ตอนที่ 321 – ความลำบากของการฝึกตน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 321 – ความลำบากของการฝึกตน

เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของสุ่ยหลินโป โม่เทียนเกอหาโอกาสไปเยี่ยมเยือนค่วงจู่ ค่วงจู๋ซือเกอผู้นี้หลังจากก่อเกิดตานยังคงสงบนิ่งเย็นชาเหมือนแต่ก่อน ทั้งไม่กระตือรือร้นต่อนางเนื่องจากสถานะในปัจจุบันแล้วก็ไม่ได้ชืดชาต่อนาง หลังจากต้อนรับกันอย่างจริงใจ ค่วงจู๋ซือเกอผู้นี้ในที่สุดก็ตกลงว่ามีเวลาว่างแล้วจะไปดูสุ่ยหลินโป ทำให้โม่เทียนเกอถอนหายใจโล่งอก

วิชาเวทที่พวกผู้ฝึกตนแพทย์ฝึกฝนกับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนเวทไม่เหมือนกันเป็นอย่างมาก วิชาเวทของพวกเขาใส่ใจการฟูมฟักชีพจรปราณตานเถียนในร่างกายมากกว่า คล้ายกับวิชารักษาสุขภาพของโลกปุถุชนเป็นอย่างมาก เพียงแต่เทียบกันแล้วร้ายกาจกว่ามาก ฝึกมาถึงระดับก่อเกิดตาน ค่วงจู๋ซือเกอผู้นี้รอบรู้เรื่องร่างกายของผู้ฝึกตนดุจหลังมือตนเอง ถึงแม้ไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของสุ่ยหลินโป อย่างน้อยที่สุดก็สามารถแนะนำความเห็นออกมาบ้าง

รอจนจัดการธุระพวกนี้เสร็จ โม่เทียนเกอย้ายไปที่ถ้ำพำนักของฉินซีอย่างเป็นทางการ

ถ้ำพำนักของฉินซีถึจะไม่ได้ใหญ่อย่างถ้ำพำนักก่อนหน้านี้ของโม่เทียนเกอ แต่ก็ไม่ถือว่าเล็ก ห้องหลอมยา ห้องหลอมอุปกรณ์ ห้องสัตว์วิญญาณไม่ต้องพูด เตรียมพร้อมครบถ้วน ยังมีถ้ำพำนักเล็ก ๆ หลายห้อง เดิมทีเตรียมไว้เผื่อเขารับศิษย์ ถึงแม้จำนวนไม่มาก แต่ด้วยนิสัยของพวกเขาสองคน คาดว่าก็คงไม่รับศิษย์สักเท่าไหร่ น่าจะพอใช้งานแล้ว

แต่ว่าคนสองคนใช้ชีวิตจะอย่างไรก็ไม่เหมือนกับคนคนเดียว ฉินซีตั้งใจเตรียมห้องกักตนอีกหนึ่งห้องเผื่อใช้ในยามจำเป็น ห้องฝึกตนดั้งเดิมของเขาแบ่งให้ทั้งสองคนร่วมกันใช้

เมื่อมีประสบการณ์ฝึกตนร่วมกันในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน พวกเขาล้วนทราบว่าพวกเขาฝึกตนในห้องฝึกตนเดียวกันจะไม่ส่งผลกระทบต่อกันและกันเลย ดังนั้นเป็นไปได้ที่จะใช้ห้องเดียว ไม่ต้องแบ่งแยกมาก

แต่ว่าเกี่ยวกับสถานที่ฝึกตนในยามปกติ ทั้งสองคนมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน

“พวกเราต้องจัดห้องฝึกตนอย่างนี้ด้วยหรือ ถึงอย่างไรก็สามารถเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปฝึกตน ไม่ใช่หรือ”

โม่เทียนเกอพูดอย่างนี้ ฉินซีถอนหายใจแล้วจึงเอ่ยว่า “เทียนเกอ บางทีเจ้าอาจไม่ได้สังเกตว่าเจ้าอยู่ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนฝึกตนได้โดยไร้แรงกดดันสักนิด ข้ากลับมิใช่”

ประโยคนี้ทำให้โม่เทียนเกอตะลึงงัน “แรงกดดัน?”

