ตอนที่ 320 – ประสบการณ์ของสุ่ยหลินโป

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 320 – ประสบการณ์ของสุ่ยหลินโป

ออกจากวังซ่างชิง โม่เทียนเกอกับฉินซีมองหน้ากัน ทั้งสองล้วนอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

เรื่องราวราบรื่นมาก พวกเขาหยิบสิ่งของเหล่านั้นออกมา ประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่ทั้งสองล้วนไม่ระแวง อีกทั้งยืนยันว่ามีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของประมุขเต๋าจิ้งเหอ นอกจากนี้ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยังระบุโอสถที่อาจจะรักษาบาดแผลให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอได้มาหลายชนิด

โม่เทียนเกอจดจำได้ว่าตัวยาหลักของโอสถหลายชนิดนี้ ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมีอยู่ สามารถแบ่งบางส่วนออกมา

แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ในขณะนี้มีโอสถเหล่านั้นอยู่ เรื่องของซือฟุสามารถเลื่อนออกไปได้ จะอย่างไรโอสถไม่สามารถใช้กินแทนข้าว โอสถเหล่านั้นกับผลทองไร้ดอกเพียงพอให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอใช้ไปหลายปี

“ตอนนี้เล่า กลับไปไหม” ฉินซีถาม

โม่เทียนเกอคิดแล้วเอ่ยว่า “ถือโอกาสไปดูสุ่ยหลินโปเถอะ”

ฉินซีไม่คัดค้าน ทั้งสองจึงหันกลับไปยังวังซ่างชิง

วันนั้นหลังจากพบสุ่ยหลินโป ภายหลังเยี่ยเจินจีได้มารายงานประวัติของสุ่ยหลินโปต่อพวกเขาโดยละเอียดอีก รวมทั้งเรื่องที่พวกเขาประสบมาด้วย เด็กนี้มีความรู้สึกให้สุ่ยหลินโปอย่างลึกซึ้งตามที่คิดเอาไว้ โม่เทียนเกอในวันนี้เป็นคนที่ลิ้มรสชาติของอารมณ์ความรู้สึกมาแล้ว หลังจากฟังก็เกิดจิตสงสารเขา ตอบรับเขาไปว่าจะพยายามรักษาสุ่ยหลินโปสุดความสามารถ

ทั้งสองคนเดินไปบ้านหมิงซินอย่างคุ้นทาง โม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคมอย่างเชี่ยวชาญ เข้าไปในเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ จนกระทั่งถึงห้องพักผ่อน

“หลินโป?” โม่เทียนเกอร้องเรียกคำหนึ่ง

จิตหยั่งรู้ของสุ่ยหลินโปเฉื่อยชาไปมากตามคาด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้สติขึ้นมา รีบลงจากเตียงเปิดประตู “โส่วจิ้งซือจู่ ชิงเวยซือซู”

โม่เทียนเกอยิ้ม ดันนางกลับขึ้นเตียง ลากเก้าอี้สองตัวมากับฉินซี นั่งลงเบื้องหน้านาง “เจ้าไม่ต้องเกร็งไป พวกเราเพียงมาดูสักหน่อย”

“อ้อ” สุ่ยหลินโปส่งเสียงตอบรับ เอ่ยอย่างลังเลอีกว่า “เจินจี…… ไปเอารายรับส่วนของศิษย์ ผ่านไปครู่หนึ่งก็จะกลับมา”

“อืม” โม่เทียนเกอยิ้มแย้ม แต่กลับเอ่ยว่า “พวกเรามาดูเจ้า”

“เอ๊ะ?” พอได้ยินประโยคนี้ สุ่ยหลินโปก็เกร็งขึ้นมาอีก “นี่…… นี่จะได้อย่างไร……”

“ไม่เป็นไร” เผชิญหน้ากับพวกนางสองคน นางเกร็งเช่นนี้ ทำให้โม่เทียนเกอจนใจอยู่บ้าง นางหันหน้าไปมองฉินซี เอ่ยว่า “ซือเกอ มิสู้ท่านไปดูซือฟุก่อนเถิด ข้าคุยกับหลินโป”

