ตอนที่ 60 นายช่วยยอมรับผิดได้ไหม

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 60 นายช่วยยอมรับผิดได้ไหม?

ภายในห้อง หลินเพ่ยกำลังตกอยู่ในอาการกระสับกระส่ายราวเสือติดจั่น

หล่อนกัดฟันแน่นและพูดกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนว่า “ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อวานนังสารเลวนั่นเข้ามาสร้างเรื่อง”

“คงจะรอให้ตำรวจมาตรวจสอบ ชาวบ้านที่เห็นฉากเมื่อวานก็จะพากันพูดว่ามันเกลียดฉันกับแม่มาก ฉันจะโกหกที่บ้านเรื่องค่าสินสอดยังไงดี เราพอจะมีวิธีฉุดกระชากมันลงมาบ้างไหม?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพูดแบบไปตายเอาดาบหน้า “มีวิธีเดียวคือต้องไปเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ของเธอ ให้พวกเขายอมรับว่าการฉ้อโกงการแต่งงานเป็นความคิดของพวกเขา”

หลินเพ่ยตกตะลึง ถ้าพ่อแม่ของหล่อนรับสารภาพ พวกเขาก็จะต้องเข้าไปอยู่ในคุกตามมาตรการอย่างเข้มงวด แล้วใครจะเลี้ยงและส่งหล่อนเรียนหนังสือ?

นับประสาอะไรกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน? เขาอยู่ภายใต้ความดูแลของแม่ และไม่มีอำนาจอะไร

ส่วนพี่กับพี่สะใภ้น่ะเหรอ?

ตอนนี้เติ้งซิ่วจือคงจะเกลียดหล่อนมาก จะมาหาข้าวหาปลาส่งหล่อนเรียนหนังสือหรือ?

พี่ชายคอยรับฟังพี่สะใภ้เสมอมา หากพี่สะใภ้ไม่ยอมเลี้ยงดูหล่อนและส่งให้หล่อนเรียนต่อ พี่ชายก็จะไม่มีวันสนใจชีวิตหรือความตายของหล่อนอย่างแน่นอน

“ไม่ได้!” หลินเพ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ก่อนจะลงไปนั่งยอง ๆ ต่อหน้าอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เงยหน้าขึ้นและถามด้วยความสงสาร “เสี่ยวเจี๋ยน นายรักฉันจริง ๆ หรือเปล่า นายรักฉันมากไหม?”

อู๋เสี่ยวเจี้ยนที่เห็นหยดน้ำตาของหล่อนเอ่อล้นออกมา หัวใจของเขาก็หนักอึ้งในทันใด

เขาจ้องมองหน้าหล่อนด้วยความเสน่หา “ยังต้องถามคำถามนี้อยู่อีกเหรอ? ความจริงจังใจฉันมีต่อเธอฟ้าดินก็เป็นพยานได้ เพื่อเธอแล้ว ฉันทำผิดต่อพ่อแม่ก็ยังได้”

หลินเพ่ยพยักหน้า “ฉันรู้ว่านายจริงใจกับฉันที่สุดในโลก”

หล่อนจับมือเขา อ้อนวอนด้วยความเสียงแผ่วเบา “ถ้าอย่างงั้นนายช่วยยอมรับผิดได้ไหม?”

“นายไปบอกตำรวจว่านายยังรักฉัน และทนเห็นฉันขาดเรียนเพราะไม่มีเงินไม่ได้ นายเลยใช้คำพูดหลอกลวงม่ายจื่อให้แต่งงานกับนาย”

“นายใช้ข้ออ้างที่ครอบครัวของฉันเรียกค่าสินสอดราคาสูงเป็นข้อแก้ต่าง เรียกเงินจากพ่อแม่มาส่งฉันเรียน พ่อแม่ของฉันจะได้ไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง”

หล่อนมองดูอู๋เสี่ยวเจี้ยนด้วยความคาดหวัง “แทนที่จะเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ฉันให้สารภาพ นายไปสารภาพผิดคนเดียวน่าจะดีกว่า อีกอย่างมันยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้”

“นอกจากนี้พ่อแม่ฉันไม่เคยฉ้อโกงเรื่องงานแต่งถูกต้องไหม? นายรักฉัน นายจะเสียสละเพื่อฉันใช่ไหม?”

จินปอที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างรู้สึกหนาวเยือกในใจ กลายเป็นว่านางฟ้าตัวน้อยไร้เดียงสาเป็นเพียงผู้หญิงสารเลวจอมวางแผน!

เขาจะไม่ไปถามหลินเพ่ยว่าทำไมหล่อนถึงได้โหดเหี้ยมแบบนี้ เพราะต่อให้เขาไปถามหล่อน หล่อนก็คงพูดโกหกอยู่ดี

และตอนนี้เขาก็ไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรให้หลินเพ่ยอีกแล้ว

ขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินจากไป จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนตามหลังเขาว่า “เธอเป็นใคร มาด้อมๆ มองๆ อะไรอยู่ที่หน้าบ้านฉัน?”