“อืม” ฉินซีเอ่ย “รากวิญญาณต้นกำเนิดของเจ้าสอดรับกับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด ในสภาพแวดล้อมอย่างโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นการหนุนเสริมกันและกัน แต่สำหรับข้าแล้ว ข้ามีแต่ตอนที่ฝึกวิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์จึงจะไร้แรงกดดันสักนิดข้างใน เวลาอื่น ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์หยางบริสุทธิ์หรือว่าทักษะเวทอื่น ๆ แรงกดดันล้วนมหาศาล”

“ถึงกับมีเรื่องเช่นนี้……” โม่เทียนเกอรู้สึกเหลือเชื่อ

ฉินซีขมวดคิ้วพูดว่า “ปัญหานี้ข้าคิดอยู่เป็นนานก็ยังคิดไม่เข้าใจ หากไปถามซือฟุ ด้วยความรอบรู้ของซือฟุอาจจะสามารถให้คำแนะนำกับพวกเราได้สักหน่อย แต่ว่า……”

ถึงจะพูดว่าทั้งสองคนล้วนไว้วางใจประมุขเต๋าจิ้งเหอ แต่ว่าความลับหากคนที่รู้มีมากเกินไปก็จะไม่ได้เป็นความลับแล้ว ดังนั้นพวกเขาเพียงตั้งใจจะใช้ชื่ออื่นมาช่วยซือฟุรักษาบาดเจ็บ ทว่าไม่ได้ตั้งใจจะเอ่ยถึงเรื่องของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

ฉินซีเอ่ยต่ออีกว่า “ตัวข้าเองครุ่นคิดอยู่เป็นนาน บางทีเป็นเพราะว่าพลังวิญญาณข้างในหนาแน่นเกินไป ข้านอกจากวิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์ที่มั่นใจว่าเป็นวิชาเวทโบราณกาล อันอื่นคงจะผ่านการปรับปรุงโดยชนรุ่นหลัง แล้วร่างของข้าก็เป็นรากวิญญาณคู่ด้วย…… เทียนเกอ ข้ากับเจ้าถึงที่สุดแล้วไม่ได้เหมือนกัน”

ประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความจนใจ พวกเขาไม่เหมือนกันจริง ๆ คุณสมบัติและวิชาเวทของโม่เทียนเกอล้วนสืบทอดมาจากโบราณกาล สภาพแวดล้อมในการฝึกตนก็เป็นโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของโบราณกาลอีก ดังนั้นสภาพการณ์ของนางพูดไปแล้วไม่ได้ต่างจากผู้ฝึกตนของโบราณกาลนัก แต่ฉินซีกลับมิใช่ เขาเป็นผู้ฝึกเซียนยุคสมัยนี้ล้วน ๆ เพียงแค่ฝึกวิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์หนึ่งเล่มเท่านั้น

โม่เทียนเกอก็ถอนหายใจ นางรู้ว่าสิ่งที่ฉินซีพูดเป็นความจริง อีกอย่าง เขาในปัจจุบันนี้เป็นจิตวิญญาณใหม่แล้ว เรื่องราวมากมายสัมผัสได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่านาง

แต่ในแววตานางมีความหวังลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสหยวนเป่าท่านนั้นก็เหมือนกับท่าน สิ่งที่ฝึกก็เป็นศาสตร์หยางบริสุทธิ์ แต่เขาอยู่ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนกลับสามารถฝึกตนได้ดีมาก…… จะต้องมีหนทาง!”