ทั้งสองคนเพิ่งออกมาจากทางประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางพูดอย่างนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ฉินซีจากไปก่อน ฉินซีก็รู้ว่าสุ่ยหลินโปเกร็งเช่นนี้ กว่าครึ่งเป็นเพราะเขาที่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยตามน้ำไปกับนางว่า “ได้ ข้าจะรอเจ้าตรงที่ซือฟุ”

“อืม ท่านไปเถอะ”

ฉินซียิ้ม ลุกขึ้นจากไป

พริบตาที่ประตูปิดลง สุ่ยหลินโปก็ถอนหายใจโล่งอกตามคาด

โม่เทียนเกอถามว่า “เจ้ากลัวเขาหรือ”

สุ่ยหลินโปตะลึงไป ก้มหน้าลงตอบว่า “ชิงเวยซือซูโปรดอภัย ระดับการฝึกตนของโส่วจิ้งซือจู่สูงส่งขนาดนี้ ข้าเห็นแล้วเกร็ง…… อีกอย่าง หลังจากเรื่องนั้นมาข้ากลัวมากเวลาเห็นบุรุษ……”

“อ้อ อย่างนี้เอง” โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงความเข้าใจ ในใจอดรู้สึกเห็นใจสุ่ยหลินโปขึ้นมาบ้างไม่ได้ ตัวนางเองก็เคยเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อหลบหนีชะตากรรมเตาหลอม ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนแท้จริง……

โม่เทียนเกอดึงความคิดกลับมาแล้วถามอีกว่า “เจ้าไม่กลัวเจินจี?”

สุ่ยหลินโปสายตาขยับเขยื้อน หลุบตาลงเอ่ยว่า “วันนั้นเดิมทีเป็นข้าที่ดึงเขามาพัวพัน เขากลับไม่ถือสา แล้วยังได้รับความทรมานมากมายขนาดนั้นเพื่อข้า ข้าจะกลัวเขาได้อย่างไร……”

โม่เทียนเกอเห็นว่าถึงนางจะรักษาความเยือกเย็นไว้ มือกลับสั่นเทาอยู่บ้าง จึงยิ้มบาง ๆ ถามตรงประเด็นว่า “เจ้าชอบเจินจีไหม”

สุ่ยหลินโปตัวสั่น เงยหน้าขึ้นมา ในแววตาปรากฏความสับสนวูบผ่านแล้วค่อย ๆ สงบลง เอ่ยตอบว่า “ชอบ”

นางตอบอย่างเรียบง่าย โม่เทียนเกอยิ่งเกิดความรักใคร่ ถามต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะอยู่ร่วมกับเขาไหม”

คำถามนี้กลับทำให้สุ่ยหลินโปเงียบงันไป ผ่านไปครู่หนึ่ง นางเอ่ยว่า “ชิงเวยซือซู ข้ารู้ว่าคุณสมบัติของข้าไม่ดี แล้วยังบาดเจ็บหนักอีก ไม่ได้คู่ควรกับเจินจีจริง ๆ ก่อนที่อาการบาดเจ็บข้าจะหายดี ปัญหาข้อนี้ข้าไม่อยากจะครุ่นคิดมากความ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนเกอตะลึงไป อดนึกกลับไปถึงตัวเองไม่ได้ว่าเคยมีความคิดทำร้ายตัวเองเช่นนี้เหมือนกัน แต่ว่านางไม่เหมือนกับสุ่ยหลินโป ปีนั้นนางรู้สึกว่าด้วยสถานะของฉินซี ตนเองมีความหวังไม่มาก แต่ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอสำหรับเขา

แน่นอนว่าประสบการณ์ของสุ่ยหลินโปกับนางไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้จะมีส่วนที่คล้ายคลึงก็ไม่อาจจะมีความคิดเห็นทุกอย่างเหมือนกัน

เห็นนางเงียบงันไม่พูดจา สุ่ยหลินโปไม่สบายใจอยู่บ้าง ทนอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกว่า “ซือซู ข้าเข้าใจ เจินจีเป็นหลานของท่าน แล้วยังเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ไม่ใช่ผู้ที่ข้าจะหวังสูง ข้า……”

