ตอนที่ 62 หลินสงลงไม้ลงมือกับหลินเพ่ย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 62 หลินสงลงไม้ลงมือกับหลินเพ่ย

หลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายของเขากลับมาจากในเมืองประมาณช่วงบ่ายในวันชูอู่(1)

เขาตั้งใจพาหลินสงเข้าไปในเมืองก็เพราะหวังให้ลูกชายของตนมีโอกาสได้เห็นโลกกว้าง แต่ไม่ได้บอกเจตนาที่แท้จริงกับอีกฝ่าย

หลังจากเดินทางเข้าเมือง และได้พบเห็นความเจริญของตัวเมืองอย่างเต็มตา หลินสงก็เกิดความกระตือรือร้นที่จะถีบตัวเองให้มีชีวิตที่ดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ พอเขากลับมาเล่าให้เติ้งซิ่วจือผู้เป็นภรรยาฟังว่าในเมืองนั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างไรบ้าง หล่อนก็นึกอิจฉาจนน้ำลายไหล

เติ้งซิ่วจือเองก็ใฝ่ฝันอยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่รู้ดีว่านั่นคงเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ

ทันทีที่หลินเจี้ยนกั๋วกลับมา เขาก็ถูกซุนกุ้ยเซียงลากเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา แล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ แสดงสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นอย่างไร? จะกลับเมืองเอกมณฑลได้ไหม?”

หลินเจี้ยนกั๋วควานหายาเส้นคุณภาพต่ำขึ้นจุดสูบ คิ้วขมวดเข้าหากัน “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของคนถือเป็นเรื่องใหญ่ ฉันจะสืบข่าวคราวอย่างโจ่งครึ่มไม่ได้ ก็เลยสอบถามจากปากคนแถวนั้นสองสามคน พวกเขาพูดตรงกันว่าคดียังไม่หมดอายุความ”

ซุนกุ้ยเซียงพูดอย่างไม่พอใจ “นี่ก็ผ่านมาตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว ทำไมถึงยังไม่หมดอายุความอีก?”

หลินเจี้ยนกั๋วถอนหายใจ “เป็นไปตามที่กฎหมายบ้านเมืองบัญญัติไว้ ตราบใดที่พวกเขาไม่สามารถคลี่คลายคดีฆาตกรรมได้ ก็ถือว่าคดีนั้นยังไม่หมดอายุความ”

ซุนกุ้ยเซียงถามต่อด้วยความผิดหวัง “หมายความว่าพวกเรายังกลับเข้าไปอยู่ในเมืองไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”

นางใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นในชนบทมานานเกินพอแล้ว อยากกลับไปอยู่ในเมืองเสียที

หลินเจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งพลางพ่นควันยาเส้นที่สูบอยู่ออกมา ก่อนจะโยนก้นทิ้งไปเพื่อไม่ให้ความร้อนไหม้ปลายนิ้ว “เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะ เราคงต้องรอจนกว่าคดีจะปิดลงเสียก่อน ที่จริงแล้วต่อให้คดีฆาตกรรมยังไม่หมดอายุความก็จริง แต่เวลาผ่านมาตั้งสิบเจ็ดปี ตำรวจไม่มีฝีมือพอที่จะคลี่คลายคดีนี้ได้ด้วยซ้ำ ในเมื่อปิดคดีไม่ได้ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเราซะหน่อย!”