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเติ้งซิ่วจือ

หล่อนไปเก็บผักมาจากแปลงผัก และบังเอิญเห็นจินปอแอบฟังอยู่ที่หน้าต่าง

หลินเพ่ยกับอู๋เสี่ยวเจี้ยนที่อยู่ในห้องต่างพากันตกใจ พวกเขารีบเดินมาที่หน้าต่างและมองลอดออกมา และเห็นจินปอกับเติ้งซิ่วจือที่ยืนอยู่ไม่ไกล

การแสดงออกของหลินเพ่ยนิ่งชะงัก และหันไปพูดกับเติ้งซิ่วจือว่า “พี่สะใภ้ นั่นเพื่อนร่วมชั้นฉันเองค่ะ”

ดวงตาของเติ้งซิ่วจือไม่หลงเหลือความหวาดระแวงอีกต่อไป และมองจินปอหัวจรดเท้า

เมื่อเห็นว่าเขาแต่งตัวดีใส่นาฬิกาข้อมือ หล่อนจึงรับรู้ได้ว่าเขาเป็นลูกที่มาจากครอบครัวมั่งคั่ง

ก่อนจะส่งยิ้มให้เขาด้วยความสบายใจ “เพื่อนร่วมชั้นของเพ่ยเพ่ยนี่เอง มายืนด้อมๆ มองๆ อะไรข้างนอกนี่ล่ะ? เข้ามานั่งข้างในก่อนสิจ๊ะ!”

ก่อนจะกระซิบถามเบา ๆ “พ่อเธอเป็นผู้อำนวยการโรงงานผลิตอาหารใช่ไหมจ๊ะ? เพ่ยเพ่ยพูดถึงคุณให้ที่บ้านฟังบ่อยมาก”

จินปอรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

น้องสาวของหลินเพ่ยไมได้โกหกเขา หลินเพ่ยบอกครอบครัวจริงหล่อน ๆ ด้วยสินะว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี

ไม่เช่นนั้นพี่สะใภ้ของหลินเพ่ยคงจะเดาไม่ออกว่าเขาเป็นใคร นับประสาอะไรกับรู้ว่าพ่อของเขาเป็นผู้จัดการโรงงานอาหารของอำเภอและมองเขาด้วยสายตาที่กระตือรือร้นแบบนั้น

ปรากฏว่าความรักในรั้วโรงเรียนที่เขาคิดว่าใสบริสุทธิ์กลับเป็นเพียงแผนการในสายตาของนังแพศยานั่นเท่านั้น

ใบหน้าของจินปอดูเย็นชาขึ้นมา “ไม่เป็นไรครับ ผมจะกลับบ้านแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังและจากไป

หลินเพ่ยจ้องเขม็งไปที่เติ้งซิ่วจือ นังนี่จะตายหรือไงถ้าไม่ได้พูด? เลิกพูดไร้สาระกับจินปอสักที!

ที่โรงเรียนเธอชื่อว่าหลินม่าย แต่นังโง่นี้กลับเรียกเธอว่าเพ่ยเพ่ยต่อหน้าจินปอ

จินปอคงจะสงสัยเรื่องชื่อ เขาถึงได้จากไปแบบนั้น

หลินเพ่ยรีบวิ่งออกไปขัดขวางจินปอด้วยท่าทางที่น่าสงสาร “นายคงเห็นฐานะบ้านฉันยากจนเกินกว่าจะยอมรับได้ เพราะงั้นถึงรีบออกไปทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาถึงใช่ไหม?”

จินปอเยาะเย้ย “ทำไมเธอถึงไม่ถามฉันล่ะว่าทำไมฉันถึงมาหาเธอถึงที่นี่?”

หลินเพ่ยไม่เคยคิดที่จะถามคำถามนี้

อะไรคือเหตุผลที่จินปอรีบวิ่งแจ้นมาที่นี่ น่าจะเป็นเพราะ “เหมือนถั่วแดงที่ถูกจารึกไว้ในลูกเต๋า ความคิดถึงที่จารึกไว้ในเลือดและกระดูกของฉัน*(1)” กระมัง

เขาคงอดคิดถึงหล่อนตลอดช่วงปิดเทอมฤดูหนาวไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เขารีบมาที่นี่ เพื่อมาหาหล่อนไม่ใช่เหรอ?

หลินเพ่ยอาจไม่ได้มั่นใจในตนเองด้านอื่นนัก แต่หล่อนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเมื่อต้องหว่านเสน่ห์ใส่ชายหนุ่ม

ดูอย่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเป็นตัวอย่าง เขายอมมอบต้นทุนให้หล่อนได้เรียนรู้ต่อ ส่วนนังสารเลวหลินม่ายก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากกว่านี้ และแม้แต่พ่อแม่ของเขาเองก็ตกหลุมพราง

หล่อนยังคงทำตามความรู้สึกของจินปอและถามว่าเขา “ทำไมจู่ ๆ ถึงมาหาฉันเหรอ?”

