ตอนที่ 61 กินไก่ย่างอย่างเพลิดเพลิน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 61 กินไก่ย่างอย่างเพลิดเพลิน

หลังจากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง หลินเพ่ยก็ปาดน้ำตาทิ้ง ลุกยืนขึ้นจากพื้นพร้อมพูดด้วยท่าทางขึงขัง “ในเมื่อนังสารเลวนั่นจ้องจะทำลายชีวิตฉัน อย่างนั้นฉันก็จะทำลายชีวิตของมันเหมือนกัน!”

ว่าแล้วก็หันมองไปทางอู่เสี่ยวเจี๋ยน “นายย้ายชื่อนังสารเลวนั่นเข้าทะเบียนบ้านของตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอ? ก็เอาเรื่องทะเบียนบ้านนั่นแหละบีบบังคับให้มันทำงานส่งเงินให้เรา มันต้องขายวิญญาณชดใช้ไปจนตาย!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเผยอริมฝีปาก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา

ก่อนจะถึงวันขึ้นปีใหม่ หลังจากขับไล่หลินม่ายออกไปจากบ้าน เขาก็ส่งสมุดทะเบียนบ้านคืนให้กับตระกูลหลินไปแล้ว

ด้วยกลัวว่าหลินเพ่ยจะโทษเขาว่าสร้างเรื่องโดยไม่บอกกล่าว จึงไม่กล้าบอกความจริงกับหล่อนโดยตรง

เขาบอกเพียงว่าพวกเขายังเด็กเกินไปที่จะจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องนี้แม้แต่คนที่เขาขอความช่วยเหลือในตอนแรกก็ไม่มีอำนาจมากพอ

เป็นเพราะเขาไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกับหลินม่ายได้ ทำให้เขาจำใจย้ายชื่อหล่อนมาไว้ในทะเบียนบ้านของครอบครัวเขาเป็นการชั่วคราวเพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมนังแพศยาน้อยนั่น

แต่ตอนนี้ คนรักของเขาต้องการให้เขาใช้ทะเบียนบ้านเป็นเครื่องมือควบคุมชีวิตของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเขาทำไม่ได้เลยสักนิด…

โชคดีที่หลินเพ่ยไม่ทันสังเกตเห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่ผิดแปลกออกไปของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน อาจเป็นเพราะยังคงหมกมุ่นอยู่กับแผนชุบตัวที่แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

หลินเพ่ยยังคงร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด เอาแต่กล่าวโทษอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ไม่ยอมมาเล่าเรื่องที่นังแพศยาคนนั้นขึ้นโรงพักแล้วแฉเรื่องการแต่งงานจอมปลอมกับเขาตั้งแต่เมื่อวาน หนำซ้ำข้อกล่าวหาที่ว่ายังเกี่ยวโยงถึงพ่อแม่ของหล่อนโดยตรง

เมื่อวานนี้ก่อนที่หลินม่ายจะมาถึง ถ้าเขารีบบอกข่าวให้เร็วกว่านี้สักนิด หล่อนคงหาทางเกลี้ยกล่อมนังแพศยานั่นได้!

ตราบใดที่จัดการกับหลินม่ายจนอยู่หมัด นังนั่นคงไม่วิ่งโร่ไปหาจินปอแล้วเปิดโปงความลับดำมืดของหล่อนแน่!

เขามาแจ้งข่าวให้กับเธอในวันนี้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำให้จินปอแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาอีกด้วย

ต่อให้หล่อนจะมีไหวพริบสูงขนาดไหน หรือใช้วาทศิลป์หลอกลวงคนเก่งอย่างไร แต่หล่อนก็ไร้ความสามารถเมื่ออยู่ต่อหน้าจินปอ

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เคยเห็นหลินเพ่ยทำท่าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากแบบนี้มาก่อน แน่นอนว่าเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด

เมื่อวานนี้เป็นเพราะครอบครัวของเขาหวาดกลัวในเรื่องที่หลินม่ายต้องการฟ้องร้องพวกเขาข้อหาใช้ความรุนแรงกับเธอ พวกเขาจึงเอาแต่ปรึกษากันว่าจะรับมือกับเธออย่างไรบ้าง จนเขาไม่มีเวลาวิ่งแจ้นไปหาหลินเพ่ย

หลังจากนอนหลับและตื่นขึ้นสู่เช้าวันใหม่ พอความเครียดผ่อนคลายลงบ้าง ก็รีบวิ่งไปบอกข่าวกับหล่อนอย่างไม่รอช้า แต่ไม่คาดคิดว่าจะสายเกินไป

พอได้ยินเสียงตัดพ้อคร่ำครวญจากปากของเทพธิดาอันเป็นที่รักของเขา อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ อยากกัดลิ้นตัวเองให้ตาย ๆ ไปเสีย

อดถามด้วยเสียงสั่นเทาไม่ได้ว่า “เธอรักจินปอเหรอ? เขาสำคัญกับเธอมากขนาดนั้นเลยหรือไง? กลัวว่าจะสูญเสียเขาไปใช่ไหม?”

