ตอนที่ 59 ตามหาจินปอ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 59 ตามหาจินปอ

หลินม่ายตื่นนอนตอนหกโมงเช้า

เธอตื่นขึ้นมาทั้งที่ยังสับสนเล็กน้อย โดยคิดว่าตนอยู่ที่บ้านคุณย่าฟาง แต่เมื่อตั้งสติได้สองสามวินาทีจึงรู้ว่าตนอยู่ที่โรงแรม

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับโต้วโต้ว

เด็กน้อยไม่ได้เจอแม่ทั้งวันทั้งคืน กินอิ่มนอนหลับสบายหรือเปล่า?

ดังนั้นทำธุระวันนี้ให้เสร็จแล้วรีบกลับไปดีกว่า

หลินม่ายนั่งรถยนต์ไปที่อำเภออวิ๋นไหล โดยไม่ได้สนใจจะกินอาหารเช้า

เมื่อมาถึงอำเภออวิ๋นไหล และสอบถามมาตลอดทาง เธอก็มาเคาะประตูหน้าบ้านของจินปอ

คนที่เปิดประตูเป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดี ซึ่งน่าจะเป็นแม่ของจินปอ

หญิงวัยกลางคนมองดูหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูถูกเล็กน้อย “เธอเป็นใคร?”

หลินม่ายตอบนางด้วยภาษาจีนกลาง “พี่สาวของฉันชื่อหลินม่ายค่ะ เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับจินปอ หล่อนขอให้ฉันแวะมาบอกอะไรจินปอแทนหน่อยน่ะค่ะ”

ถึงแม้ว่าภาษาจีนกลางจะได้รับความนิยมมานาน แต่ในยุคสมัยนี้มีนักเรียนในชนบทน้อยนักที่จะพูดภาษาจีนกลางได้ดี เพราะว่าคุณครูส่วนใหญ่มักจะสอนเป็นภาษาจีนท้องถิ่น

เมื่อใดที่มีคนพูดภาษาจีนกลาง ผู้คนส่วนใหญ่จะมองว่าคนเหล่านั้นรู้หนังสือ หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นนักเรียนที่ขยันหมั่นเพียร

แม่จินปอฟังสำเนียงจีนกลางของหลินม่ายที่คล้ายคลึงกับเสียงประกาศ ไม่เพียงแต่จะเลิกรังเกียจ แต่ยังไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวจากชนบทอีกด้วย สีหน้าของนางจึงอ่อนลงมาก

นางร้องตะโกนเข้าไปด้านใน “ปอปอ น้องสาวเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อหลินม่ายมาหา”

หนุ่มหล่อที่มีหุ่นตามมาตรฐานเดินออกมาพร้อมกับซาลาเปาครึ่งลูกในมือ

เขายิ้มให้หลินม่ายอย่างเป็นมิตร “เธอกับพี่สาวดูไม่เหมือนกันเลยนะ”

หลินม่ายยิ้ม เธอกับหลินเพ่ยถึงกับเคยคุยกันว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่พี่น้องที่สนิทกันก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่เหมือนกัน

จินปอออกมาจากบ้าน และพาหลินม่ายไปยังลานของชุมชนที่อยู่ใต้ต้นหลิวซึ่งไร้ใบ “ทำไมพี่สาวเธอไม่มาด้วยตัวเองล่ะ ให้เธอมาแทนทำไม?”

หลินม่ายจ้องไปที่เขาและพูดชัดถ้อยชัดคำ “พี่สาวไม่ได้ขอให้ฉันมาหรอก ฉันมาตามหานายเอง”

จินปอตกตะลึงและพูดด้วยท่าทางงุนงง “ฉัน ฉันกับเธอไม่รู้จักกันนี่”

หลินม่ายยิ้ม “นายไม่จำเป็นต้องรู้จักฉันหรอก แค่ฟังฉันก็พอ”

“ต่อจากนี้ไปไม่ว่านายจะได้ยินอะไร ไม่ต้องแสดงความรู้สึก ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น”

“รอให้ฉันพูดจบก่อน แล้วฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นจริง”

การแสดงออกของจินปอดูเอาจริงเอาจริง และพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

หลินม่ายพูดว่า “พี่สาวของฉันบอกว่าเธอรู้สึกดีกับนาย”

ใบหน้าของจินปอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตอนนี้เขาให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะฟังอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไร และรีบพูดอธิบายว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ฉันไปพูดกับพี่สาวของเธอก็ได้นี่”

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่สิ่งที่พี่สาวฉันบอกพ่อกับแม่เป็นอีกแบบหนึ่ง นั่นหมายความว่าในหมู่พวกนายมีคนโกหก!”

