ตอนที่ 70 เฉินเจียวั่ง
ตอนที่ 70 เฉินเจียวั่ง
เฉินเจียเหอไม่ได้ตั้งใจจะพาหลินเซี่ยมาบ้านตระกูลเฉินทันที แผนก่อนหน้านี้ของเขาคือรอจนกว่าเขาจะกลับไปสะสางและจัดการธุระต่าง ๆ ในบ้านที่ไห่เฉิงก่อน แล้วค่อยพาเธอมาเยี่ยมพ่อแม่
ตอนนี้อาการของเฉินเจียวั่งกลับกำเริบขึ้นมา ทำให้แผนก่อนหน้านี้ต้องเป็นอันพับเก็บไปก่อน
เมื่อคืนสมาชิกตระกูลเฉินนอนไม่หลับ ผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเฉินจึงออกมานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นตั้งแต่เช้า
ห้องนั่งเล่นกว้างใหญ่และหรูหรา บนผนังตกแต่งด้วยอักษรจีนอันประณีตและภาพวาดที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ทั้งยังมีเครื่องลายครามโบราณประดับอยู่ด้วย
เรียบง่าย แต่ก็หรูหราในเวลาเดียวกัน
เฉินเจียเหอจับมือหลินเซี่ย เดินไปหาผู้อาวุโสของตระกูลเฉิน จากนั้นก็แนะนำ “คุณปู่ คุณย่า นี่หลินเซี่ยครับ”
“คุณปู่ คุณย่า สวัสดีค่ะ” หลินเซี่ยทักทายพวกเขาอย่างสุภาพ
ผู้อาวุโสทั้งสองมองไปที่หญิงสาวซึ่งจับมือกับเฉินเจียเหอแนบแน่น ใบหน้าของพวกเขาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ตอบกลับว่า “หลินเซี่ย สวัสดีจ้ะ เดินทางไกลคงลำบากมากสินะ”
กิริยาท่าทางของผู้เฒ่าสองคนของตระกูลเฉิน แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากผู้เฒ่าตระกูลโจวและคนอื่น ๆ ในชนบท
ความสง่างามจากการที่พวกเขาอยู่ในตำแหน่งอันมีเกียรติมาเป็นเวลานาน หยั่งรากลึกจนแทบแสดงออกจากกระดูก
แม้พวกเขาจะนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร ก็ยังทำให้คนรู้สึกหวั่นเกรงได้
ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อหลินเซี่ยนั้นสุภาพมาก แต่ก็เป็นเพียงความสุภาพตามมารยาทเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงความตื่นเต้นหรือความรักใคร่เอ็นดู
เมื่อโจวลี่หรงเผชิญหน้ากับพวกเขา ทัศนคติของหล่อนต่ออีกฝ่ายก็แตกต่างจากตอนที่หล่อนปฏิบัติกับพ่อแม่ตัวเองในชนบทอย่างสิ้นเชิง
หล่อนมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสอง ถามอย่างสุภาพนอบน้อม “พ่อคะ แม่คะ เจียวั่งเป็นอะไรไป? อาการป่วยเขาไม่ได้กำเริบมานานแล้ว ตอนที่เขาไปโรงเรียนก็ยังดูสบายดี ทำไมช่วงวันตรุษถึงได้ล้มป่วยอีกจนได้?”บราวนี่ออนไลน์
คุณย่าเฉินเหลือบมองเฉินเจียซิ่งที่ยืนโงนเงนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสภาพตาจะปิดเหมือนยังไม่ตื่นดี “ทั้งหมดเป็นความผิดของเจียซิ่ง”
เฉินเจียซิ่งถูจมูกพลางบ่นพึมพำ “คุณย่า จะโทษผมได้ยังไง? เจียวั่งอ่อนไหวไปเองต่างหาก”
“ช่างเถอะ ขอไปหาเจียวั่งก่อนแล้วกัน”
โจวลี่หรงวางกระเป๋าเดินทางของตัวเองลงแล้วพยักหน้า “อืม”
เฉินเจียเหอก็เป็นห่วงและอยากไปเจอเฉินเจียวั่งมากเช่นกัน แต่เขาอดกังวลกับการที่หลินเซี่ยอยู่ตรงนี้คนเดียวไม่ได้