คำถามที่พ่นออกมาอย่างต่อเนื่องจากเขาถึงสามคำถามทำให้หลินเพ่ยถึงกับสะดุ้งโหยง ไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่ตัวนี้จะกล้าแสดงความหึงหวง! นายไม่สมควรหึงหวงฉันด้วยซ้ำ!

ถึงอย่างนั้นหล่อนกลับไม่ชักสีหน้าและต่อว่าเขาอีก แต่พุ่งตัวเข้าไปคว้าอกเสื้อของเขาไว้ แสร้งบีบน้ำตาอย่างน่าสงสาร ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า

“ฉันเปล่ารักเขานะ คนที่ฉันรักมากที่สุดก็คือนายต่างหาก มาตัดสินกันแบบนี้ ไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหน!”

ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วผู้ชายคนนั้นสำคัญกับหล่อนมาก

พ่อของเขาเป็นถึงผู้อำนวยการใหญ่ของโรงงานผลิตอาหารของรัฐที่ควบคุมโดยเทศมณฑล ต่อให้หล่อนเรียนไม่จบจนไม่ได้รับประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลาย เขายังไปคุยให้พ่อของตัวเองรับหล่อนเข้าทำงานที่โรงงานของเขาได้

เพราะอย่างนี้หล่อนเลยกลัวว่าจะเสียเขาไป เสียเขาไปก็เท่ากับอนาคตอันสวยหรูพังทลายตามไปด้วย

“เสี่ยวเจี๋ยน ในเมื่อนายรักฉันมาก นายคงไม่อยากให้ฉันในอนาคตต้องตกระกำลำบากหรอกใช่ไหม? เพื่อเห็นแก่อนาคตอันสดใสของฉัน นายยอมให้ฉันคบหากับผู้ชายดี ๆ คนอื่นไม่ได้เลยเชียวเหรอ?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเอาแต่จ้องมองใบหน้าหล่อนเป็นเวลานาน ก่อนจะหลับตาลงด้วยใจที่แสนเจ็บปวด

เขาไม่ได้อยากเกิดเป็นลูกชายของพ่อแม่ที่เป็นแค่คนจนไร้อำนาจ ไม่ได้อยากเกิดเป็นคนที่ไม่สามารถจัดสรรชีวิตที่ดีพร้อมให้กับคนรักของตัวเองเสียหน่อย

ถ้าครอบครัวของเขามีความสามารถมากกว่าที่เป็นอยู่ เขาจะทนดูหลินเพ่ยคบหากับผู้ชายคนอื่นเพื่ออนาคตที่ดีกว่าได้อย่างไร?

น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำให้หล่อนมีชีวิตที่ดีได้ นับประสาอะไรกับการห้ามไม่ให้หล่อนไขว่คว้าหาหนทางชีวิตที่ดีกว่าในแบบของตัวเอง เขาไม่มีคุณสมบัติมากพอ!

เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงแม้มันยากที่จะยอมรับ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมันอยู่ดี

ถ้าเรารักใครสักคนหนึ่ง เราคงอยากให้เขามีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรอกหรือ?

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจำใจพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

หลินเพ่ยเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกโล่งใจมาก โผเข้าไปจูบเขาอย่างยาวนานในทันที

พอเห็นว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเริ่มฟุ้งซ่านเพราะรสจูบของหล่อน หลินเพ่ยก็จงใจผละออกจากเขาในขณะที่อารมณ์ของอีกฝ่ายยังคงคุกรุ่น “นายดีกับฉันเหลือเกิน นายต้องแบกรับเรื่องฉ้อโกงการแต่งงานแทนฉันนะ ฉันจะยอมให้พ่อกับแม่ถูกลากไปเกี่ยวข้องไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาคือผู้บริสุทธิ์ ถ้าคดีถูกตัดสินออกมาว่าพ่อแม่ของฉันมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ฉันคงหนีไม่พ้นต้องยอมรับสารภาพ นายคงไม่อยากให้ฉันติดคุกหรอกใช่ไหม?”