ซุนกุ้ยเซียงคิดตาม ถึงนางจะไม่สามารถกลับไปอยู่ในเมืองได้ แต่ต่อให้วิตกกังวลต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงลืมความคิดนั้นไป แล้วเรียกหาหลินสงเพื่อขอให้เขายึดเอาเงินขวัญถุงที่หลินม่ายมอบให้กับหลานชายทั้งสองคนมาจากเติ้งซิ่วจือ

ในขณะที่ซุนกุ้ยเซียงกับสามีของนางปิดประตูหารือกันอยู่นั้น เติ้งซิ่วจือก็เรียกสามีของตัวเองเข้าไปในห้องเพื่อพูดคุยอย่างลับ ๆ

หล่อนเล่าให้หลินสงฟังถึงทุกเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่หลินม่ายกลับมาที่บ้านในวันชูซื่อ

เมื่อเล่ามาถึงเหตุการณ์ที่ซุนกุ้ยเซียงต้องการเงินห้าเฟินซึ่งหลินม่ายอุตส่าห์มอบให้เด็กชายสองพี่น้อง น้ำเสียงของเติ้งซิ่วจือก็แปรเปลี่ยนเป็นอัดอั้นและไม่พอใจ

“พี่ต้องตัดสินเรื่องนี้แทนฉัน ลูกของเราโตขึ้นทุกวัน แม่ของพี่เคยให้ลูกเรากินอะไรดี ๆ บ้าง? เคยซื้ออะไรให้ฉันบ้างไหม? ทุกครั้งที่ครอบครัวเรามีของกินดี ๆ มีเสื้อผ้าสวย ๆ แม่ของพี่ก็ยกให้น้องสาวคนโตของพี่ไปซะหมด ไม่เคยมีใครในบ้านได้กินใช้ของดี ๆ แม้แต่อย่างเดียว! ที่ผ่านมาฉันได้แต่ยอมแบบไม่มีปากเสียงมา เรื่องอะไรฉันจะยอมให้นางเอาเงินไม่กี่เฟินที่จะเป็นค่าข้าวปลาของลูกฉันไปอีก?! เงินส่วนหนึ่งถูกนางยึดเอาไปแล้วด้วยซ้ำ นางถึงขั้นทุบตีต้าโก่วกับเอ้อโก่วเพื่อชิงเงินเชียวนะ! ทำไมแม่ของพี่ถึงอยากได้เงินสองเฟินนั้นจนตัวสั่นน่ะเหรอ? ก็เพราะจะเอาไปตัดเสื้อตัวใหม่ให้น้องสาวของพี่ไงล่ะ! หลินสง อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน ถ้าพี่กล้าเอาเงินขวัญถุงที่เหลืออยู่ของลูกไปปรนเปรอแม่ของพี่แล้วละก็ ชีวิตคู่ของเราคงจบกันแต่เพียงเท่านี้!”

ถึงแม้การแต่งงานของหลินสงและเติ้งซิ่วจือจะถูกจัดแจงโดยผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งสองก็ตกหลุมรักกันจริง ๆ หลังจากที่พวกเขาร่วมหอกัน สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง หลินสงเชื่อฟังเติ้งซิ่วจือตลอดมา

ยิ่งเมื่อได้ยินจากปากภรรยาว่าเด็กสองคนนั้นถูกทุบตีเพื่อชิงเงิน ก็เห็นด้วยว่าซุนกุ้ยเซียงทำเกินกว่าเหตุ

ดังนั้นเมื่อซุนกุ้ยเซียงเรียกเขาให้ไปยึดเอาเงินขวัญถุงทั้งหมดมาจากภรรยาและลูกสองคนของเขา อารมณ์ของหลินสงก็เดือดดาลในทันที

เขาขึ้นเสียงใส่ผู้เป็นแม่ “แม่จะลำเอียงรักน้องสาวแค่ไหนผมไม่เคยว่า แต่เรื่องที่แม่คิดจะยึดเงินปีใหม่ไปจากลูกผมนี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่? วันข้างหน้าแม่คิดจะเกาะหล่อนกินไปตลอดชีวิตเลยหรือไง? ถึงได้ปรนเปรอข้าวของเครื่องใช้ดี ๆ ให้หล่อนไปซะทุกอย่าง! ต่อให้แม่ต้องการแบบนั้นก็เถอะ แต่แม่จะทุบตีลูก ๆ ของผมไม่ได้ พวกเขาผิดอะไร?”

