บทที่ 63 ปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋ ไป๋หลางซิง (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 63 ปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋ ไป๋หลางซิง (ปลาย)

บทที่ 63 ปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋ ไป๋หลางซิง (ปลาย)

ไป๋จางเห็นดังนี้ ในใจจึงรู้สึกขมขื่นยิ่ง

ความจริงแล้วทันทีที่ปล่อยให้ลู่หยวนเข้าค่ายกลไป เขาก็มีลางสังหรณ์ว่าไป๋เจ๋ออาจจะไม่ใช่มรดกของตระกูลไป๋อีกต่อไป

ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่เต็มใจ แต่เขาจะไปทำอะไรได้?

ข้อตกลงเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาจะฆ่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เพื่อพาตัวไป๋เจ๋อออกมาไม่ได้

วันนี้ แค่เพียงพวกเขากล้าลงมือ เมื่อคนของตระกูลลู่ทราบข่าวเข้า ทั่วทั้งตระกูลไป๋จะถูกโค่นล้ม

ยิ่งกว่านั้น ปัญหาเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์ยังคงต้องพึ่งพาลู่หยวน

ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างความขัดแย้งกับอีกฝ่ายได้

ไป๋จางก้าวมาข้างหน้า ขยี้ยันต์จารึกฟ้าในมือ และผนึกปากของผู้อาวุโสในชุดสีเขียวเอาไว้

จากนั้นจึงอธิบายทันทีว่า “ตระกูลไป๋ย่อมไม่ตั้งใจจะทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคือง ท่านอยู่ในค่ายกลมานาน คงเหนื่อยล้าไม่ใช่น้อย ที่โถงมีการเตรียมอ่างน้ำร้อนไว้ให้แล้ว ขอเรียนเชิญไปที่นั่นได้เลย”

ผู้อาวุโสที่เหลือยังมีบางอย่างอยากจะพูด แต่พวกเขารู้สึกถึงพลังอันกล้าแกร่งกดทับเอาไว้ จนไม่อาจปริปากออกมาได้สักคำ

ลู่หยวนยิ้มหยัน เขาย่อมเกียจคร้านเกินกว่าจะโต้เถียงกับคนเหล่านี้ ดังนั้นจึงอยากเดินกลับไปที่โถง

เมื่อชายหนุ่มกำลังจะไป เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันสั่นสะเทือนท้องฟ้าตรงมาหาเขา อีกฝ่ายเป็นชายชราสวมชุดสีขาวงดงามกำลังเดินออกจากห้องโถงหลักช้า ๆ อยู่ไกลลิบ กายาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ อาบแสงศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากโทสะหรือความหยิ่งยโส

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่พรากบางสิ่งจากตระกูลไป๋ไป จะปล่อยให้เขาจากไปอย่างมั่นใจเช่นนี้หรือ?”

เมื่อไป๋จางเห็นคนผู้นี้ เขาก็กดข่มพลังของตนทันที ก่อนหันมาคารวะ “ท่านปรมาจารย์!”

ผู้อาวุโสและศิษย์ที่เหลือของตระกูลไป๋คุกเข่าลงตรงหน้าชายชรา ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านปรมาจารย์!”

ลู่หยวนทราบในทันทีว่า คนนี้คือปรมาจารย์แห่งตระกูลไป๋นามว่าไป๋หลางซิง ว่ากันว่าเขาเก็บตัวอยู่หลายปี ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเห็นในวันนี้ ดูจากการบ่มเพาะแล้ว เขาคล้ายกับเข้าสู่ขั้นเซียนยุทธ์ระดับสูงไปแล้ว

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ โปรดตริตรองเรื่องนี้อีกครั้งเถิด”

ดูจากความผันผวนของพลังวิญญาณแล้ว เขาอาจจะเพิ่งผ่านการทะลวงก่อนมาที่นี่เพื่อไป๋เจ๋อ

“เหอะ”

ลู่หยวนเย้ยหยันว่า “ไป๋หลางซิง เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

ไป๋หลางซิงชี้ไปที่ไป๋เจ๋อน้อย “วันนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์ต้องปล่อยไป๋เจ๋อไป ทำเช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ถือสา”

ลู่หยวนกอดเจ้าตัวเล็กไว้แน่น พลางถามอย่างเย็นชาว่า “แล้วถ้าข้าไม่ปล่อยล่ะ?”

ดวงตาของคนฟังหลุบต่ำ “เช่นนั้นวันนี้ นามลู่หยวนก็จะหายไปจากตำหนักธารสุญญะ!”