จิบปอรีบพูด “ฉันไม่ได้โกหก”

“ถ้าอย่างนั้นพี่สาวฉันก็โกหก” หลินม่ายถาม “นายดูออกไหมว่าฉันแต่งงานแล้ว”

จินปองุนงง “เธอ พี่สาวของเธอยังไม่ได้แต่งงาน เธอจะแต่งงานได้ยังไง?”

“ฉันแต่งงานแล้วจริง ๆ” หลินม่ายถามอีกครั้ง “นายรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย?”

จินปอกระตุกมุมปาก เขาจะไปรู้ได้อย่างไร!

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “เธอไปเจอกับคนรักที่ต้องแต่งงานเลยเหรอ?”

หลินม่ายหัวเราะเยาะ “ช่างเป็นนักเรียนที่มีความคิดโรแมนติกอะไรขนาดนี้ ฉันต้องแต่งงานเร็วเพราะว่าพี่สาวฉันอยากจะเอาเงินค่าสินสอดไปค่าจ่ายเรียนต่อมัธยมปลายต่างหาก”

จินปอตกตะลึง

ตั้งแต่เด็กจนโต สภาพความเป็นอยู่ของเขาดีกว่าคนทั่วไปมาก จนนึกไม่ถึงว่าจะต้องมีผู้คนที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้

เขาพูดตะกุกตะกัก “ถะ ถึง ถึงพี่สาวเธอจะหวงแหนในการเรียนต่อ ตะ แต่เธอก็ไม่ควรเสียสละตัวเองแบบนี้…”

ทันทีที่หลินม่ายได้ยินเช่นนั้น เธอก็รับรู้ได้ในทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้มีทัศนคติที่ดี อย่างน้อยเขาจะไม่ปกป้องหลินเพ่ยเหมือนกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

เธอหัวเราะเยาะสองสามครั้ง “ใช้คำว่าหวงแหนด้วยสินะ! นายคิดว่าพี่สาวฉันเข้าเรียนได้ด้วยความพยายามของหล่อนเองเหรอ?”

จินปอมีท่าทางประหลาดใจ “ไม่ใช่หรอกเหรอ?”

“ไม่ใช่ เธอไปเรียนมัธยมปลายต่อในนามของฉัน” หลินม่ายพูด “นายไปที่หมู่บ้านสกุลหวังที่ที่บ้านฉันอาศัยอยู่ก็ได้นะ แล้วนายจะได้รู้ว่าชื่อจริงของพี่สาวฉันคือหลินเพ่ยหรือหลินม่ายกันแน่ แล้วก็เรื่องที่หล่อนเอาสินสอดฉันไปเรียนต่อมัธยมปลายหรือเปล่า”

“สำหรับเรื่องที่เธอเป็นเด็กทุนหรือเด็กกาก นายไปหาความจริงได้ที่โรงเรียนมัธยมต้นเสี่ยวเหอ”

ในยุคสมัยนี้ การปลอมตัวไปโรงเรียนเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก และส่วนใหญ่ใช้วิธีเปลี่ยนตัวบุคคลแทนชื่อเดิมเพื่อไปโรงเรียน

เนื่องจากยุคนี้ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนหรืออินเทอร์เน็ต โรงเรียนจึงตรวจสอบเฉพาะนักเรียนที่รับเข้าเรียนตามข้อมูลในหนังสือแจ้งการรับเข้าเรียน

เฉพาะชื่อและชื่อโรงเรียนเท่านั้นที่จะมีอยู่ในจดหมายตอบรับ

ตราบใดที่มีการเปลี่ยนชื่อ ข้อมูลส่วนบุคคลโดยทั่วไปจะต้องตรงกับข้อมูลในหนังสือแจ้งการรับเข้าเรียน เพราะฉะนั้นจึงสามารถแทนที่กันได้อย่างง่ายดาย

มีเพียงผู้แอบแฝงที่มีภูมิหลังลึกซึ้งเท่านั้นที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่ถูกแทนที่ พวกเขาสามารถแทนที่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อ และจะไม่มีปัญหาตามมาในอนาคต

ครอบครัวสกุลหลินไม่มีภูมิหลังและค่อนข้างยากจน หลินเพ่ยต้องการจะแทนที่หลินม่ายโดยไม่เสียเงินสักหยวนเดียว ดังนั้นหล่อนจึงเลือกที่จะเปลี่ยนชื่อกับหลินม่ายโดยตรง