ดูเหมือนคุณย่าเฉินจะมองเห็นความกังวลของเขา จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจียเหอ ไปหาน้องชายของเธอเถอะ ให้หลินเซี่ยนั่งอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยกับพวกเราก็ได้”
“ครับ”
เขาดึงหลินเซี่ยให้นั่งลง แล้วพูดเบา ๆ “คุณกับหู่จืออยู่คุยกับคุณปู่คุณย่าไปก่อนนะ ผมขอไปหาเจียวั่งแวบหนึ่ง แล้วจะรีบลงมาทันที”
“ค่ะ”
ก่อนที่เฉินเจียเหอจะขึ้นไปชั้นบน เขาไม่ลืมส่งสายตาอันเฉียบคมไปทางเฉินเจียซิ่งราวกับจะเตือนอะไรบางอย่างที่มีความหมายชัดเจนในตัวมันเอง
เฉินเจียซิ่งทำหน้าบูดบึ้ง แล้วเดินฟึดฟัดออกไป
หลินเซี่ยนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางเรียบร้อย ไม่รู้ว่าควรจะชวนอีกฝ่ายคุยอะไรดี
คุณย่าเฉินขยับจานขนมบนโต๊ะไปตรงหน้า แล้วเชื้อเชิญเธอ “สาวน้อย กินขนมสักหน่อยสิ”
“ขอบคุณค่ะคุณย่า”
“รูปร่างผอมเพรียวบางแต่สวยไม่หยอกเลยเชียว”
…
เฉินเจียเหอเดินตามโจวลี่หรงไปที่ห้องของเฉินเจียวั่งบนชั้นสอง
เฉินเจิ้นเจียง พ่อของเฉินเจียเหอนอนร่วมห้องกับลูกชายของเขาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา เพิ่งตื่นนอนเมื่อสักครู่นี้เอง
เห็นได้ชัดว่าเขาแทบไม่ได้นอนหลับสนิท ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนอดนอน
เมื่อเห็นว่าโจวลี่หรงและเฉินเจียเหอกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เฉินเจิ้นเจียงละสายตาจากเฉินเจียเหอทันที หันไปพูดกับโจวลี่หรง “อาการของเขาเริ่มคงที่แล้ว ช่วงเช้าเมื่อวานนี้เขากลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาก็ปกติดี”
“ทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมาเป็นอีกได้? ก่อนหน้านี้เขามียาช่วยควบคุมอาการเป็นอย่างดี ไม่ชักมานานเป็นครึ่งปี คุณพ่อบอกว่าต้นเหตุเกิดจากเจียซิ่ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เฉินเจิ้นเจียงเหลือบมองเฉินเจียเหอด้วยสายตาวาววับ
แต่เลือกที่จะไม่ตอบและทำหน้าบึ้งแทน
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย เข้าไปหาลูกเถอะ ผมขอไปอาบน้ำล้างตัวก่อน”
โจวลี่หรงเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงของเฉินเจียวั่ง
เฉินเจียวั่งเพิ่งตื่นจากการหลับใหล เขายังคงนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายทว่าดูซีดเซียวมาก ผิวขาวซีดเพราะไม่ได้ออกไปโดนแสงแดดมานานหลายปี
ดวงตาหงส์รียาวคู่นั้นมืดมน ไม่สอดคล้องกับวัยอันสดใสของเขาเอาเสียเลย
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของผู้เป็นแม่ เฉินเจียวั่งกลับไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ สีหน้าของเขาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ทักทายเสียงแผ่วหวิว
“แม่ ผมขอโทษที่ทำให้แม่เดือดร้อนอีกแล้ว แม่อุตส่าห์ได้กลับไปเยี่ยมตายาย แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาหาผม ปีนี้เริ่มต้นได้แย่จริง ๆ เชียว”
“เจียวั่ง อย่าพูดแบบนั้นสิ ยิ่งลูกพูดแบบนี้แม่ก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม”