ทันทีที่สิ้นเสียง กลิ่นอายพลังกว้างหมื่นจั้งก็ทะลวงผ่านท้องนภา สะกดบุตรศักดิ์สิทธิ์และพวกพ้องในทันที กุ่ยซู่ระดมการบ่มเพาะทั่วร่างกายเพื่อปกป้องผู้เป็นนายฉับพลัน แต่เมื่อสัมผัสกับพลังทะลวงท้องนภาที่พลันกดทับนางลงมา ในชั่วพริบตา รูทวารทั้งเจ็ดก็หลั่งโลหิต

กลิ่นอายจางหายในพริบตา ดวงตาของไป๋หลางซิงเฉยชา แต่จิตสังหารรอบข้างไม่ใช่ของปลอมแต่อย่างใด

“ลู่หยวน ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดสามลมหายใจเท่านั้น”

กุ่ยซู่ฝืนยันร่างกายขึ้นมา กล่าวว่า “นายท่าน ข้าจะปกป้องให้เอง ท่านไปก่อนเลย!”

ชายหนุ่มยกมือขึ้น ส่งยาสองสามเม็ดให้กุ่ยซู่ “แค่ขั้นเซียนยุทธ์ ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก”

แทนที่จะโกรธ แต่ปรมาจารย์กลับยิ้มออกมา “เจ้าหนู เจ้าไม่ได้รู้อะไรเลยแท้ ๆ แต่กลับทำตัวอวดดียิ่งนัก”

เมื่อไป๋จางเห็นดังนี้ เขาก็มาอยู่ข้างไป๋หลางซิงทันที กล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านปรมาจารย์ เขาเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลลู่! ห้ามลงมือเด็ดขาด”

คนฟังโบกมือ ส่งประมุขไป๋กระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้ามันตามืดบอดเอง ถึงได้ฝากฝังตระกูลไป๋ไว้กับเจ้า!”

เมื่อไป๋ชิวเอ๋อร์ผู้อยู่ในลานเห็นดังนี้ ในใจของนางรู้สึกเจ็บปวด อยากเข้าไปหาไป๋จาง แต่นางถูกแรงกดดันของปรมาจารย์สะกดเอาไว้

ไป๋หลางซิงยกมือขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ สวรรค์และปฐพีสั่นสะเทือน กระบี่สีทองก่อตัวขึ้นในอากาศ

กลิ่นอายสูงสุดสำแดงพลังของกระบี่สีทองออกมา

“ครบสามลมหายใจแล้ว”

เสียงลุ่มลึกของไป๋หลางซิงเหมือนกับการพิพากษาของทวยเทพ กระบี่เคลื่อนลงไปหลังสิ้นเสียงดังกล่าว

แม้จะอยู่ใต้กระบี่แต่ลู่หยวนยังคงยืนนิ่ง แววตาเผยรอยยิ้มออกมา

“ไป๋หลางซิง เจ้าก็เป็นได้แค่เซียนยุทธ์ แต่อยากมาท้าทายตระกูลลู่งั้นหรือ? เพราะกระบี่ของเจ้า จะทำให้ทั้งตระกูลไป๋ถูกฝังไปด้วย!”

ไป๋หลางซิงยิ้มหยันออกมา “ขอเพียงมีไป๋เจ๋อ ตระกูลลู่ของเจ้าจะถูกลากให้มาอยู่ใต้ตระกูลไป๋ไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน!”

กลิ่นอายทรงพลังเคลื่อนตามกระบี่สีทองในท้องนภา ทั่วทั้งจัตุรัสเริ่มสั่นสะเทือน ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดไปถึงข้างใน

วิ้ง!

มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น กระบี่สีทองที่เหวี่ยงลงมาจากอากาศได้หายไปในสายลม ก่อนพังทลายโดยฉับพลัน

“ผู้เฒ่าไป๋อารมณ์รุนแรงเช่นนี้ ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคืองน่ะ?”

เหนือสวรรค์ทั้งเก้า ผู้ชายสองคนที่ดูคล้ายกันยิ่งยืนอยู่ในอากาศ ทั้งสองต่างสวมชุดสีดำ สายตามืดครึ้ม ถึงแม้จะเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร

“เฉิงเหิง เฉิงหลิน?”

เห็นได้ชัดว่าไป๋หลางซิงตกตะลึง จนเอ่ยชื่อพวกเขาออกมา

หลังจากตอบสนองแล้ว ใบหน้าของเขาหนักอึ้งราวกับน้ำ สองคนนี้ล้วนเป็นผู้พิทักษ์ของสำนักอักระสวรรค์ รากฐานการบ่มเพาะเทียบเท่ากับปรมาจารย์ พวกเขาอยู่ขั้นเซียนยุทธ์ระดับสูง

สองคนนี้มาที่นี่ได้อย่างไร?!

กลิ่นอายที่สร้างโดยไป๋หลางซิงพังทลายทันที เฉิงเหิงกับเฉิงหลินเดินมาอยู่ข้างลู่หยวน ก่อนกล่าวทักทายว่า “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์”

ลู่หยวนส่งเสียงอืม สายตาของเขากวาดมองไป๋หลางซิงผู้มีสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย กล่าวว่า “ฝากพวกเจ้าจัดการไป๋หลางซิงด้วย บุตรศักดิ์สิทธิ์เหนื่อยล้า ต้องการการพักผ่อนเสียหน่อย”

“ขอรับ!”