ความจริงแล้วผู้ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังการฉ้อโกงการแต่งงานในครั้งนี้ มีเพียงคนเดียวก็คือหลินเพ่ย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนแค่รับคำสั่งจากหล่อน

ถ้าพวกเขาพยายามหาคนมารับโทษทางกฎหมาย หลินเพ่ยจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริง ดังนั้นหล่อนจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยอมรับความผิดทั้งหมดแทนตัวเอง

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาที่บ้านของหลินเพ่ยทั้ง ๆ ที่ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ด ความหิวโหยทำให้เขารู้สึกวิงเวียน เดินออกจากบ้านของหล่อนไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง

ตลอดทางกลับบ้าน สิ่งเดียวที่เขาคิดอย่างแน่วแน่ คือเขาจะต้องลบล้างความผิดทั้งหมดของหลินเพ่ยให้ได้ จะปล่อยให้หล่อนถูกจับเข้าคุกไม่ได้เด็ดขาด!

ส่วนหลินม่ายเดินทางออกมาจนพ้นเขตอำเภออวิ๋นไหลแล้ว ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นร้านขายไก่ย่างที่ดำเนินกิจการโดยรัฐเข้าพอดี

ถึงแม้ร้านค้าของรัฐจะขึ้นชื่อว่าทัศนคติด้านงานบริการค่อนข้างแย่ แต่ก็ดีกว่าร้านค้าทั่วไปที่ใช้ไก่ป่วยตายมาย่างขาย จึงมั่นใจได้ว่าเนื้อไก่พวกนี้มีแหล่งที่มาปลอดภัยแน่ เธอจึงตัดสินใจซื้อไก่ตัวหนึ่งที่ย่างสุกจนเป็นสีทองมันวาว

เช่นเดียวกับขามา เธอไหว้วานขอให้ใครสักคนช่วยพาเธอซ้อนท้ายเข้าไปในเมืองด้วยตลอดทาง จนในที่สุดเธอก็มาถึงเมืองซื่อเหม่ยในเวลาประมาณบ่ายสองโมง

หลินม่ายแวะร้านสหกรณ์เพื่อซื้อลูกโป่งขนาดใหญ่ใบหนึ่ง จากนั้นจึงตรงไปที่บ้านของคุณปู่คุณย่าตระกูลฟาง

เมื่อมองจากระยะไกล เธอเห็นว่าโต้วโต้วกำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านพลางจับมือคุณย่าฟางไว้แน่น เอาแต่ชะเง้อมองไปข้างหน้า

ทันใดนั้นคนชราทั้งสองและหลานสาวตัวน้อยก็มองเห็นหลินม่าย

คุณย่าฟางพูดกับเด็กหญิงตัวน้อยด้วยสีหน้ายินดี “ย่าบอกแล้วว่าแม่ของหนูจะต้องกลับมาภายในวันนี้แน่ แต่หนูก็ไม่เชื่อ เห็นไหมว่าหล่อนกลับมาแล้ว!”

โต้วโต้วปล่อยมือจากคุณย่าฟางทันที กางแขนออกเหมือนนกน้อยสยายปีกพร้อมกับวิ่งตรงไปหาหลินม่าย ขณะนั้นก็ตะโกนเรียกผู้เป็นแม่ด้วยความดีใจ

จนกระทั่งเด็กหญิงวิ่งไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าหลินม่าย เธอถึงได้มองเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย รีบถามไถ่ว่า “ลูกร้องไห้ทำไม? ก่อนออกเดินทางเมื่อวาน แม่บอกหนูแล้วไม่ใช่เหรอว่าแม่จะกลับมาในวันนี้?”

โต้วโต้วพึมพำด้วยความเขินอาย “ก็หนูคิดถึงแม่นี่คะ”

หลินม่ายส่งลูกโป่งให้ลูกสาวถือไว้ ไม่ลืมกำชับให้หล่อนจับเชือกไว้ให้แน่น อธิบายว่าถ้าปล่อยให้เชือกหลุดมือลูกโป่งก็จะลอยหนีไป

โต้วโต้วเคยเห็นเด็กคนอื่นถือลูกโป่งมาบ้าง แต่ตัวเองไม่เคยเล่นลูกโป่งมาก่อนเลย ทันใดนั้นใบหน้าของหล่อนก็แดงปลั่งด้วยความตื่นเต้น ไม่ร้องไห้งอแงอีกต่อไป

ขณะนั้นเองคุณย่าฟางก็เดินเข้ามา หันไปถามหลินม่ายด้วยเสียงกระซิบ “เป็นยังไงบ้าง?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันยังไม่รู้ผลสรุปหรอกค่ะ แต่ถ้าตำรวจตามไปสืบสวนเรื่องราวจริง ๆ คำพูดของคนบ้านใกล้เรือนเคียงคงเป็นประโยชน์ต่อฉันไม่น้อย”

ได้ยินแบบนั้นคุณย่าฟางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แบบนั้นก็ดีไป”

เมื่อคืนนี้นางพูดคุยกับคุณปู่ฟาง ว่าถ้าหลินม่ายติดร่างแหถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้บงการในคดีฉ้อโกงการแต่งงานจริง ต่อให้ต้องใช้เส้นสายทั้งหมดที่มี พวกเขาก็ยินดีทำเพื่อช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้กับเธอ!