โจวลี่หรงมองไปที่ลูกชายคนเล็ก กรีดนิ้วเช็ดน้ำตา แล้วนั่งลงข้างเตียงก่อนจะตำหนิตัวเอง
“แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะแม่เองที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ แม่ยอมป่วยเป็นโรคนี้เองซะยังดีกว่า ทำไมพระเจ้าถึงได้ทรมานลูกชายของแม่ขนาดนี้”
ขณะที่หล่อนพูด น้ำเสียงก็เริ่มสะอึกสะอื้น
เฉินเจียวั่งซึ่งนอนอยู่บนเตียงเห็นแม่ของเขาเริ่มร้องห่มร้องไห้อีกครั้ง จึงยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงด้วยความโกรธ
เสียงเย็นชาลงเล็กน้อย “แม่ หยุดพูดแต่เรื่องเดิม ๆ ซะที เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งสารภาพบาปต่อหน้าผมทั้งวัน ในเมื่อแม่นึกตำหนิตัวเองมากนัก ก็ควรทำดีต่อหู่จือให้มากกว่านี้สิ”
โจวลี่หรงหลับตาลง นิ่งเงียบไป
เขาไล่แม่ออกไป “แม่ออกไปพักผ่อนก่อนเถอะ ผมขอคุยกับพี่ใหญ่หน่อย”
เมื่อเห็นว่าการแสดงออกของลูกชายเริ่มส่อถึงความไม่อดทน โจวลี่หรงจึงได้แต่ลุกขึ้น “อืม ลูกคุยกับพี่ใหญ่ไปก่อนก็แล้วกัน แม่ขอออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
หลังจากโจวลี่หรงออกไปแล้ว เฉินเจียเหอก็ลากเก้าอี้ออกมาแล้วหย่อนตัวนั่งลงไป
เฉินเจียวั่งปล่อยตัวจนผมยาว หน้าม้าตกลงมาปิดหน้าผาก ร่างกายผอมซูบเซียว ยิ่งเมื่อเส้นผมปรกลงมาคลุมใบหน้า ยิ่งทำให้ดูเหมือนคนขี้โรคเข้าไปใหญ่
เขาหยัดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เอนหลังพิงหัวเตียงเหมือนนอนกึ่งหนึ่ง มองหน้าเฉินเจียเหอแล้วถามว่า
“พี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าพี่กลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดมา พี่สะใภ้อยู่ไหนล่ะ?”
เฉินเจียเหอตอบ “อยู่ข้างนอก”
“หล่อนชื่ออะไรนะ? เสิ่นอวี้อิ๋งเหรอ?” ใบหน้าเฉินเจียวั่งเผยรอยยิ้มสบาย ๆ
“ตอนนี้ต้องเรียกหล่อนว่าหลินเซี่ย”
เฉินเจียวั่งพยักหน้า “อ้อ หลินเซี่ย… ฟังดูดีกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งอีก!”
ขณะมองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา ดวงตาของเฉินเจียเหอก็เต็มไปด้วยความทุกข์ “นายเป็นยังไงบ้าง? ถ้าอาการเริ่มดีขึ้นแล้วก็ออกไปนั่งสูดอากาศข้างนอกสักพักเถอะ จะนอนเฉย ๆ ตลอดเวลาไม่ได้”
“ปล่อยผมนอนอยู่ในห้องนั่นแหละดีแล้ว เกิดชักขึ้นมาอีก เดี๋ยวจะทำให้พี่สะใภ้แตกตื่นกันพอดี”
เมื่อเฉินเจียวั่งพูดเรื่องนี้ ความคิดของเขาก็เริ่มฟุ้งซ่าน
บางที อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสลัดความกลัวไปได้
เฉินเจียเหอมองไปน้องชายที่ใบหน้าซีดเผือดและนอนอยู่บนเตียง จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปมองแบบจำลองสถาปัตยกรรมบนโต๊ะด้านข้าง ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็หนักอึ้ง
เขาหยิบแบบจำลองขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง “เจียวั่ง นายสร้างโมเดลนี้เองเหรอ?”