เพราะเหตุนี้หลินม่ายจึงได้มีหลักฐานที่หนาแน่นสำหรับการพิสูจน์ความจริง

จินปอไม่เชื่อคำพูดของหลินม่าย

เนื่องจากหลินเพ่ยที่เขารู้จักนั้นบริสุทธิ์ อ่อนแอ สุภาพถ่อมตน และไม่ว่าเขาจะมองยังไง หล่อนก็ดูไม่เหมือนคนเห็นแก่ตัว เลือดเย็นชอบพูดโกหก

ทว่าผลการเรียนที่ย่ำแย่ของหล่อนทำให้เขายากจะเชื่อว่าหล่อนสามารถสอบเข้ามาในโรงเรียนมัธยมตอนปลายที่พวกเขาเรียนอยู่ได้ เพราะนี่คือโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของเมืองอวิ๋นไหล

ไม่ใช่ว่าจินปอไม่ได้ถามหลินเพ่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่คำตอบของหล่อนคือหล่อนไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ดังนั้นคะแนนสอบของหล่อนจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ และหล่อนก็ขอให้เขาทำแบบทดสอบให้ด้วยความละอาย

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หล่อนกำลังโกหกใช่ไหม?

เพื่อค้นหาความจริงและไม่ต้องการถูกหลอกอีกต่อไป จินปอรีบกลับเข้าไปทักทายพ่อแม่หลังจากที่หลินม่ายกลับไป เขาไปขับรถยนต์ส่วนตัวไปที่โรงเรียนมัธยมเสี่ยวเหอ โดยอ้างว่าเขาต้องการจะไปอวยพรคุณครูกับเพื่อนร่วมชั้น

ในเมืองเสี่ยวเหอมีโรงเรียนมัธยมต้นเพียงแห่งเดียว และโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนี้มีเพียงระดับชั้นมัธยมตอนต้นเท่านั้น ทันทีที่เขามาถึงตัวเมืองเสี่ยวเหอ เขาก็พบเข้ากับโรงเรียนมัธยมต้นเสี่ยวเหอ

แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาเปิดเทอม แต่มันก็ไม่ยากเรียนที่จะขอที่อยู่ของอดีตครูประจำชั้นของหลินเพ่ย

เขารู้สึกถึงจิตใจที่ว่างเปล่าเมื่อออกมาจากบ้านอดีตครูประจำชั้นของหลินเพ่ย

แม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาพร้อมแล้ว แต่เมื่ออดีตครูประจำชั้นของหลินเพ่ยบอกกับเขาเป็นการส่วนตัวว่าหลินเพ่ยโง่เขลา ซ้ำชั้นอยู่หลายครั้ง และเขายิ่งรู้สึกยอมรับไม่ได้เมื่อได้ยินว่าหล่อนเรียนจบชั้นมัธยมต้นพร้อมกับหลินม่าย น้องสาวที่อายุน้อยกว่าสามปี

หลินเพ่ยเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกที่เขาแอบชอบในช่วงวัยรุ่น แต่กับกลายเป็นว่าหล่อนเป็นเพียงคนโง่พยายามเข้ามาเรียนแทนน้องสาว

เขาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขายังข้ามไปหมู่บ้านสกุลหวังที่ตั้งอยู่บนภูเขา โดยสอบถามชาวบ้านว่าหลินเพ่ยได้เอาเงินสินสอดของน้องสาวไปเปลี่ยนเป็นเงินค่าเรียนต่อหรือไม่

เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ยินจากชาวบ้านที่ทำให้เขารู้สึกว่าหลินเพ่ยไม่ใช่คนประเภทที่เลวร้ายและไร้มนุษยธรรม

ทว่าชาวบ้านที่เขาสอบถามกลับบอกว่าหลินเพ่ยไม่เพียงเอาเงินสินสอดของน้องสาวไปเรียนต่อเท่านั้น แต่เธอยังเห็นแก่ตัวมาก ใส่ใจเฉพาะความเป็นอยู่ที่ดีของตนเองโดยไม่นึกถึงความเป็นความตายของครอบครัว

จินปอรู้สึกถึงลมหายใจที่หนักอึ้ง เขาอยากจะถามหลินเพ่ยต่อหน้าว่าทำไมเธอถึงได้ใจร้ายนัก หลอกลวงแม้แต่น้องสาวของตนเอง

เขาเดินเข้าไปใต้หน้าต่างห้องนอนของหลินเพ่ยภายใต้คำแนะนำของชาวบ้าน และได้ยินเสียงของหล่อนกับชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ่งนิ่งและแอบเงี่ยหูฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เริ่มแผนกระชากหน้ากากพี่สาวตัวร้ายแล้วค่ะ ป้องกันไม่ให้ผู้ชายดี ๆ กลายเป็นเหยื่อนังเพ่ยเพ่ย

ไหหม่า(海馬)