พอถึงเวลาอาหารเย็น หลินม่ายนำไก่ย่างที่เธอซื้อมาไปอุ่นร้อน ก่อนจะยกมาวางลงบนโต๊ะ

ทันทีที่ไก่ย่างถูกนำมาเสิร์ฟ โต้วโต้วเป็นคนแรกที่เอื้อมมือไปคว้าน่องไก่

ผู้ใหญ่หลายคนรู้ว่าเธอทำแบบนั้นก็เพราะกลัวถูกคนอื่นแย่ง แต่ไม่มีใครคิดตักเตือนเธอจริงจัง

เด็กคนไหนบ้างเห็นไก่ย่างแล้วตาไม่ลุกวาว เด็กคนไหนบ้างไม่ชอบแทะน่องไก่!

ทุกคนต่างส่งเสียงสนับสนุนเด็กหญิงตัวน้อยอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา

เด็กหญิงตัวน้อยจดจ่ออยู่กับการดึงน่องไก่อย่างเอาจริงเอาจัง ออกแรงจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ในที่สุดก็สามารถฉีกน่องไก่ให้หลุดออกมาได้

แต่เธอกลับไม่กินมันในทันที หันมองไปที่คุณปู่ฟาง ก่อนจะหันไปมองคุณย่าฟางราวกับกำลังชั่งใจ

สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจยกน่องไก่ในมือให้กับคุณย่าฟาง แล้วหันไปปลอบโยนคุณปู่ฟางด้วยเสียงอ่อนหวานน่ารัก “คุณปู่อย่าน้อยใจไปนะคะ เดี๋ยวหนูจะฉีกน่องไก่อีกข้างหนึ่งให้คุณปู่เอง”

“โอ้โฮ! โต้วโต้วของปู่ช่างเป็นเด็กกตัญญูจริง ๆ ปู่ชื่นใจจัง!” รอยยิ้มเบ่งบานอย่างมีความสุขราวดอกเบญจมาศบานสะพรั่งประดับอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นของคุณปู่ฟาง

เขาหันไปอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยจากเก้าอี้ด้านข้างมากอดไว้ในอ้อมแขน “ปู่ไม่กินน่องไก่ โต้วโต้วเก็บเอาไว้กินเองเถอะ”

คุณย่าฟางเองก็หยิบน่องไก่วางลงในชามใบน้อยของโต้วโต้วเช่นเดียวกัน “ย่าก็ไม่กินเหมือนกัน หนูเก็บไว้กินเถอะ”

โต้วโต้วยังคงยืนกรานจะยกน่องไก่ให้กับพวกเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “แม่บอกว่าคุณปู่กับคุณย่าเป็นคนแก่ที่ใจดีที่สุดในโลก ดังนั้นเราสองแม่ลูกต้องกตัญญูต่อพวกท่าน คุณย่ากินน่องไก่เถอะค่ะ…”

หลินม่ายจึงช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง

ในที่สุดน่องไก่น่องหนึ่งจึงตกเป็นของหญิงชรา ส่วนอีกน่องหนึ่งตกเป็นของชายชรา เด็กหญิงตัวน้อยได้อกไก่ไปครองแทน

ถึงแม้อกไก่จะไม่อร่อยเท่ากับน่องไก่ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเนื้อล้วนไร้กระดูก จึงกินง่ายเหมาะสำหรับเด็กมากกว่า

ส่วนอื่น ๆ เช่นปีกไก่ คอไก่ และโครงไก่จึงตกเป็นของหลินม่าย ที่เดิมทีก็ชื่นชอบการแทะกระดูกอยู่แล้ว

รสชาติไก่ย่างจากร้านค้าของรัฐอาจไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม แต่นับว่ามีคุณภาพที่ดีพอประมาณ

ผิวด้านนอกไหม้เกรียมแต่ด้านในยังอ่อนนิ่ม เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำกำลังดี ไม่ว่าใครได้ลิ้มลองก็ต้องติดใจกันทั้งนั้น

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หลงรักหัวปักหัวปำจนตาบอดไปแล้วไอ้หนุ่ม สมน้ำหน้า เขาใช้ให้ไปทำเรื่องชั่ว ๆ อะไรก็ไปทำโดยไม่ห่วงบ้านตัวเองเลย ส่วนนังเพ่ยเพ่ยตัวดีนี่สับรางให้ดีๆ นะคะ สับรางไม่ดีระวังจะศพไม่สวยนะคะ

ส่วนครอบครัวม่ายจื่อก็อบอุ่นเหลือเกิน การได้ล้อมวงกินไก่ที่เพิ่งย่างร้อนๆ หอมๆ นี่มันมีความสุขนะคะ

ไหหม่า(海馬)