”อืม” ฉินซียิ้มบาง “จุดนี้ข้าไม่เคยสงสัย เพียงแต่ พวกเราอาจจะต้องรอไปอีกนาน”

เขาทอดมองโม่เทียนเกอ ในแววตามีหลายสิ่งเคลื่อนผ่าน มีความรักมีความยากจะปล่อยวาง แล้วก็มีความจนใจและยุ่งยากใจ

เขาเคยนึกว่าสตรีของตนเองจะต้องคุ้มครองอยู่ใต้ปีกให้ดี ๆ แต่เทียนเกอทำให้เขารู้ว่า สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่การคุ้มครอง ทว่าเป็นการมีจิตสื่อถึงกัน เดินไปข้างหน้าเคียงข้างกัน ตอนนี้เขาจิตวิญญาณใหม่แล้ว มีความสามารถเพียงพอที่จะคุ้มครองนาง แต่ยิ่งมายิ่งรู้สึกจนใจ – ด้านระดับฝึกตน นางไม่เท่าเขา แต่ด้านการฝึกตน พวกเขากลับไม่อาจยืนอยู่ด้วยกัน

สำหรับเทียนเกอ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นสถานที่ในการฝึกตนที่ดีที่สุดของนาง แต่หลังจากจิตวิญญาณใหม่ ฉินซียิ่งมายิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าด้วยสภาพการณ์ขณะนี้ของตนเอง การฝึกตนที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีเลย

แต่สิ่งที่เทียนเกอพูดก็ไม่ผิด หยวนเป่าสามารถฝึกตนในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เขาก็จะต้องสามารถ เช่นนั้นแล้วสรุปว่าเขาในตอนนี้แตกต่างที่ตรงไหนล่ะ

หยวนเป่ามีร่างหยางบริสุทธิ์ ถึงเขาจะไม่ได้เป็นแต่กำเนิด แต่ภายใต้การแปลงสภาพของลูกประคำวิญญาณพลังหยางก็ไม่ได้ต่างกันสักแค่ไหน วิชาเวทหลักของหยวนเป่าคือศาสตร์หยางบริสุทธิ์ ศาสตร์หยางบริสุทธิ์ของเขาก็ฝึกถึงระดับค่อนข้างสูงแล้ว แน่นอนว่าหยวนเป่าเป็นผู้ฝึกตนแปลงเทพ ระดับความลุ่มลึกของระดับการฝึกตนยังเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเปรียบเทียบได้……

จริงสิ! ในแววตาของฉินซีมีแสงวูบขึ้นมา หลังเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่เขาจึงได้ค้นพบว่าจิตวิญญาณใหม่เทียบกับก่อเกิดตานแข็งแกร่งกว่ามากมายนัก ระดับความทนทานของชีพจรปราณ ความจุพลังวิญญาณของตานเถียน เทียบกับก่อเกิดตานแล้วเหนือกว่าเป็นร้อย ๆ เท่า! เช่นเดียวกัน ตอนที่เขาฝึกตน พลังวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ก็เพิ่มพูนขึ้นถึงระดับที่น่ากลัว ก่อเกิดตานถึงจิตวิญญาณใหม่เป็นเช่นนี้แล้ว อย่างนั้นจิตวิญญาณใหม่ถึงแปลงเทพเล่า? เหตุที่หยวนเป่าอยู่ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นดั่งปลาได้น้ำจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนแปลงเทพหรือไม่ พลังวิญญาณของโลกมนุษย์ไม่อาจเติมเต็มการฝึกตนของเขาได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถปรับตัวเข้ากับความหนาแน่นของพลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ดีมาก?

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวก็ยุ่งยากอีกแล้ว เรื่องอื่นล้วนพูดกันได้ มีแต่ระดับการฝึกตนนี่อย่างเดียวที่เขารีบร้อนไม่ออก เทียนจี๋ไม่มีผู้ฝึกตนแปลงเทพปรากฏออกมาเลยหลายหมื่นปีแล้ว เขาไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าตนเองจะเลื่อนระดับเป็นแปลงเทพได้หรือไม่!