ซุนกุ้ยเซียงพยายามงัดเหตุผลอื่นมาโต้เถียง “แล้วฉันเลี้ยงดูแกกับเมียแกไม่ดีตรงไหน? ครอบครัวของเราจะพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ หรือพวกแกสี่คนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับเพ่ยเพ่ยทั้งนั้น เพ่ยเพ่ยทำให้พวกเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้แน่ ตราบใดที่หล่อนได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ ถ้าไม่ให้หล่อนแต่งตัวสวย ๆ แล้วใครจะหันมามองหล่อนกันล่ะ?”

คดีฆาตกรรมที่ว่าคอยตามหลอกหลอนสองเฒ่าตระกูลหลินอยู่ทุกวันคืน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะกลับไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงได้อีกครั้งในรอบสิบเจ็ดปี แต่ต้องแลกด้วยความเสี่ยงมหาศาล

ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้คือพึ่งพาหลินเพ่ยให้หล่อนได้แต่งเข้าตระกูลที่ร่ำรวย เพื่อที่จะได้ย้ายสำมะโนครัวจากบนภูเขาอันห่างไกลนี้ไปอยู่ในตัวอำเภอ

ถึงแม้ตัวอำเภอจะมีความเจริญไม่เท่าเมืองเจียงเฉิง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องทำไร่ทำนาหลังขดหลังแข็ง

ซุนกุ้ยเซียงเชื่อมั่นเสมอว่าหลินเพ่ยคือความหวังเดียวของครอบครัว ที่จะทำให้ตนเองได้ออกไปจากหมู่บ้านห่างไกลบนภูเขาลูกนี้เสียที เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้นางทำดีกับหล่อนอย่างสุดหัวใจได้อย่างไร!

เติ้งซิ่วจือเดินออกมาจากห้อง ยืนพิงกรอบประตูพลางพูดประชดประชันขึ้นมา “คุณแม่อาจจะเชื่อมั่นในตัวของลูกสาวคนโต แต่เราไม่เชื่อ! เท่าที่ฉันเห็น ก่อนหน้านี้ม่ายจื่อทำงานงานรับใช้พวกท่านราวกับเป็นวัวและม้า แต่หลังจากเธอแต่งงานไป พอกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้งยังมีน้ำใจให้เงินขวัญถุงหลานชายของตัวเองคนละหนึ่งเฟิน ต่างจากลูกสาวคนโตของท่านที่สักแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อ แถมยังไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับที่บ้าน นับประสาอะไรกับการช่วยชุบชีวิตครอบครัวเรา คนอย่างฉันหรือจะมองไม่ออก มีแต่คนงี่เง่าเท่านั้นแหละที่เชื่อมั่นในตัวหล่อน”

ซุนกุ้ยเซียงโดนลูกสะใภ้เหน็บแนมว่าเป็นคนงี่เง่าก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ลามไปถึงลำคอจนแดงก่ำ

หลินเพ่ยรู้ว่าผู้เป็นแม่มีปากเสียงกับพี่ชายและพี่สะใภ้เพราะเรื่องของตัวเอง จึงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยไม่ปริปาก

ในฐานะที่ตัวเองอยู่ในห่วงโซ่สูงสุดของเรื่องทั้งหมด หลินเพ่ยรู้ดีว่าไม่ควรพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้คนอื่นถกเถียงกันถึงผลประโยชน์อะไรนั่นต่อไป

ต่อให้พวกเขาจะเอะอะโวยวายกันคอแทบแตก สุดท้ายแล้วหล่อนก็ยังคงเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดอยู่วันยังค่ำ หลังจากนี้เธอก็แค่ทำสีหน้าไร้เดียงสา ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่น้อย จนกระแสตีกลับไปยังคนที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับหล่อน

แต่พอได้ยินว่าซุนกุ้ยเซียงมีแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ ก็ไม่สามารถหักห้ามใจไว้ได้อีก