“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้” โม่เทียนเกอขัดคำพูดนาง ยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “เรื่องของเจ้ากับเจินจี ข้าจะไม่ใส่ใจมากนัก เจินจีจะเลือกผู้ใดก็เป็นอิสระของเขา ข้าเชื่อว่าเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีคู่เต๋าคุณสมบัติดี ๆ อะไรมาช่วยตนเองฝึกตน”

สุ่ยหลินโปฟังแล้วเบิกตากว้าง ความหมายของคำพูดนี้คือ……

โม่เทียนเกอเอ่ยต่อว่า “วันนี้ข้ามาหาเจ้า หนึ่งคือดูอาการบาดเจ็บของเจ้า สองคิดอยากจะฟังเรื่องราวของเจ้า จะอย่างไรเจินจีชมชอบเจ้า ดังนั้นข้าก็อยากทำความเข้าใจเรื่องราวของเจ้ามาก” นางยิ้ม “เจ้าเต็มใจจะพูดกับข้าไหม”

สุ่ยหลินนิ่งงันไปพักใหญ่แล้วจึงมีปฏิกิริยาขึ้นมา “อ้อ แน่นอน แน่นอน……”

นางสงบสติลง ค่อย ๆ เริ่มกล่าวว่า “ปีนั้น ชิงเวยซือซูเดินทางผ่านหลินไห่ของเรา มอบวิชาเวทหนึ่งเล่มให้ข้า ข้าจึงเหยียบลงบนเส้นทางเซียน…… คุณสมบัติของข้าไม่ดี ฝึกตนช้ามาก โชคดีที่วิชาเวทเล่มนั้นที่ซือซูมอบให้ข้าดีมาก ข้าเข้าสู่หลอมรวมพลังวิญญาณขั้นหนึ่งได้อย่างราบรื่นมาก ผู้ฝึกตนสตรีของหลินไห่เรา หากมีระดับการฝึกตนก็จะสามารถเข้าสภาปี้เซวียนแล้ว ดังนั้นข้าพอถึงหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นหนึ่งก็คิดจะไปหากูกูรับคนของสภาปี้เซวียน” พูดถึงตรงนี้ นางยิ้มขึ้นมา เอ่ยว่า “เวลานั้นเกิดเรื่องอะไร คิดว่าชิงเวยซือซูจะต้องทราบ หลินไห่ปั่นป่วนหนัก สภาปี้เซวียนแทบล่มสลาย ผู้ฝึกตนอิสระล้วนหลบซ่อนตัว ข้าในเวลานั้นมีอายุเพียงสิบกว่าปี ยังโง่เขลานัก ไปสภาปี้เซวียนแทบจะเป็นการเดินเข้ากับดักเอง โชคดีที่มีคนช่วยชีวิตจึงหลบพ้นรังสุนัขป่า”

ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอพยักหน้า “โชคของเจ้าไม่เลวเลย”

“ใช่เจ้าค่ะ” สุ่ยหลินโปยิ้มเอ่ยว่า “ถึงแม้ข้ามักจะพบกับเรื่องโชคร้าย แต่สามารถพบกับผู้สูงส่งเสมอ เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี คนที่ช่วยข้าผู้นั้นก็เป็นซือเจี่ยของสภาปี้เซวียน หลังจากนางช่วยเหลือข้าก็สงสารที่ข้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็เลยพาข้าไปด้วย”

“โชคดีที่เรื่องราวพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปุถุชน ครอบครัวพวกข้าอาศัยอยู่ในที่ห่างไกล ยามปกติไม่มีผู้ฝึกตนไปถึงที่นั่นเลย ข้าติดตามซือเจี่ยท่านนั้นกลับไปถึงทะเล หาเกาะเกาะหนึ่งในตงไห่หลบซ่อนตัว” พูดถึงตรงนี้ นางยิ้มขึ้นมา “อันที่จริง นั่นเป็นช่วงเวลาที่ข้ารู้สึกมีความสุขที่สุดเลย ใกล้ ๆ กับเกาะนั้นมีผู้ฝึกตนอย่างพวกเรามากมายหลบซ่อนอยู่ ทุกคนเห็นใจกันในยามทุกข์ยาก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ด้านการฝึกตนหากมีอะไรไม่เข้าใจ พวกเขาล้วนจะช่วยข้าทำความเข้าใจสุดกำลัง ถึงแม้ทรัพยากรจะขาดแคลน อีกทั้งไม่มีเส้นเลือดวิญญาณ ฝึกตนได้ช้ามาก แต่ข้ายังรู้สึกมีความสุขมาก”

