บทที่ 62 ปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋ ไป๋หลางซิง (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 62 ปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋ ไป๋หลางซิง (ต้น)

บทที่ 62 ปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋ ไป๋หลางซิง (ต้น)

เมื่อไป๋ชิวเอ๋อร์ได้ยินเสียงองค์หญิงออดอ้อนชายหนุ่มจากด้านข้าง นางพลันถอยหลังทันทีด้วยแก้มแดงก่ำ

ลู่หยวนหยิบโอสถเสริมพลังออกมาสองสามเม็ด “เจ้าฝืนทะลวงค่ายกลเขตแดนเพื่อเข้ามาสินะ”

ไป๋ชิวเอ๋อร์ส่งเสียงอืม นางรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณได้รับความเสียหายอย่างหนัก นางรับโอสถเสริมพลังแล้วกินเข้าไป พลางถามว่า “คุณชายจะออกจากตระกูลไป๋หลังจากเสร็จงานงั้นหรือ?”

ไม่ว่าใครก็มองออก ว่าตอนนี้มีความไม่เต็มใจเจือในคำพูดของไป๋ชิวเอ๋อร์

ชายหนุ่มยกมุมปาก “ในเมื่อทุกอย่างจบแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องไป”

คูณหนูตระกูลไป๋เงยหน้าขึ้น คล้ายกับมีถ้อยคำนับพันในดวงตา แต่นางเพียงกล่าวว่า “เจ้าค่ะ”

“ชิวเอ๋อร์ เจ้าเต็มใจจะไปสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เพื่อศึกษากับข้าหรือไม่?”

ไป๋ชิวเอ๋อร์หมกมุ่นกับเรื่องที่ไม่อยากให้ลู่หยวนไป เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้นางจึงพลันเงยหน้าขึ้น “คุณชายว่าอะไรนะ?”

“เจ้าเต็มใจจะไปสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เพื่อศึกษากับข้าหรือไม่?”

แน่นอนว่าไป๋ชิวเอ๋อร์เต็มใจ! นางเจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก ทำให้โหยหาโลกภายนอกยิ่งนัก

แต่ผ่านไปสักพัก ดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองอีกครั้ง “ท่านพ่อจะยอมหรือเปล่านะ?”

“ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่แล้ว เขาต้องยอมแน่นอน”

ลู่หยวนระบายยิ้มบาง “ข้าไม่เพียงจะพาเจ้าไปสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่จะช่วยรักษาเส้นชีพจรวิญญาณให้หายดีอีกด้วย เจ้าจะได้ใช้ชีวิตเหมือนกับผู้อื่น”

ดวงตาของไป๋ชิวเอ๋อร์แดงเล็กน้อย การใช้ชีวิตเหมือนกับผู้อื่น สำหรับนางแล้ว มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

ไม่ว่าไป๋จางจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางทำตามสัญญาได้ แต่ลู่หยวนกลับทำให้นางในวันนี้

คุณหนูไป๋พยักหน้า “ขอบคุณคุณชาย”

นางทราบถึงความยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มดี จึงไม่ได้คาดหวังสิ่งใด แค่การได้อยู่ข้างกาย ต่อให้จะเป็นเพียงข้ารับใช้ก็นับว่าเป็นโชคดีของนางแล้ว

[ระบบแจ้ง ไป๋ชิวเอ๋อร์ยอมจำนน กลายเป็นผู้ติดตามของท่าน!]

หลังจากพักสักครู่ กุ่ยซู่ก็มาถึง นางรายงานให้ลู่หยวนทราบว่าไป๋เจ๋อถูกสังหารเรียบร้อยแล้ว มีเผ่าภูตผีที่เหลือมาช่วยนางด้วย แต่คาดไม่ถึงว่าในลมหายใจสุดท้าย มันจะระเบิดตัวเองจนพรากชีวิตของเผ่าภูตผีที่เหลือไปด้วย

ลู่หยวนพยักหน้า มอบโอสถเสริมพลังสองสามเม็ดเพื่อฟื้นฟูอาการเหนื่อยล้า

จากนั้นชายหนุ่มก็ทะยานออกไปท่องรอบยอดเขาเมฆาม่วง รวบรวมสมบัติล้ำค่าที่เหลือในถ้ำไป๋เจ๋อมาไว้ในกระเป๋าของเขา

ของส่วนใหญ่ที่นี่ ลู่หยวนไม่แม้แต่จะเหลียวแล มีเพียงหญ้าวิญญาณสวรรค์เท่านั้นที่ดูมีประโยชน์

ในที่ที่หญ้าวิญญาณนี้เติบโต พลังวิญญาณย่อมอุดมสมบูรณ์ เป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของผู้คนยิ่งนัก