“เป็นไรหรือ” โม่เทียนเกอเห็นเขาสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่งก็ส่งเสียงถามออกมา

ฉินซีถอนหายใจ อธิบายปัญหาที่ตนเองเพิ่งจะคิดออกมาให้กับนางทีละข้อ

โม่เทียนเกอก็ตกอยู่ในห้วงคิด

เดิมทีนึกว่าพวกเขาฝึกตนร่วมสัมพันธ์เป็นคู่สวรรค์สร้าง บวกกับวิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์อินหยางที่หยวนเป่าให้มาอีก เส้นทานฝึกเซียนภายภาคหน้าจะเดินได้ง่ายขึ้นมาก แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ ความยากลำบากที่ไม่เคยคิดถึงล้วนผุดขึ้นมาบนผิวน้ำทีละอย่าง ๆ – หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาเพียงสามารถรักษาความเร็วในการฝึกตนดั้งเดิมเอาไว้ ไม่อาจจะแสดงออกถึงข้อได้เปรียบของร่างกายทั้งสองฝ่ายให้ดียิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ยุคสมัยโบราณกาล ผู้ฝึกตนบรรลุมรรคผลไปไม่น้อย ด้วยสภาพการณ์ของนาง ถึงจะไม่สามารถบรรลุมรรคผล อย่างน้อยก็สามารถฝึกตนได้เท่ากับจงมู่หลิง แต่ฉินซีเล่า? ฉินซีเป็นผู้ฝึกตนอัจฉริยะของยุคสมัยนี้ แต่คอขวดของการเลื่อนระดับแปลงเทพ ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะก็ยากที่จะข้ามผ่าน

“ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดเลย” ฉินซีเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าบางทีรอจนเจ้าเป็นจิตวิญญาณใหม่แล้ว ทุกสิ่งก็จะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ถึงอย่างไรเจ้ากับข้าตอนนี้ระดับการฝึกตนยังห่างกันช่วงใหญ่ แม้แต่วิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์อินหยางยังไม่อาจจะก้าวข้าม”

“อืม” โม่เทียนเกอก็รู้ว่าฉินซีคิดไม่ออก ด้วยขอบเขตสายตาของระดับการฝึกตนของนางยากมากที่จะคิดหนทางออกมา โชคดีที่พวกเขามีเวลามากมาย ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนปช่วงหนึ่ง

ในเมื่อฉินซีรู้การคงอยู่ของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้ว อย่างนั้นโอสถพวกนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดแล้ว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามารถมีอายุขัยไปถึงพันปี หากระดับการฝึกตนล้ำลึก รักษาสภาพให้ดี สองพันปีก็มิใช่จะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งบวกกับการใช้หญ้าวิญญาณของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนหลอมเป็นยาอายุวัฒนะ ชีวิตของฉินซีสามารถไปถึงสองพันกว่า แล้วเขาตอนนี้ก็เพียงแค่สองร้อยปีต้น ๆ เท่านั้น

ส่วนโม่เทียนเกอ อายุขัยของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานก็มีหกร้อยถึงแปดร้อยปี แล้วนางก็เคยกลืนยาอายุวัฒนะลงไป ปัจจุบันนี้มีชีวิตได้อีกหนึ่งพันกว่าปี ยิ่งกว่านั้นนางมีความมั่นใจต่อความเร็วในการฝึกตนของตนเองมาก ไม่ต้องพูดถึงร้อยปี สองร้อยปีจะสามารถผูกจิตวิญญาณได้แน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ วันเวลานับพันปี ปัญหาพวกนี้สามารถจะค่อย ๆ ไปแก้ไข

“ยังมีอีกเรื่อง” โม่เทียนเกอคิดขึ้นมาได้ “ท่านรู้สึกว่าสุ่ยหลินโปคนนี้เป็นอย่างไร”

ถึงแม้ว่าการสนทนากับสุ่ยหลินโปฉินซีจะไม่ได้เข้าร่วม แต่ว่าด้วยพลังของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ จิตหยั่งรู้ของเขาไม่ได้ไปจากบ้านหมิงซินเลย เนื้อหาในบทสนทนาของพวกนางเขาก็รู้อย่างแจ่มแจ้ง

ฉินซีคิดแล้วเอ่ยว่า “นอกจากที่มาซึ่งไม่อาจพิสูจน์ สิ่งอื่นไม่มีข้อตำหนิเลย”