ชายหนุ่มขอให้ไป๋ชิวเอ๋อร์ออกไปพร้อมกับไป๋จาง ก่อนกลับไปที่โถงพร้อมกับเขา

เมื่อลู่หยวนกลับมาถึงโถง เขาก็แช่ตัวลงไปในอ่างน้ำร้อน โดยมีเทียนเม่ยเอ๋อร์รออยู่ด้านบน

ลู่หยวนหลับตา เพลิดเพลินกับความสบายของอ่างน้ำร้อน ขณะตรวจสอบระบบ แล้วพบว่าเขายังมีห่อของขวัญเผ่าที่ยังไม่ได้เปิด

“ระบบ เปิดของขวัญ!”

[ของขวัญถูกเปิดแล้ว]

[ปี๊บ! ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ได้รับยันต์วิวัฒนาการเผ่า!]

[ยันต์วิวัฒนาการเผ่าถูกนำออกมาแล้ว นายท่านโปรดทำการตรวจสอบด้วย!]

“ยันต์วิวัฒนาการเผ่าหรือ?”

ลู่หยวนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงเริ่มตรวจสอบคำอธิบายที่อยู่ด้านข้าง

ยันต์วิวัฒนาการเผ่าจะช่วยให้เผ่าที่กำลังวิวัฒนาการ กายเนื้อของสมาชิกเผ่าจะมีการพัฒนาในแง่ของร่างกายและการบ่มเพาะ! ส่วนสมาชิกเผ่าที่วิวัฒนาการ จะยังคงจงรักภักดีต่อนายท่านตลอดกาล!

ทว่าเผ่าที่ถูกกำหนดให้วิวัฒนาการ จำนวนสมาชิกเผ่าจะต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับห้าสิบ!

ลู่หยวนเดาะลิ้น ยันต์วิวัฒนาการเผ่าใบนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ทว่ายันต์วิวัฒนาการเผ่าใบนี้ เหมาะกับเผ่าภูตผีโดยเฉพาะ

เดิมเขาวางแผนจะบ่มเพาะเผ่าภูตผีให้กลายเป็นกองกำลังในเงามืด ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่นัก ทว่าแต่ละคนต้องแข็งแกร่ง และจงรักภักดี

“ระบบ ใช้ยันต์วิวัฒนาการเผ่าใบนี้กับเผ่าภูตผี!”

[ติ๊ง! ทำการใช้สำเร็จ!]

นอกห้องโถง กุ่ยซู่ผู้ยืนอยู่ในในลานบ้านพลันสั่นสะท้าน นางพบว่าพลังรอบตัวพุ่งทะยานในทันที พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนพัดผ่านเข้ามา ทำให้ผิวสีขาวซีดถูกย้อมไปด้วยสีแดง

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ สีแดงก็จางหายไป พลังที่กำลังทะยานค่อย ๆ สงบลง ทุกสิ่งกลับสู่ความสงบ

ที่หน้าผาก ลวดลายอักขระแปลกประหลาดปรากฏขึ้น ผ่านไปสักพัก มันก็หายไปอีกครั้ง

กุ่ยซู่จ้องมองมือตนอย่างเหม่อลอย เมื่อครู่ ขั้นของนางเหมือนจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อย

นางรวบรวมพลังวิญญาณเพื่อทดสอบร่างกาย แน่นอนว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง นางก้าวเข้าสู่ครึ่งก้าวสู่ขั้นเซียนยุทธ์!

ด้วยเหตุผลบางอย่าง พลังมืดในร่างกายเพิ่มมากขึ้น และเมื่อทำการกระตุ้นที่เส้นลมปราณ พลังที่พลุ่งพล่านออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่า

นางพยายามกระตุ้นพลังวิญญาณ เริ่มทำการฝึกฝน ทำให้พลังมืดในร่างกายถูกเปลี่ยนสภาพอย่างรวดเร็ว ความเร็วของการบ่มเพาะมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า!

ขณะกุ่ยซู่กำลังยินดี เสียงของลู่หยวนก็ดังมาจากห้องโถง “กุ่ยซู่ เจ้ากลับไปที่เผ่าภูตผี ย้ายคนทั้งหมดในเผ่าภูตผีให้มาตระกูลไป๋ เพื่อตั้งรกราก”

นางยกมือขึ้นตอบรับทันที

“รับนี่ไว้ มันจะปกปิดกลิ่นอายของเผ่าภูตผีได้”

ห่อยันต์ถูกโยนออกจากห้องโถงหลัก กุ่ยซู่รับไว้ก่อนเก็บมันไป

“จริงสิ ย้ายวิหารโบราณที่เผ่าภูตผีอาศัยอยู่มาด้วย เอามาตั้งรกรากในที่ที่เผ่าภูตผีอยู่นี่แหละ”

“ทราบแล้ว!”

ประมุขเผ่าภูตผีตอบรับก่อนจากไป