ลู่หยวนถอนมันขึ้นมาทันที ก่อนนำมาปลูกในจิตเทวะของตนเอง

ในจิตเทวะนั่น เมล็ดพันธุ์เทพโกลาหลได้รับการบ่มเพาะเช่นกัน มันสามารถหล่อเลี้ยงหญ้าวิญญาณได้ การปลูกไว้ที่นี่จึงนับว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

หลังจากลู่หยวนเก็บกวาดของเรียบร้อย เขากลับมาอย่างรวดเร็ว และพาทุกคนไปที่สุดเขตแดนของค่ายกล รอคอยให้ประตูเปิดออกอีกครั้ง

เพราะรากฐานของไป๋เจ๋อน้อยได้รับความเสียหาย ทำให้มันตกอยู่ในอาการสาหัส

ลู่หยวนกอดเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ก่อนทำการตรวจสอบ เพียงกวาดตามองก็ทราบได้ว่าอาการมันย่ำแย่มากแค่ไหน

ไป๋เจ๋อน้อยตัวนี้เกิดมาได้ไม่นาน โลหิตที่ไป๋อู๋อีใช้ส่วนใหญ่จึงมาจากแก่นโลหิตของไป๋เจ๋อ มันไหลออกมามากเกินไปจนทำให้รากฐานของมันได้รับความเสียหาย

เขาถามระบบในใจว่า “ระบบ บาดแผลของไป๋เจ๋อน้อยนี้สามารถรักษาได้หรือไม่?”

ระบบเรียกรายการออกมาจากร้านค้า

[โอสถแก่นทองคำสามารถฟื้นฟูรากฐานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รากฐานสายเลือดมั่นคง!]

[ต้องการค่าชะตา 60,000 แต้ม!]

หกหมื่นหรือ!?

ลู่หยวนตกตะลึง ต้องใช้ค่าชะตาขนาดนี้เชียวหรือ?

สีหน้าของเขาหม่นหมอง ก่อนตัดสินใจว่าจะไม่แลก

แต้มชะตาวายร้ายหกหมื่นแต้ม ถ้าเก็บเพิ่มอีกเสียหน่อย ย่อมสามารถเอาไปแลกไข่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้

สัตว์เทพกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

อย่าว่าแต่ค่าชะตาวายร้ายจำนวนมากที่เขายังไม่มีเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้น ต่อให้ใช้ค่าชะตาวายร้ายหกหมื่นแต้มเพื่อชดเชยรากฐานที่สูญเสียไป มันก็ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการบ่มเพาะเป็นเวลานาน

ถ้าแบบนี้ มันไม่คุ้มค่าแม้แต่นิดเดียว!

ลู่หยวนชะลอความเร็ว ก่อนส่งไป๋เจ๋อน้อยไปที่อ้อมแขนของไป๋ชิวเอ๋อร์

ส่วนไป๋เจ๋อกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนนั้น ลู่หยวนกำลังครุ่นคิดเช่นกัน

ไป๋เจ๋อคือสัตว์เทพ ดังนั้นร่างกายจึงถูกห้อมล้อมโดยพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ไป๋ชิวเอ๋อร์มีเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ จึงนับว่ามีความข้องเกี่ยวกับพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันแล้ว จึงนับว่าส่งเสริมกัน

ยิ่งกว่านั้น ไป๋ชิวเอ๋อร์ผู้นี้ก็เป็นผู้ติดตามของเขาแล้ว ดังนั้นการให้สิ่งนี้กับนางจึงนับว่าเป็นโชคชะตา

เพียงพริบตา เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ประตูค่ายกลเขตแดนสัตว์อสูรเปิดออกอีกครั้ง ลู่หยวนกลับสู่ตระกูลไป๋พร้อมกับกลุ่มคนที่เข้าไป

ทันทีที่ก้าวเท้าออกมา เขาพบองครักษ์อาวุโสหลายสิบคนกำลังถืออาวุธวิเศษอยู่ พวกเขากำลังรอคอยอย่างเต็มที่ ราวกับอยากเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

เมื่อทุกคนเห็นลู่หยวน ความไม่พอใจบนใบหน้าของพวกเขาชะงักไปทันที

แล้วเผ่าภูตผีล่ะ?

บุตรศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร?

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนมองไป๋จาง “ประมุขไป๋ทำอะไรหรือ?”

เมื่อไป๋จางเห็นชายหนุ่มก็ตกตะลึงสักพัก จากนั้นถามว่า “แล้วคนของเผ่าภูตผีล่ะ?”

ลู่หยวนตอบอย่างแผ่วเบาว่า “ตายแล้ว”

“ตายแล้ว? ตายได้อย่างไร?”

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ้มกว้างออกมา “ไป๋จาง เจ้ากำลังตั้งคำถามต่อข้าอย่างนั้นหรือ?”