คิดถึงเรื่องอดีต สุ่ยหลินโปเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ที่นั่น ข้าเรียนรู้เรื่องราวมากมาย ซือเจี่ยท่านนั้นช่วยข้ามากมาย น่าเสียดายที่ภายหลังซือเจี่ยท่านนั้นไม่ระวังถูกอสูรมารทำร้าย พวกเราไม่มีโอสถ ได้แต่มองดูซือเจี่ยสิ้นชีพกับตา……”

นางสูดลมหายใจ เอ่ยต่อว่า “ซือซูท่านก็รู้ สถานการณ์ของบ้านข้าไม่ได้ดีมาก ท่านพ่อหาปลาอย่างเหน็ดเหนื่อยมากทุกวันแต่ก็ทำเงินไม่ได้สักเท่าไหร่ ข้าจะอย่างไรเป็นผู้ฝึกเซียนแล้ว ใช้วิชาเซียนจับปลาหายากกลับไปให้ท่านพ่อแลกเงินบ่อยครั้ง ถึงระดับการฝึกตนของข้าจะต่ำมาก แต่เรื่องราวประเภทนี้ยังทำได้ เช่นนี้สถานการณ์ในบ้านก็ดีขึ้นมากเลย เสี่ยวเป่าก็สามารถไปเล่าเรียน…… หากเป็นเช่นนี้ไปตลอดก็คงจะดีมาก……”

น้ำเสียงของนางลดต่ำลง คงจะนึกถึงเรื่องที่ไม่มีความสุขขึ้นมา โม่เทียนเกอเลยถามว่า “เช่นนั้นเจ้ามาถึงคุนอู๋ได้อย่างไร ม่านพลังเคลื่อนย้ายจากหลินไห่สู่คุนอู๋มิใช่อยู่ในสภาปี้เซวียนหรือ”

สุ่ยหลินโปยิ้มขมแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ผ่านมาทางม่านพลังเคลื่อนย้าย” นางหยุดชั่วขณะแล้วพูดต่อว่า “ใกล้ ๆ กับเกาะที่พวกเราอาศัยอยู่บางครั้งก็จะมีอสูรมารออกอาละวาด มีครั้งหนึ่งข้าไปจับปลาแล้วไม่ทันระวังพบกับอสูรมารหนึ่งตัว ตอนที่หนีเอาชีวิตรอดได้ตกลงไปในวังน้ำวนแห่งหนึ่ง ตื่นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ที่อาณาจักรเยียน”

“ถึงกับเป็นเช่นนี้……” โม่เทียนเกอประหลาดใจเล็กน้อย ระยะห่างระหว่างหลินไห่กับอาณาจักรเยียนไม่ได้ใกล้กัน ดูท่าวังน้ำวนนี้คงจะไม่ธรรมดา ถึงกับสามารถเคลื่อนย้ายคนไปถึงสถานที่ห่างไกลเช่นนี้

สุ่ยหลินโปยิ้มเอ่ยว่า “ทุกครั้งที่มีอันตรายแก่ชีวิต โชคของข้าจะดีมากตลอด หลังจากไปถึงอาณาจักรเยียน ข้าค้นพบว่าตนเองกลับไปไม่ได้แล้ว ไม่มีหนทาง ได้แต่ปรับตัวเองให้ดี ๆ ตอนอยู่หลินไห่ก็ได้ยินมาว่าคุนอู๋เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกเซียน ในเมื่อข้าออกมาแล้วก็ย่อมคิดจะไปคุนอู๋…… ภายหลังเดินทางพันลี้มาถึงคุนอู๋จึงพบว่าด้วยคุณสมบัติของข้าจะไม่มีสำนักฝึกเซียนรับตัวข้าเลย ข้าก็ทำงานรับจ้างทั่วไปในตลาด หาศิลาวิญญาณมาให้ตนเองฝึกตน”