หล่อนรู้ว่าจินปอมีความประทับใจที่ดีต่อหล่อน อันเนื่องมาจากความใสซื่อบริสุทธิ์และอ่อนโยน ดังนั้นหล่อนจึงทำตัวใสซื่อและอ่อนโยนต่อหน้าเขาทุกครั้ง

ทว่าจินปอกลับพูดชัดถ้อยชัดคำ “เพราะน้องสาวของเธอมาบอกฉันว่าเธอปลอมตัวเป็นน้องเพื่อไปโรงเรียนแทน แลกเปลี่ยนความสุขของส่วนตัวกับค่าสินสอดน้องเพื่อให้ตัวเองได้เรียนต่อ ฉันถึงได้มาค้นหาความจริง แต่นึกไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเป็นความจริง!”

สมองของหลินเพ่ยพลันสั่นสะท้านราวกับถูกเครื่องบินรบทิ้งระเบิดลงมา

หลังจากตั้งสติได้ หล่อนก็วิ่งไล่ตามจินปอที่เดินจากไปไกล ร้องตะโกนขณะวิ่งไล่ “จินปอ อย่าเพิ่งไป ฟังฉันก่อน มันไม่ใช่แบบนั้น”

จินปอโบกมือโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง “เธอไม่ต้องมาเอ่ยวาจาหลอกลวงฉันอีก ฉันได้ยินเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่อยู่นอกห้องเธอแล้ว”

หลินม่ายหยุดวิ่งด้วยความฉุนเฉียว เขา…ได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว…

เติ้งจิ่วซือมองดูหลินเพ่ยที่วิ่งหายไปอย่างดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะครุ่นคิดกับตนเอง โชคดีที่หล่อนไม่เชื่อคำเชิญชวนของแม่สามีและเอาเงินสองหยวนไปตัดชุดใหม่ให้หลินเพ่ย

ลูกชายผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารกำลังตัดขาดกับหลินเพ่ย แล้วหลินเพ่ยจะพาหล่อนกับสามีไปทำงานที่โรงงานผลิตอาหารได้อย่างไร!

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนค่อย ๆ เดินทอดน่องไปข้างหน้าหลินเพ่ย มองดูใบหน้าซีดเซียวของหล่อน เมื่อเห็นว่าหล่อนเป็นทุกข์อย่างมาก เขาจึงพูดว่า “เพ่ยเพ่ย ข้างนอกลมแรง เข้าข้างในกันเถอะ”

หลินเพ่ยอยากจะตบเขาและกระหน่ำแทงซ้ำเพื่อระบายความเกลียดชังของหล่อน

ถ้าวันนี้ไอ้สุนัขขี้ประจบไม่มาที่นี่ จินปอจะได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันในวันนี้ได้อย่างไร!

หากอีกฝ่ายไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขา ภาพลักษณ์ของหล่อนก็จะไม่สูญสลายหายไปต่อหน้าอีกฝ่าย

แม้จะเกลียดอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ทำลายภาพลักษณ์อันแสนดีของตน แต่หลินเพ่ยก็พยายามระงับอย่างสุดความสามารถ

หล่อนอยู่บนเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์และความสง่างามเสมอมา และจะไม่มีวันแสดงท่าทางดุร้าย

ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบเสียงคำรามของสิงโตเหอตง(2)

แม้หลินเพ่ยจะร้องไห้ แต่ใบหน้ากลับยังดูงดงาม “มันเป็นความผิดของนายทั้งหมด แม้แต่กับนังสารเลวนั่นก็ยังรับมือไม่ได้ ฉันเจ็บปวดมาก ฮือๆๆ!”

หล่อนร้องไห้สะอื้น ฟุบลงกับพื้นขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ

ถึงหลินเพ่ยจะเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่หล่อนมีวิธีการทำให้หนุ่มน้อยสงสารตนเสมอ

แม้ว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะทุกข์ใจมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนหล่อนอย่างไร

เพียงแค่ยืนท่ามกลางลมหนาว เป็นเกราะกำบังเมื่อลมหนาวพัดผ่าน

…………………………………………………………………………………………………………………………

(1) “เหมือนถั่วแดงที่จารึกไว้ในลูกเต๋า ความคิดถึงที่จารึกในเลือดและกระดูกของฉัน” เป็นกวีของราชวงศ์ถังที่แสดงถึงความรักและความคิดถึงคนรัก

(2) เป็นคำเปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่ดุร้ายและขี้หึง

สารจากผู้แปล

แหล่งสูบเงินรู้ทันและตีจากไปแล้วน่ะสิถึงเสียใจ คนอย่างหล่อนมีหรือจะเสียใจกับใครจริงๆ นังเพ่ยเพ่ย

ไหหม่า(海馬)