ตอนที่ 86 มุ่งหน้าสู่ซากปรักหักพัง

My Death Flags Show No Sign of Ending

หลังจากฮาโรลด์และชาวคณะทำภารกิจขโมยดาบล้ำค่าได้สำเร็จ เขาก็หลบเลี่ยงจากการไล่ตามของไลเนอร์และกลับสู่เมืองหลวงอย่างปลอดภัยและส่งมอบดาบให้แก่แฮร์ริสันตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

และเนื่องจากที่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ การส่งมอบจึงเสร็จสิ้นอย่างราบลื่นและรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาเลยไม่ได้รับโอกาสให้พักและได้รับคำสั่งใหม่ทันที

จุดหมายใหม่ของเขาคือที่ซากปรักหักพัง หากพูดในมุมของเกมส์ RPG ทั่วๆไป มันก็คือดันเจี้ยนหรือเขาวงกต ภายในโลกแห่งนี้หรือก็คือตามsetting ของเกมส์ สิ่งที่เรียกว่า “ซากปรักหักพัง” มันคือซากของอารยธรรมโบราณ และภายในนั้นสามารถพบพวกสิ่งของหรืออาวุธที่ไม่สามารถถูกสร้างขึ้นได้อีกด้วยวิทยาการปัจจุบัน และการค้นพบวัตถุเหล่านั้นเป็นเป้าหมายหลักของพวกนักผจญภัยที่ต้องการสร้างรายได้จากสิ่งเหล่านั้น และพ่อแม่ของไลเนอร์ผู้เคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน พวกเขาก็เคยเข้ามาสำรวจซากปรักหักพังและสามารถค้นพบดาบวิเศษแกรมแกรนด์

ในโลกแห่งนี้นั้น มีซากปรักหักพังอยู่มากมายแทบจะนับไม่ถ้วน แต่ที่เคยปรากฎภายในเกมส์นั้นมีเพียงบางส่วนเท่านั้น

หากลองคิดดูดีๆมันก็ถือว่าแปลกพอสมควรที่ทั่วทั้งทวีปอันกว้างใหญ่ของภายในเกมส์ที่คนโบราณอาศัยอยู่จะมีซากปรักหักพังที่ถูกค้นพบเพียง 2 แห่งเท่านั้น แน่นอนว่าความเป็นจริงมันก็ไม่ได้มีเพียงแค่ของพวกนี้หรอกที่ถูกคนโบราณทิ้งเอาไว้ให้ มันเป็นเพียงการ setting ของโลกภายในเกมส์เพื่อให้เข้าใจง่ายๆเท่านั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ ซากปรักหักพังที่ฮาโรลด์ได้รับภารกิจไปสำรวจนั้นคือซากปรักหักพังที่ไม่เคยปรากฎภายในเนื้อเรื่องของเกมส์มาก่อน

ขณะอยู่ระหว่างทางของการเดินทางไป ณ จุดหมายใหม่ ถึงฮาโรลด์จะรู้สึกกังวลกับการสำรวจในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่ความรู้สึกนั้นก็ถูกเป่ากระเจิงไปอย่างง่ายดายด้วยความตื่นเต้นของเขา พูดสั้นๆ มันคือจิตวิญญาณที่เรียกร้องให้ออกไปผจัญภัยนั้นเอง

แน่นอนว่าเขาเคยเคลียร์ซากปรักหักพังต่างๆภายในเกมส์มามากกว่าหลาย 10 ครั้ง แต่ว่าตั้งแต่มายังโลกนี้ข้อมูลของซากปรักหักพังที่เขาเคยได้รับนั้นมาจากหนังสือทั้งสิ้น

ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้เห็นซากปรักหักพังของจริง และแทบจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ที่จะได้เห็นสิ่งปลูกสร้างต่างๆภายในซากปรักหักพังด้วยตาของตนเอง

ในขณะคิดว่าถึงแม้จะเคลียร์เกมส์แล้วแต่ก็ยังกลับโลกเดิมไม่ได้ละก็ ถ้าได้มาเป็นนักผจญภัยหลังจากนั้นมันคงไม่แย่เท่าไหร่นัก ในที่สุดเขาก็เดินทางมาถึงซากปรักหักพัง Haibar และแน่นอน เขาเดินทางมาพร้อมกับลิเลี่ยมและเวนโตส