หลินเพ่ยจึงต้องออกไปต่อสู้ด้วยตัวเอง

ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดอะไร ดวงตาก็เอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำใสที่คลอเบ้า เหมือนถูกใครสักคนทำให้เกิดความคับข้องใจอย่างสุดจะกลั้น

จากนั้นก็ร้องเรียกเติ้งซิ่วจือด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “พี่สะใภ้!” ต่อด้วยฉากเสแสร้งบีบน้ำตา “ในอนาคตถ้าฉันได้ดีเมื่อไหร่ ฉันจะให้เงินขวัญถุงกับต้าโก่วและเอ้อโก่วให้มากกว่านี้ ฉันสัญญาว่าจะพาครอบครัวของเราออกไปจากที่นี่ให้ได้!”

เติ้งซิ่วจือกลอกตาอย่างนึกดูถูกแล้วตอกหน้ากลับ “เธอคิดเหรอว่าฉันจะหลงเชื่อคำสัญญาไร้สาระพวกนั้น? แม้แต่ตอนนี้เธอยังแย่งเอาอาหารดี ๆ ไปจากลูกชายสองคนของฉันเลย แล้วอีกหน่อยเธอจะทำดีกับพวกเขาได้ยังไง!”

แม้แต่หลินม่ายที่เป็นน้องสาวแท้ ๆ หลินเพ่ยยังหลอกให้เธอไปแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน จากสิ่งที่หลินม่ายเคยบอกไว้ ทำให้เติ้งซิ่วจือยิ่งมองเห็นความเห็นแก่ตัวและความเลือดเย็นของหลินเพ่ยได้ชัดเจนขึ้น

เพื่ออนาคตของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ยอมทำลายได้แม้กระทั่งทั้งชีวิตของน้องสาว ฉะนั้นอย่าได้คาดหวังเด็ดขาดว่าคนที่มีจิตใจเลวทรามแบบนี้จะทำดีต่อคนอื่น หรือฉุดดึงใครให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้

หลินเพ่ยเห็นว่าเติ้งซิ่วจือไม่มีทางลดทิฐิของตัวเองลงง่าย ๆ ก็รู้ตัวว่าคงหลอกใช้อีกฝ่ายไม่ได้อีกต่อไป

ในเมื่อคนคนนี้หมดประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาทางกำจัดทิ้งไปซะ!

หล่อนยึดถือคตินี้มาโดยตลอด ผู้ที่เชื่อฟังจะเจริญรุ่งเรือง ผู้ที่ต่อต้านจะต้องพินาศ

หลินเพ่ยเหลือบไปเห็นซุนกุ้ยเซียงที่โกรธแค้นเสียจนเจ็บจุกไปทั่วทั้งหน้าอก จึงรีบปราดเข้าไปช่วยพยุงให้นางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างกตัญญู

หล่อนขมวดคิ้วพลางหันไปพูดกับหลินสง “พี่ใหญ่… ฉันไม่โกรธหรอกนะที่พี่สะใภ้จ้องแต่จะต่อว่าฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นเด็ก ไม่ว่ายังไงก็ควรเคารพพี่สะใภ้ แต่พี่สะใภ้ไม่ควรทำให้แม่ของเราโกรธถึงขนาดนี้ วันปีใหม่ทั้งที จะปล่อยให้แม่ได้อยู่อย่างสงบสุขสักวันสองวันไม่ได้เลยเชียวหรือ? ท่านทำงานอย่างหนักเพื่อครอบครัวเรามาโดยตลอด เราไม่สมควรอกตัญญูต่อท่าน” ว่าแล้วก็ร้องไห้กระซิก ๆ

เติ้งซิ่วจือปรายตามองหลินเพ่ยด้วยสายตารังเกียจระคนโกรธเคือง “เธอกำลังกล่าวหาว่าฉันอกตัญญูอย่างนั้นเหรอ?”

