลันอุ่นวาบจนแทบทนไม่ไหว

แม้ตัวเขาจะไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกับพวกน้อง ๆ แต่ก็ยังมีคนนึกถึงเขา ความรู้สึกเช่นนี้มันดีจริง ๆ

“ข้าชอบมันมาก” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน ก่อนจะคลี่ยิ้มทีละน้อยพลางลูบหัวน้องสาวเบา ๆ

เสี่ยวเป่ายิ้มจนตาหยี “เสี่ยวเป่าเจอต้นอื่นด้วยนะ แต่มันต้องใช้เวลาอีกหน่อย รอให้เสี่ยวเป่าเลี้ยงมันให้เติบโตได้ดีกว่านี้เสียก่อนถึงจะมอบให้พี่ใหญ่”

ดูความลำเอียงของนางสิ! เหล่าพี่ที่เหลือพลันรู้สึกอิจฉา

หนานกงฉีโม่อดใจไม่ไหว เป็นต้องแขวะออกมา “ในสายตาคนบางคนคงมีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้นกระมัง”  

หนานกงฉีเฉินคร่ำครวญเหมือนน้อยใจ “นั่นสิ ข้าหน้าตาไม่ดีอย่างนั้นหรือ? ข้าทำไม่ดีกับเจ้าหรืออย่างไร?”

น้ำเสียงที่ได้ฟังอย่างไรก็รู้สึกเหมือนผู้พูดไม่ได้รับความเป็นธรรม

ส่วนคนที่เหลือต่างพร้อมใจกันมองเจ้าก้อนแป้งด้วยสายตาขุ่นเคือง  

เสี่ยวเป่า “…”

พี่ชายมีกันตั้งเยอะ แต่เสี่ยวเป่ามีเพียงคนเดียว  

“มีให้ทุกคน ๆ แต่เสี่ยวเป่าต้องกลับไปเพาะพันธุ์พวกมันให้เยอะ ๆ เสียก่อนถึงจะแบ่งให้ท่านพี่ได้ทุกคน!” 

คนตัวเล็กยืดอกให้คำมั่น แม้กล้วยไม้จะไม่ขยายพันธุ์ได้มากมายในคราวเดียว แต่ไม้อวบน้ำพวกนั้นทำได้  

แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าพี่ชายก็ยังเป็นห่วงน้องอยู่ดี แม้จะอยากได้ของขวัญจากนาง แต่พวกเขาก็ไม่อยากให้นางเหนื่อย

ด้านหนานกงฉีเฉินนั้นสองจิตสองใจ ทั้งอยากได้แต่ก็เป็นห่วงน้องสาว “แต่เจ้าต้องห้ามหักโหมนะ ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ” 

ส่วนหนานกงฉีรุ่ยผู้เถรตรงนั้น “อย่าหักโหม”

เจ้าก้อนแป้งยิ้มหวานพลางพยักหน้า “ทราบแล้วเพคะ~”  

ระหว่างเดินทางกลับนาหลวง กลุ่มควันสีจางพวยพุ่งมาจากหมู่บ้านที่อยู่ไกล ๆ อาทิตย์อัสดงทอแสงทั่วนภากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เงาสะท้อนทอดยาวยามพลบค่ำ เหล่าชายหนุ่มหน้าใสไร้กังวลเดินพร้อมหน้า กลับมาพร้อมรอยยิ้มราวกับปัญหาใดในใต้หล้าก็มิอาจพาใจให้หม่นหมอง

เสี่ยวเป่ากลับมาถึงปุ๊บก็หาวนอนปั๊บ วันนี้นางใช้พลังงานมากเกินไป ซ้ำยังใช้พลังวิญญาณด้วย เสี่ยวเป่าอยากจะนอนพักเสียเดี๋ยวนี้

แต่ความหิวก็ดันเล่นงาน 

เด็กเล็กลูบท้องตัวเองป้อย ๆ เมื่อได้กลิ่นหอมน่ากินลอยมาจากนาหลวง

เสี่ยวเป่าก็เดินตามกลิ่นไปเรื่อย ๆ

“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงกำลังรอท่านอยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ”  

ฝูไห่กงกงเห็นเสี่ยวเป่าก็รีบรายงานทันที

เด็กหญิงหยุดชะงัก “พวกท่านพี่จะเข้าไปหาเสด็จพ่อด้วยกันหรือไม่?” 

พวกเขารีบส่ายหน้า พร้อมโบกมือกันยกใหญ่  

หนานกงเหิง “เอ่อ… พวกเราไม่ไปรบกวนเสด็จลุงดีกว่านะ”  

หนานกงเหยี่ยน “ใช่ ๆ เสด็จลุงยุ่งมาทั้งวันแล้ว พวกเราไม่อยากรบกวนหรอก” 

หนานกงฉีซิวลูบหัวเสี่ยวเป่า “เจ้าไปเถอะ อย่าให้เสด็จพ่อรอนาน”  

เสี่ยวเป่า “เช่นนั้นเสี่ยวเป่าไปแล้วนะเพคะ~”

แม้ยามนี้จะพำนักที่นาหลวง หนานกงสือเยวียนก็ยังยุ่งอยู่ดี  

ฎีกาจากเหล่าขุนนางยังถูกส่งตรงมาที่นี่มิว่างเว้น

หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงต้องจัดการเองทั้งหมด แต่ตอนนี้…  

โอรสทั้งสองโตพอที่จะช่วยงานได้แล้ว  

ฮ่องเต้ผู้นี้จึงไม่ลังเลที่จะตรวจดูฎีกาทุกฉบับก่อนจะแยกพวกฎีกาไร้สาระน่าปวดหัวที่ตนเองไม่อยากตัดสินไว้ด้านข้าง

เสี่ยวเป่าใช้ขาสั้นป้อมวิ่งมาเร็วไวทันได้ยินท่านพ่อสั่งราชองครักษ์

“นำฎีกาพวกนี้ไปให้องค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง”  

เมื่อเห็นฎีกาถูกลดลงไปเกือบครึ่ง อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย

หนานกงสือเยวียนมองเจ้าก้อนแป้งที่วิ่งกลับมา คิ้วที่ขมวดก็คลายออกเล็กน้อย 

“กลับมาแล้วสินะ”

เจ้าก้อนแป้งตะโกนเสียงดัง “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านจะแย่แล้ว!” 