ซากปรักหักพัง Haibar ที่ฮาโรลด์และชาวคณะต้องเดินทางไปสำรวจนั้นถูกสำรวจไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าซากแห่งนี้ลึกขนาดไหน มันจึงไม่ค่อยเมคเซนต์เท่าไหร่ที่ให้คนเพียง 3 คน แถมทั้งหมดก็ไม่ใช่นักผจญภัยมืออาชีพมาสำรวจซากปรักหักพังดังกล่าวด้วยตัวของพวกเขาเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมแฮร์ริสันถึงมีข้อมูลว่าซากปรักหักพังแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ หรือบางทียูสทัสจะมีข้อมูลอะไรบางอย่างที่เขานั้นไม่รู้

มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมัวคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ดังนั้นฮาโรลด์จึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากรีบเข้าไปสำรวจและค้นหาสิ่งที่เขาได้รับมอบหมาย

ทางเข้าของซากปรักหักพังที่ดังๆส่วนใหญ่จะอยู่เกือบๆบนภูเขาเสียทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงมีความเจริญผุดขึ้นบริเวณแถวๆด้านล่างของภูเขาเป็นดอกเห็ด และแน่นอนว่าซากปรักหักพัง Haibar นั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลเท่าไหร่นัก และในสมัยก่อนการที่นักผจญภัยจากทั่วทุกสารทิศแห่กันมาสำรวจซากปรักหักพังแห่งนี้ ก็ทำให้เกิดเมืองขึ้น เพราะยังไงซะพวกเขาก็ต้องการที่พัก อาหาร หรือสิ่งของจำเป็นเพื่อใช้ในการสำรวจ พวกพ่อค้าแม่ค้าเองก็แห่กันมาขายด้วยเช่นนั้น

การสำรวจซากปรักหักพังนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะแล้วเสร็จในเวลาอันสั้น จะให้เดินทางไปกลับเมืองตลอดก็ไม่ไหว ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จะตั้งแค้มกันอยู่แถวๆบริเวณทางเข้าเพราะมันง่ายและประหยัดกว่า ที่จะกล่าวคือ หากมีนักผจญภัยจำนวนมากมาอาศัยอยู่แบบนี้ ดังนั้นพวกเขาก็ต้องการสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน

มันคือวงจรขนาดย่อมๆ ที่เหล่านักผจญภัยจะนำสิ่งที่เขาค้นพบในการสำรวจออกมาวางขาย ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวของสัตว์ประหลาด ขนสัตว์ หรือคริสตัลที่มีมูลค่า  เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินและใช้มันซือสิ่งของที่จำเป็นในการสำรวจหรือสินค้าตามที่พวกเขาต้องการ

ดังนั้น สถานที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนและสินค้าต่างๆมากมาย พวกคนต่างซื้อขายสินค้า ทำให้ระบบเศรษฐกิจเริ่มโตยิ่งขึ้น นั้นยิ่งทำให้มีร้านค้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงดูดและตอบสนองความต้องการของผู้คน จนในที่สุดชุมชนแห่งนี้ก็มีขนาดใหญ่พอที่จะเรียกว่าเมืองเล็กๆได้เลย

แม้ว่าจะอยู่กลางป่าเขา มันก็มีโอกาสที่จะถูกเหล่ามอนเตอร์เข้าโจมตี แต่สถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยนักผจญภัย ดังนั้นพวกมันก็ถูกจัดการลงไม่ยากนัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าไม่รู้สึกกังวลอะไรมากนัก นั้นคือทั้งหมดที่ฮาโรลด์ได้ยินมา

 

( ที่นี่ดูมีผู้คนคับคั่งกว่าที่คาดไว้เยอะเลย แถมผมไม่อยากจะเป็นจุดเด่นมากด้วยสิ ) 

 

คำสั่งที่ฮาโรลด์ได้รับมานั้นคือการนำสมบัติที่ว่ากันอยู่ใน ณ ส่วนลึกที่สุดของซากปรักหักพัง Haibar กลับมา อย่างไรก็ตาม เขาก็นึกขึ้นได้ว่า เขาจะมัวมาเสียเวลากับงานนี้มากไม่ได้ เพราะสิ่งนี้เกี่ยวพันถึงอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของแฮร์ริสัน และเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดคือ เขาต้องรวบรวมมันให้ครบทั้งหมดก่อนที่ไรเนอร์และพรรคพวกจะบุกมาถึงคฤหาสน์ของแฮร์ริสัน +++