หลินเพ่ยกัดริมฝีปากแน่นไม่ยอมตอบกลับ ก่อนจะหันมองไปทางหลินสงอย่างเชื่องช้า

แววตาคู่นั้นบ่งบอกชัดว่าหล่อนต้องการขอความช่วยเหลือจากเขา ‘ทั้งแม่และน้องสาวของพี่ถูกภรรยาของพี่รังแก พี่ควรทำอะไรสักอย่างได้แล้ว!’

พอเห็นว่าหลินเพ่ยเอาแต่เงียบ เติ้งซิ่วจือก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา พูดต่อไปว่า “ในเมื่อเธอมีจิตใจกตัญญูถึงขนาดนี้ แถมยังเห็นชีวิตและความตายของแม่ตัวเองเป็นใหญ่ แล้วทำไมเธอถึงไม่เคยหยิบจับงานบ้านอะไรช่วยนางเลยล่ะ!”

หลินเพ่ยเม้มริมฝีปากแน่นสนิท

ภายในใจเต็มไปด้วยคำดูถูกเหยียดหยาม ‘แกต่างหากที่ควรเป็นเครื่องรองมือรองเท้าให้แม่ฉัน แกต่างหากที่ควรทำงานรับใช้แม่ของฉันไปจนตาย จะให้ฉันทำงานบ้านงั้นเหรอ? รอให้ถึงชาติหน้าก่อนเถอะ!’

หลังจากเติ้งซิ่วจือต่อปากต่อคำกับหลินเพ่ยจนหมดคำพูด หล่อนก็หันหน้าไปหาหลินสงแล้วต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ยืนนิ่งเป็นคนบื้อใบ้อยู่ได้! ไม่ได้ยินเหรอว่าน้องสาวของพี่กล่าวหาว่าฉันเป็นคนอกตัญญู? ทั้งยังส่งสายตายุยงให้พี่จัดการกับฉันอีก เอาสิ ทุบตีฉันตามที่หล่อนต้องการเลย!”

หลินเพ่ยประเมินนิสัยเชื่อฟังภรรยาของหลินสงที่มีต่อเติ้งซิ่วจือต่ำเกินไป

หล่อนอุตส่าห์ส่งสายตากระตุ้นให้หลินสงจัดการกับเติ้งซิ่วจือ ทว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ตอบสนอง

แต่เมื่อเติ้งซิ่วจือเปิดโปงเจตนาที่แท้จริงของหล่อน หลินสงกลับหันมาลงไม้ลงมือจนหล่อนเป็นฝ่ายลงไปกองอยู่กับพื้นแทน “ฉันจะจัดการกับเธอเอง ตัวปัญหาอย่างเธอมันสมควรโดนตีตาย!”

หลินสงซึ่งอยู่ในอารมณ์โมโหไม่รู้เลยว่าน้ำหนักมือของตัวเองรุนแรงแค่ไหน

ซุนกุ้ยเซียงและสามีของนางกลัวว่าหลินสงจะขาดสติทำร้ายหลินเพ่ยจนเสียโฉม จึงรีบเข้าไปแยกตัวเขาออกมา

แค่ไม่กี่นาที เหตุการณ์ในบ้านกลับพลิกผันไปจากเดิม ชาวบ้านหลายคนได้ยินเสียงก็กรูกันเข้ามาดู

……………………………………………………………………………………………………………..

(1)วันที่ 5 ของปีใหม่

สารจากผู้แปล

ทุบสั่งสอนน้องสาวเจ้าปัญหานี่ให้หนัก ๆ เลยค่ะ โตมาเป็นผู้หญิงที่มีความคิดน่ากลัวมาก เห็นว่าใครหมดประโยชน์ต่อตัวเองก็พร้อมกำจัดทิ้งหมดโดยไม่สนถึงความสัมพันธ์ก่อนเก่าอะ

ไหหม่า(海馬)