“อืม”
“พยายามฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ นะ วันข้างหน้าฉันหวังว่านายจะไม่ละทิ้งความฝันเดิมของตัวเอง และสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ได้”
“ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน หู่จือก็วิ่งพรวดเข้ามา เมื่อเห็นเฉินเจียวั่งนอนอยู่บนเตียง ก็แทบจะกระโดดเข้าใส่เขา “อาสาม”
“หู่จือ แต่งตัวหล่อเชียวนะ” เฉินเจียวั่งเห็นเขาสวมชุดทหารแบบย่อส่วน จึงถามว่า “หนาวหรือเปล่า?”
“ไม่หนาว แม่เลี้ยงเป็นคนตัดให้ผมเอง อาสามยังไม่รู้ใช่ไหม ตอนนี้ผมมีแม่เลี้ยงแล้ว หล่อนเก่งมาก ๆ แล้วก็ทำได้ทุกอย่างเลยด้วย”
มุมปากของเฉินเจียวั่งโค้งขึ้นเล็กน้อย ถามต่อไปอย่างนึกสนุก “จริงเหรอ? หล่อนเก่งแค่ไหนกันล่ะ?”
หู่จื่อกางนิ้วนับ “หล่อนตัดเสื้อได้ ทำเนื้อกระต่ายตุ๋นได้ด้วย หล่อนยังบอกด้วยว่าทำกระดิ่งลมให้ผมได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ผมคิดว่าหล่อนก็คงทำได้เหมือนกัน อีกอย่าง หล่อนยังดุมาก ๆ หลายวันก่อนอาสะใภ้รองเอาอ่างสินสอดของหล่อนไปใช้เป็นกระโถนฉี่ หล่อนก็โกรธมากจนสาดฉี่ใส่อาสะใภ้รองตรง ๆ”
“เหรอ” เฉินเจียวั่งได้ยินคำบอกเล่าของหู่จืออย่างชัดเจน จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ดุมากจริง ๆ ด้วย”
หู่จือมองชายหนุ่มที่นอนผมยุ่งอยู่บนเตียง ก่อนจะเสนออย่างไร้เดียงสา “อาสาม ผมควรไปเรียกแม่เลี้ยงให้เข้ามาทำความรู้จักกับอาดีไหม หล่อนยังตัดผมเก่งอีกด้วย ผมของอายาวเฟื้อยแล้ว ให้แม่เลี้ยงของผมตัดให้เถอะ หล่อนมีแชมพูกลิ่นหอมให้อาใช้สระผมด้วยนะ”
เฉินเจียวั่งลูบหัวเขาพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ถ้าอาตัดผมตัวเองตอนนี้ เห็นทีชีวิตของอาคงตกอยู่ในอันตราย”
“หา?” หู่จื่อฟังแล้วไม่เข้าใจเลย “ทำไมเหรอฮะ?”
เฉินเจียวั่งไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง แต่เมื่อมองเส้นผมบนหัวของหู่จือ เขาก็หรี่ตาที่มืดมนลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหมายแฝงว่า “เธอต่างหากที่ควรตัดผมยิ่งกว่าอาซะอีก ยิ่งตัดให้สั้นเท่าไหร่ยิ่งดี”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีความหลังอะไรฝังใจเจียวั่งหนอ แล้วเจียซิ่งไปทำอะไรน้องอาการน้องถึงกำเริบได้
ไหหม่า(海馬)