ไม่ว่าเรื่องเหล่านี้จะยุ่งยากขนาดไหน ฮาโรลด์ก็ตั้งใจจะให้มันจบภายใน 1 เดือน แต่ว่าจะให้คน 3 คนสำรวจทั้งซากปรักหักพังที่นักผจญภัยเป็นหมื่นๆคนมาสำรวจมากกว่าหลาย 10 ปี ยังสำรวจไม่ทั่ว ถ้าเขาทำสำเร็จภายใน 1 เดือนจริง ด้วยผลงานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันคงกลายเป็นจุดสนใจไม่น้อย

ไม่เพียงในฐานะชื่อเสียงที่ฮาโรลด์เป็นอยู่ตอนนี้ แม้กระทั้งกลุ่มคนชุดดำก็จะพลอยกลายเป็นจุดสนใจไปด้วย ซึ่งจะยิ่งทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวลำบากกว่าเดิม ดังนั้นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้คือการไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดภายในซากปรักหักพัง โดยถูกพบเห็นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้นั้นจะเป็นแผนคร่าวๆที่เขาวางเอาไว้ แต่จะให้เขาเข้าไปและลุยเลยมันก็ใช่เรื่อง เพราะเขายังเชื่อว่าการท้าทายซากปรักหักพังโดยไม่เตรียมความพร้อมให้ดีนั้นมันเสี่ยงเกินไป ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากฮาโรลด์สามารถหาใครสักคนที่สามารถแบ่งปันข้อมูลทั่วๆไปที่ควรจะรู้เกี่ยวกับซากปรักหักพังแห่งนี้ให้กับเขาได้ แต่ว่านักผจญภัยส่วนใหญ่นั้นจะยอมร่วมมือหรือแบ่งปันข้อมูลกันก็ต่อเมื่อขึ้นอยู่กับสถานการณ์เท่านั้น นั้นเพราะโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาทั้งหมดต่างเป็นคู่แข่งกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมเอาข้อมูลมาแบ่งปันกันฟรีๆ

ดังนั้น ฮาโรลด์จึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากมอบบางสิ่งให้กับพวกเขาเพื่อแลกกับข้อมูล พูดง่ายๆมันคือค่าธรรมเนียม

แต่ปัญหาใหญ่คือปากของเขาไม่เหมาะกับการเจรจา ถึงแม้เขาตั้งใจจะมอบเงินก้อนโตและขอร้องอย่างถ่อมตัวกับเหล่านักผจญภัยให้บอกข้อมูลที่เขาต้องการ แต่มันก็คงจบลงด้วยการยั่วยุและถากถาง ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากเปลี่ยนแผน

 

[ เอาล่ะ บอกมาซะ ] 

[ ได้ๆ แน่นอนอยู่แล้ว ยังไงซะนายก็จ่ายให้ชั้นเยอะซะขนาดนี้ ]

 

ถ้าหากแผนเข้าทางนักผจญภัยจะไม่เวิร์ค ดังนั้นก็มุ่งไปหาพวกพ่อค้าซะ เพราะสำหรับพวกเขา เงินคือพระเจ้า ตราบใดก็ตามที่เขาได้รับเงินทีเหมาะสม ยังไงพวกเขาก็ยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูลที่พวกเขามีแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ฮาโรลด์ยังคิดว่าพวกพ่อค้ารู้ดีว่าข้อมูลไหนเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำมาขายทำกำไรให้กับพวกเขาได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่คุณกำลังจะไปด้วยนั้นคือเหล่ามืออาชีพในการหาเงิน ดังนั้นหากคุณเชื่อทุกๆสิ่งที่เขาบอกคุณจะโดนเอาเปรียบได้ ดังนั้นฮาโรลด์จึงจำเป็นที่จะต้องขู่พวกเขาหน่อยๆและถามคำถามเดิมกับพ่อค้าแม่ค้าหลายๆคนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับมา

ด้วยเหตุนี้ ฮาโรลด์จึงใช้เงินไปจำนวนมหาศาล เขาได้แต่สงสัยว่าถ้าเขาไปของเบิกค่าใช้จ่ายกับยูสทัส หมอนั้นจะอนุมัติไหมนะ ? 

 

(อย่างกับหมอนั้นจะยอมจ่าย….) 