นางวิ่งเข้าไปกอดขายาว ๆ ของท่านพ่อ

ฮึ่ม ๆ กอดขายาว ๆ ของท่านพ่อบ่อย ๆ โตขึ้นไปจะได้ขายาวเหมือนท่านพ่อ!  

หนานกงสือเยวียนคว้าตัวเจ้าก้อนแป้งคลุกฝุ่นขึ้นมา

เขย่า ๆ สักหน่อย

“ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า”  

เสี่ยวเป่าเหลือบไปเห็นเครื่องเสวยที่โต๊ะน่ากินจนไม่อาจละสายตา

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าหิวข้าว~”  

เด็กเล็กออดอ้อนสุดพลัง

แต่ผู้เป็นพ่อหาได้ใจอ่อน จับเจ้าก้อนแป้งคลุกฝุ่นมาทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้า  

เสี่ยวเป่าสวมกระโปรงสะอาดสีเหลืองสดวิ่งออกมาแล้วปีนขึ้นไปบนเก้าอี้โดยไม่รอความช่วยเหลือจากท่านพ่อ นางนั่งตัวตรงมองบิดาตาใสแจ๋ว

หนานกงสือเยวียนเห็นคำว่า ‘กินข้าว’ ในดวงตาและสีหน้าของนาง

“กินเถอะ”

เจ้าก้อนแป้งร้องดีใจ ใช้ช้อนตักลูกชิ้นก้อนเล็กแสนอร่อยยัดเข้าปาก  

แก้มขาวนุ่มข้างหนึ่งพองขึ้น สีหน้าเปี่ยมสุข เท้าก็แกว่งไปมา

“อร้อยอร่อย ท่านพ่อลองบ้างสิเพคะ!”  

เจ้าก้อนแป้งรู้จักแบ่งปันคะยั้นคะยอให้ท่านพ่อกินบ้าง

หนานกงสือเยวียนคีบอาหารขึ้นมาช้า ๆ “มีสิ่งใดบ้างที่เจ้าไม่ชอบ?” 

เสี่ยวเป่าเคี้ยวข้าวในปากพลางทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

“อ้ายอี (ไม่มี)” นางตอบเสียงอู้อี้เพราะข้าวเต็มปาก

เสี่ยวเป่าเกาหน้าพลางยิ้มเขิน ๆ

“ท่านพ่อกินเร็ว ทุกอย่างอร่อยมาก”  

นางยกชามข้าวใบเล็กขึ้นมา เริ่มตั้งหน้าตั้งตากินไม่หยุด

“อย่ากินเยอะเกิน” 

เมื่อเห็นคนตัวเล็กทั้งกินทั้งหาวไปด้วย หนานกงสือเยวียนก็ตีหน้าเข้มเพื่อเตือนนาง

“เพคะท่านพ่อ~” เสี่ยวเป่าตอบเสียงแผ่วก่อนจะลูบท้องตนเองดู อืม… ยังพอมีที่ว่างอยู่เล็กน้อย  

เมื่อกินจนอิ่มหนำแล้ว เจ้าก้อนแป้งก็ลืมตาแทบไม่ขึ้น นางปีนลงจากเก้าอี้เพื่อเดินเตาะแตะไปหาท่านพ่อ 

“ง่วง~”  

หนานกงสือเยวียนค่อย ๆ แงะเจ้าก้อนแป้งที่เกาะหนึบอยู่ที่เข่าขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เจ้าตัวเล็กหลับไปแทบจะทันที  

ฝูไห่กงกงเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดห่วงไม่ได้ “วันนี้องค์หญิงน้อยไม่ได้นอนกลางวันเลย เพราะไปวิ่งเล่นบนภูเขามาทั้งวัน คงจะทรงง่วงมากนะพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนบีบจมูกเล็ก ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว  

“ง่วงขนาดนั้นก็ยังไม่ลืมกินข้าว” 

เจ้าหมูน้อยเอ๊ย  

ฝูไห่ขำเบา ๆ “กินเก่งถือว่ามีสุข องค์หญิงน้อยเป็นเช่นนี้ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เนื้อตัวนุ่มนิ่มน่ากอดดีจริงด้วย อีกทั้งเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนยังมีกลิ่นหอมละมุนราวกับมนตร์วิเศษ

มันทำให้เขาจิตใจสงบได้อย่างน่าประหลาดใจ

หนานกงสือเยวียนกอดบุตรสาวผู้เชื่อฟังไว้ในอ้อมแขน มองใบหน้าเล็กแสนจ้ำม่ำขาวอมชมพูราวกับดอกท้อ นอนหลับตาพริ้มอมยิ้มหน่อย ๆ

นิ้วเรียวเคาะปลายจมูกคนตัวเล็ก “ยามตื่นก็เป็นเด็กดีอยู่หรอก แต่พอถึงยามนอนไยถึงชอบกลิ้งไปมา?”

[1] เหล่าซื่อในที่นี้ หมายถึงเจ้าสี่ หรือก็คือหนานกงฉีอิง