ทันทีที่สิ้นเสียง สมาชิกตระกูลไป๋จำนวนมากต่างหัวหด

ไป๋จางหรี่ตา เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวเอ๋อร์อยู่ด้านข้าง เขาก็มีสีหน้าดีขึ้นทันตา เขารู้สึกโล่งอกโดยไม่สนใจว่าสมาชิกเผ่าภูตผีอยู่ที่ไหนอีก

ขอเพียงไป๋ชิวเอ๋อร์กับชายหนุ่มปลอดภัยก็พอแล้ว

ประมุขไป๋ถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นยื่นมือออกไป “บุตรศักดิ์สิทธิ์พยายามอย่างหนักมากแล้ว ควรไปพักผ่อนเสียหน่อย”

ลู่หยวนส่งเสียงอืมออกมา รับไป๋เจ๋อน้อยจากอ้อมแขนของไป๋ชิวเอ๋อร์ ก่อนจะจากไปพร้อมกับทุกคน

ทันใดนั้น ในบรรดาผู้อาวุโสจำนวนมากที่อยู่ด้านข้าง ผู้อาวุโสในชุดสีเขียวคนหนึ่งก้าวออกมา พร้อมใบหน้าซีดเซียว พลางชี้ไปที่ไป๋เจ๋อน้อยแล้วถามว่า “ขอบังอาจถามบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ สิ่งที่อยู่ในมือของท่านคืออะไร?!”

ใบหน้าของผู้อาวุโสคนอื่นย่ำแย่เช่นกัน

เนื่องจากบุตรศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากค่ายกลเขตแดนสัตว์อสูร หลายคนจึงพอคาดเดาบางสิ่งในใจได้

ไป๋จางจะต้องใช้วิธีบางอย่างเป็นแน่ ถึงทำให้ชายหนุ่มเข้าไปข้างในได้!

ตอนนี้เมื่อมองสัตว์ในมือของลู่หยวนที่ดูเหมือนลูกสิงโต มีเขาบนหน้าผาก ห้อมล้อมด้วยพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มันก็คือไป๋เจ๋อไม่ใช่หรือ?!

พวกเขาเดือดดาลมากยิ่งขึ้น

ไป๋จางกล้าทำได้อย่างไร!

ตระกูลไป๋มีวาสนาแท้ ๆ แต่กลับยอมจำนนผู้อื่นทั้งอย่างนี้หรือ?!

ลู่หยวนตอบตามตรงว่า “ก็ต้องเป็นไป๋เจ๋ออยู่แล้ว”

ใบหน้าของผู้อาวุโสมืดมนราวกับไร้เลือดฝาด ผู้อาวุโสในชุดสีเขียวกล่าวอีกครั้งว่า “ในเมื่อเป็นไป๋เจ๋อ ขอบุตรศักดิ์สิทธิ์โปรดคืนให้ตระกูลไป๋ด้วย!”

ชายหนุ่มยิ้มหยัน “คืนหรือ ทำไมเล่า?”

“เพราะวาสนานี้เป็นของตระกูลไป๋!”

ผู้อาวุโสในชุดสีเขียวก้าวมาข้างหน้า “วาสนาของตระกูลไป๋ จะต้องไม่ตกอยู่ในมือของผู้อื่น!”

พลังกล้าแกร่งพุ่งออกจากร่างของผู้อาวุโสในชุดสีเขียว ราวกับเขาพร้อมจะต่อสู้กับลู่หยวนทุกเมื่อ

ชายหนุ่มชำเลืองมอง แววตาเผยร่องรอยเย้ยหยันออกมา “เจ้าเป็นสุนัขรับใช้ใครกัน?”

ผู้อาวุโสในชุดสีเขียวเดือดดาล แรงกดดันอันแก่กล้าพลันระเบิดออกมา

กุ่ยซู่ผู้อยู่ด้านหลังลู่หยวนเงยหน้าขึ้น แรงกดดันสูงสุดห้อมล้อมจัตุรัสในทันที พลังของผู้อาวุโสในชุดสีเขียวถูกสะกดไว้โดยพลัน

แรงกดดันอันน่าสะพรึงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง สิ้นเสียงตุบ ผู้อาวุโสในชุดสีเขียวก็ถูกพลังกดลงกับพื้นทันที ไม่สามารถขยับได้

กลิ่นอายสังหารไร้ที่สิ้นสุดห้อมล้อมทั่วจัตุรัส หัวใจของผู้อาวุโสจำนวนมากคล้ายหยุดเต้น คาดไม่ถึงว่าหลังจากเฉาหงไปแล้ว จะมียอดฝีมืออยู่ข้างกาย คอยให้การปกป้องชายหนุ่มอยู่อีก

มีไอเย็นเยือกในดวงตาของลู่หยวน เขาก้มมองผู้อาวุโสในชุดสีเขียวที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมเปล่งน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอยากฆ่าบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”

ลู่หยวนละสายตาออกมา มีจิตสังหารเล็กน้อยอยู่ในดวงตา “ความตั้งใจนี้เป็นของเขาคนเดียว หรือเป็นของทั้งตระกูลไป๋กัน?”