 

ฮาโรลด์ตระหนักได้ว่าความคิดของตัวเองนั้นโง่เพียงไหน

เขาไม่ได้ถูกจ้างวานจากยูสทัสเสียหน่อย เอาตรงๆ สิ่งที่ฮาโรลด์กำลังเป็นอยู่นั้นเพียงทำงานงกๆชดใช้ความผิดที่เขาก่อเอาไว้ เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเบี้ยหรือทาส

เมื่อลองมองย้อนกลับไป สิ่งที่เขาถูกปฎิบัตินั้นมันทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจ แต่จะมัวคิดถึงมันก็เสียเวลาโดยใช่เหตุ เขาจึงสลัดความคิดพวกนั้นและทำจิตใจให้สงบและเริ่มต้นการสำรวจซากปรักหักพัง Haibar

สำหรับตอนนี้ ฮาโรลด์ได้รับข้อมูลที่เขาต้องการแล้ว อาหารก็ซื้อตุนเอาไว้พร้อม ไอเทมฟื้นฟู และสิ่งของจำเป็นที่ใช้สำหรับเดินทางขึ้นภูเขาจนถึงใช้สำรวจในซากปรักหักพัง ซึ่งทางเดินสำหรับขึ้นไปยังทางเข้านั้นก็เป็นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นและดูแลอย่างดี นั้นจึงทำให้เขาสามารถเดินทางมาถึงทางเข้าได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาภายในเมืองนั้นกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตลอดการเดินทางมาที่นี่ แม้ว่าระหว่างทางเขาจะพบกับนักผจญภัยเพียงไม่มีกี่คน แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาวะเอาจริงเอาจังแทบทุกคน

นั้นเพราะภายในซากปรักหักพังนั้น มีทั้งเหล่ามอนเตอร์ เส้นทางที่วกวนทำให้ผู้คนหลงทางได้ง่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่นักผจญภัยมากมายต้องเสียชีวิต ดังนั้น หากคุณต้องการจะเป็นมืออาชีพในสายงานนี้ คุณจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมและเอาจริงอยู่เสมอ เมื่อคิดได้เช่นนั้นฮาโรลด์จึงสูดหายใจเข้าลึกๆและสงบสติอารมณ์ของตัวเอง

 

[ ไปกันเถอะ ] 

 

เวนโตสและลิเลี่ยมตามหลังฮาโรลด์ทันทีที่เขาเริ่มออกเดิน เส้นทางบริเวณทางเข้านั้นยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเพราะแสงที่สาดส่องเข้ามาจากภายนอก แต่เมื่อเดินลึกเข้ามาด้านในสักหน่อยก็ยังพอมีโคมไฟถูกจุดไว้ระหว่างทางเรื่อยๆพอให้เห็นทางได้บ้าง

ซึ่งจริงๆแล้ว แสงสว่างที่มาจากโคมไฟเหล่านั้นคือ “หินแสง” มันเป็นหินที่สามารถเรืองแสงได้ตามธรรมชาติ ระดับของมันถูกแบ่งได้โดยสีและความสว่างของมัน ว่ากันว่า หินแสงที่คุณภาพสูงจริงๆ แม้จะขนาดเท่ากำปั้น ราคาของมันแทบจะสามารถซื้อคฤหาสน์ย่อมทั้งหลังได้เลย แต่สำหรับหินแสงที่อยู่ในโคมไฟเหล่านั้น มันแทบไม่มีค่าอะไร

หลังจากเดินตามแสงจากโคมไฟไปเรื่อยๆ ตลอดทางเดินแคบๆที่กว้างราวๆ 2 เมตร หลังจากลงมาลึกได้ไม่กี่นาที เขาก็พบกับ

 

[ ….. ]

 

ฮาโรลด์ถึงกับทึ่งจนลืมหายใจไปชั่วขณะกับภาพของสถานที่เขากำลังเผชิญอยู่ ภายให้ห้องแห่งนี้มีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายโดมที่บิดเบี้ยวเล็กน้อย และมันถูกสร้างโดยหินแสงสีม่วงอ่อน หินทุกก้อนที่ใช้สร้างมันขึ้นมานั้นเป็นหินแสงทั้งหมด แสงสีม่วงอ่อนๆเปร่งประกรายไปทั่วทุกทิศทาง ช่างเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงคุณภาพของสีและความสว่างของมันแล้วมันก็เป็นเพียงหินแสงเกรดต่ำทั่วไปที่แทบไม่มีมูลค่าอะไรเลย แต่นั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความสวยงามของพวกมัน

เมื่อฮาโรลด์มองขึ้นไปด้านบน เขารู้สึกได้ว่าเพดานนั้นน่าจะสูงราวๆ 10 เมตร เมื่อดูจากรูปร่างภายในห้องแห่งนี้แล้วมันก็ยากที่จะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งนั้นก็ทำให้ฮาโรลด์สงสัยว่าพวกเขาสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นฝีมือของพวกนักผจญภัยหรอ ? หรือเป็นอารยธรรมคนโบราณที่อาศัยอวู่ภายในซากปรักหักพังแห่งนี้สร้างขึ้นและเหลือทิ้งเอาไว้ ?