ชีวิตเช่นนี้ไม่ได้แปลกหน้ากับโม่เทียนเกอ ปีนั้นนางกับท่านอารองก็เคยผ่านมาเช่นนี้ เพียงแต่นางประหลาดใจอยู่บ้าง “ด้วยคุณสมบัติของเจ้า หากไม่มีศิลาวิญญาณจำนวนมากเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างฐานพลัง แม้แต่คิดจะฝึกตนไปถึงหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นห้าขึ้นมายังค่อนข้างยาก เจ้าทำอย่างไร”

สุ่ยหลินโปเอ่ยว่า “มีครั้งหนึ่งข้าทำงานให้กับร้านขายยา ไปที่ป่าทิศใต้เพื่อเก็บสมุนไพร เก็บเห็ดวิญญาณหยกม่วงอายุหลายร้อยปีมาได้หลายต้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยซ่อนเอาไว้ ภายหลังแบ่งขายพวกมันออกไปที่งานชุมนุมค้าขาย…… ก็ด้วยศิลาวิญญาณก้อนนี้ที่ทำให้ข้าฝึกไปถึงหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นสิบ ซื้อยาสร้างฐานพลัง”

“เจ้าสร้างฐานพลังครั้งเดียวหรือ”

สุ่ยหลินโปพยักหน้า “อืม แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่กล้าเชื่อ อันที่จริงหลังจากซื้อยาสร้างฐานพลัง เดิมทีข้าไม่ได้มีศิลาวิญญาณมากน้อยเท่าไหร่ หากสร้างฐานพลังไม่สำเร็จ ชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงจะไม่มีโอกาสสร้างฐานพลังอีก ใครจะรู้ว่าสวรรค์ผู้เฒ่าเมตตา ถึงกับให้ข้าสร้างฐานพลังสำเร็จในคราเดียว” พูดถึงตรงนี้ นางหัวเราะขึ้นมา

โม่เทียนเกอพยักหน้าเงียบ ๆ คุณสมบัติรากวิญญาณห้าราก สร้างฐานพลังครั้งเดียวสำเร็จก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ แต่นั่นก็ต้องโชคดีอย่างใหญ่หลวงจริง ๆ ในคนหลายพันคนก็ไม่แน่ว่าจะมีสักคน

คิดถึงตรงนี้ นางใช้จิตหยั่งรู้ครอบคลุมสุ่ยหลินโปอย่างไร้ร่องรอย พบว่านางอารมณ์สงบนิ่ง น่าจะไม่ได้กำลังโกหก จึงเผยรอยยิ้มออกมา “เป็นโชคโดยแท้ ในคนที่ข้ารู้จักแทบไม่มีใครที่สามารถมีรากวิญญาณห้ารากแล้วสร้างฐานพลังสำเร็จในครั้งเดียว”

ปีนั้นนางยังไม่ได้พบจงมู่หลิง ตอนที่เป็นเพียงรากวิญญาณขยะห้าราก สร้างฐานพลังสองครั้ง อีกทั้งครั้งที่สองยังเป็นการกลืนยาสร้างฐานพลังสามเม็ดรวดจึงสร้างฐานพลังได้สำเร็จ เทียบกันแล้วโชคของสุ่ยหลินโปยิ่งกว่าดีเสียอีก

“อืม ตัวข้าเองก็รู้สึกเหลือเชื่อ” สุ่ยหลินโปพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ถึงแม้ปีเหล่านั้นข้าล่องลอยไปทั้งสี่ทิศ ทุกข์ทรมานไม่น้อย แต่สวรรค์ผู้เฒ่าอวยพรให้ข้าเสมอ ทุก ๆ ครั้งให้ข้าหนีเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้ แล้วยังให้ข้าสร้างฐานพลังสำเร็จในครั้งเดียว ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งนี้ ล้วนจะบอกตัวเองว่าต้องใช้ชีวิตให้ดี ๆ”

เห็นนางยิ้มบาง ๆ อย่างสงบนิ่ง ท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ โม่เทียนเกอแอบถอนหายใจในใจ เด้กคนนี้หากไม่ได้โกหก ด้วยความหนักแน่นมั่นคงของนาง การที่สามารถอยู่ร่วมกันนางก็เป็นโชคดีของเจินจี

…………………………………….

ตอนที่ 321 – ความลำบากของการฝึกตน