ฮาโรลด์รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

เมื่อเขาหันมองลงไปยังพื้นที่ใต้ดิน มันก็ลึกเสียจนความสูงของเพดานเทียบไม่ติด ที่ตามผนังห้องมีทางเดินยาวที่ถูกสร้างเป็นเกลียวสำหรับเดินลึกลงไปแต่ละชั้น และตลอดทางเดินที่ฮาโรลด์สังเกตเห็น เขาก็พบกับอุโมงหลายต่อหลายแห่งซึ่งทำหน้าที่เป็นทางเข้าไปภายในกำแพงหิน บางที อาจจะมีสักอุโมงที่สามารถนำไปถึงศูนย์กลางของซากปรักหักพังหรือส่วนลึกของซากปรักหักพัง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่การสำรวจซากปรักหักพังแห่งนี้พึ่งดำเนินมาได้เพียงครึ่งเดียวแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม

ด้วยสถานที่แห่งนี้หากพบเข้ากับมอนเตอร์ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถต่อสู้ได้ถนัด ในเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะถอยหนีหากพบมอนเตอร์ภายในซากปรักหักพัง และไม่เพียงแค่ยากที่จะต่อสู้กับพวกมันในพื้นที่แคบเท่านั้น แต่ที่ฮาโรลด์ได้ข้อมูลมา ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีลักษณะนิสัยอยู่รวมกับเป็นกลุ่ม ดังนั้นหากพบเพียง 1 ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกทั้งกลุ่มเข้าโจมตี และสถานการณ์อาจพัฒนากลายเป็นเหล่ามอนเตอร์ทั้งกลุ่มเกิดคลุ้มคลั่ง และยากเกินจะควบคุม 

และนี่คืออีก 1 ปัจจัยหลักที่ขัดขวางการสำรวจของเหล่านักผจญภัย

ขณะจับตาดูสัญญาณของมอนเตอร์รอบๆตัว ฮาโรลด์และพรรคพวกก็ค่อยๆเดินตามทางเดินลงไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายที่ส่วนที่ลึกที่สุด พวกเขาเดินลงไปเรื่อยๆโดยไม่สนอุโมงค์ทางเชื่อมต่างๆโดยแม้แต่น้อย

นั้นเพราะหากมองในมุมของเกมส์ RPG ทั่วๆไปแล้ว ฮาโรลด์คิดว่าสิ่งที่มีค่าหรือสำคัญที่สุดมักจะอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของดันเจี้ยน ดังนั้นเขาจึงวางแผนว่าจะไปสำรวจชั้นที่ลึกที่สุดก่อน ถ้าไม่เจอค่อยไล่เคลียขึ้นมาบนๆเรื่อยๆ

 

[ …. หยุด ]

 

2คู่หูที่ตามหลังฮาโรลด์หยุดตามคำสั่งทันที ที่ 20เมตรด้านหน้า ภายในส่วนลึกของซากปรักหักพัง ฮาโรลด์รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วๆไป

ขณะที่ทั้ง 3 แทบจะกลั้นลมหายใจ โกเลมที่สูงราว 3 เมตรที่ถูกพบภายในเกมส์ ทั่วๆไปก็โผล่ออกมาจากภายในอุโมงค์ มันเป็นมอนเตอร์ที่ถูกสร้างจากดิน มีหินที่ถูกสร้างให้เหมือนเกราะอยู่ตามตัว มันค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาตามทางเดิน ดูจากทิศทางแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังมุ่งหน้ามาทางฮาโรลด์และพรรคพวกยืนอยู่

เขาได้แต่ลังเลว่าจะทำอย่างไรดี บางทีการไปหลบซ่อนและรอให้มันเดินผ่านไปอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่มีมอนเตอร์ตัวอื่นออกมาจากอุโมงค์ด้านหลัง หากเป็นเช่นนั้นกลุ่มของเขาอาจจะถูกมอนเตอร์ล้อมโจมตีจากทุกทิศทาง

แม้ว่าทั้ง 3 ไม่น่าจะพลาดท่าง่ายๆ แต่มันก็มีโอกาสจะเกิดความโกลาหลและทำให้มอนเตอร์อื่นๆแห่มา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาคงต้องถอยไปตั้งหลักที่หน้าทางเข้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก

ฮาโรลด์รวบรวมสมาธิเพื่อเพิ่มประสาทสัมผัสของตนให้สูงยิ่งขึ้น เพื่อตรวจสอบว่ามีมอนเตอร์ตัวอื่นอีกในบริเวณโดยรอบนอกเสียจากโกเลมตัวนั้นหรือไม่

และในเมื่อยืนยันได้แล้วว่าศัตรูมีเพียงตัวเดียว การเคลื่อนไหวก็ดูเชื่องช้า แถมดูๆแล้วมันไม่สังเกตเห็นกลุ่มของฮาโรลด์เลยด้วยซ้ำ 

ดังนั้นเขาจึงว่าสัมภาระลงเงียบๆ และดึงดาบ 2 เล่มจากเอวของเขาโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ภายใต้สภานที่สลัวๆ ใบดาบเปล่งประกายอย่างน่าหลงใหลภายใต้หินแสง

เกิดเส้นแสง 2 สายแว๊บราวกับฟ้าผ่า แต่มันไม่มีเสียงฟ้าร้องตามมาแต่อย่างใด มันเป็นแสงที่คมกริบและปราณีต ร่างของโกเลมขนาดมหึมาถูกตัดลงในฉับเดียว มันค่อยๆแตกสลายกลายเป็นผุยผง พร้อมกลับฮาโรลด์ที่ร่อนลงบนซากของกองดินที่เคยเป็นร่างของมันและมองด้วยสายตาเย็นชา

ขณะคิดว่า “ถ้าระดับแค่นี้ ต่อให้มาเป็นกลุ่มผมก็รับมือได้”

บางทีนี่อาจเป็นผลมาจากความทุ่มเทที่เขาฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายตลอดหลายปี นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่าเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน

แต่ทว่า ก็มีเสียงกรี๊ดร้องเสียงหนึ่งดึงขึ้นทำลายความคิดของเขา

 

[ โอ๊วววววววววววววว !! ]

 

มันเป็นเสียงทุ่มต่ำที่มาจากส่วนที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพัง จะให้พูดว่าเสียงกรี๊ดร้องก็ไม่ถูก มันเป็นเสียงร้องที่พร้อมจะต่อสู้เสียมากกว่า นอกจากนี้ ที่เท้าของฮาโรลด์ยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน มันรุนแรงจนเขานึกว่าแผ่นดินไหว

“นี่ชักจะไม่ดีแล้ว” ขณะที่ฮาโรลด์กำลังคิดเช่นนั้น เขาก็เห็นต้นเหตุที่ให้กำเนิตสิ่งเหล่านี้ มีคนหนึ่งกลิ้งคลุกๆออกมาจากอุโมงค์ชั้นล่างสุด หมอนั้นกลิ้งออกมาพร้อมกับฝุ่นควันและเสียงอะไรบางอย่างคำราม เนื่องจากหมอนั้นยังอยู่อีกไกล แถมฝุ่นควันกับความมืดทำให้ฮาโรลด์มองเห็นคนคนนั้นไม่ชัดนัก แต่ฮาโรลด์แน่ใจว่าหมอนั้นเป็นผู้ชายแน่นอน

บางทีอาจเพราะได้รับบาดเจ็บ หมอนั้นจึงใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการพยายามแต่ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ จากนั้นมอนเตอร์จำนวนมากก็โผล่ออกมาจากอุโมงค์และล้อมรอบเขา

มอนเตอร์เหล่านั้นมีลักษณะเหมือนตุ่น 2 ขา ที่มีเครื่องจักรอะไรบางอย่างติดอยู่ที่จมูกของมัน รูปร่างของมันคล้ายเขาที่หมุนเป็นเกลียว จะให้พูดคร่าวๆก็เหมือนกับสว่าน แถมยังมีกงเล็บแหลมคมไว้เพื่อโจมตีอีก มันคือกลุ่มมอนเตอร์ที่ถูกเรียกว่า ตุ่นสว่าน 

สำหรับชายคนนั้น ถ้าหากเขายังเอาแต่กองอยู่แบบนั้น คงโดนสับไม่เหลือชิ้นดีแน่

ฮาโรลด์ได้แต่ถอนหายใจให้กับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นตรงหน้าพร้อมกับคิดว่า “นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากไปแหย่รังมอนเตอร์เข้าล่ะนะ” พร้อมกับกระโดดลงไปกลางวงตุ่นสว่านทันที