โม่เทียนเกอผงกศีรษะ นี่ก็เป็นข้อสรุปของนาง

มาจากตงไห่ เป็นสหายเก่าของปีนั้น พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สุ่ยหลินโปพูดมาเอง แต่ว่าหนูน้อยสกุลสุ่ยของปีนั้นยังเล็กนัก นางไม่อาจจดจำออกเลย หรือก็คือ นางไม่อาจยืนยันว่าสุ่ยหลินโปเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่มาจากตงไห่คนนั้นจริงหรือไม่

นอกจากส่วนนี้ เรื่องอื่นที่นางพูดล้วนสามารถไปพิสูจน์ ด้วยกำลังคนของโรงเรียนเสวียนชิง การสืบสวนประสบการณ์ของผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย และเรื่องนี้นางได้แอบสั่งการให้โถงผู้ดูแลไปดำเนินการแต่แรกแล้ว

“อย่ากังวลใจเกินไป” ฉินซีปลอบนาง “ถึงอย่างไรนางเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังคนหนึ่ง ทั่วทั้งวังซ่างชิงล้วนอยู่ในการควบคุมของจิตหยั่งรู้ของซือฟุ หากนางมีอะไรไม่ถูกต้อง ซือฟุก็เตือนพวกเราแต่แรกแล้ว”

“อืม” โม่เทียนเกอคิดแล้วก็ใช่ บางมีพวกเขาสองคนประสบการณ์ยังไม่เพียงพอ ซือฟุกลับเป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวจริงเสียงจริง ถึงแม้ขณะนี้บนร่างบาดเจ็บสาหัส ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งคิดจะตบตาเขาก็เป็นไปไม่ได้ ภายใต้แรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับสูง ผู้ฝึกตนระดับต่ำพูดโกหกได้ยากมาก

ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอจู่ ๆ ยิ้มออกมา “พวกเราสองคนถึงกับกังวลตื่นตูมเพราะผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังคนหนึ่ง เฮ้อ!”

ฉินซียิ้ม ๆ เอ่ยว่า “มิอาจไม่รอบคอบ หากนางเป็นเพียงศิษย์สามัญก็แล้วไป สำนักไหนจะไม่มีหูตาของสำนักอื่นเล่า แต่เจินจีมีความรักต่อนาง เรื่องนี้ก็จะไม่เหมือนกันแล้ว เจินจีเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของข้า แล้วก็เป็นหลานของเจ้า พูดได้ว่าเป็นผู้เยาว์ที่ใกล้ชิดพวกเราที่สุด หากพวกเขาฝึกตนร่วมสัมพันธ์ สถานะของสุ่ยหลินโปนี้ก็จะไม่ธรรมดาแล้ว”

“อืม” โม่เทียนเกอจู่ ๆ มีความคิดอย่างหนึ่ง เอ่ยว่า “จริงสิ สมมติว่านางไม่มีข้อสงสัย ข้าสามารถรับนางเป็นศิษย์ ข้าจำได้ว่านางมีคุณสมบัติห้ารากวิญญาณ ไม่แน่ว่าสามารถฝึกศาสตร์แห่งต้นกำเนิด”

ฉินซีอดยิ้มไม่ได้ เอ่ยว่า “ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดไหนเลยจะเป็นผู้ฝึกตนคุณสมบัติห้ารากวิญญาณมั่ว ๆ สักคนก็สามารถฝึกฝนได้? ข้าเห็นว่าสุ่ยหลินโปนี้ถูกโฉลกกับเจ้า แล้วเจ้าก็อยากจะให้เจินจีสบายใจสินะ?”

ถูกเขาพูดแทงใจดำ โม่เทียนเกอก้มศีรษะอย่างเขินอายอยู่บ้าง แต่แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองคิดไม่ได้ผิด เอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “ปัจจุบันนี้ข้าเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว การรับศิษย์สักคนเป็นสิ่งสมควร อย่างนี้มีธุระก็สามารถให้คนวิ่งทำธุระ”

“อืม อันที่จริงก็สมควร” ฉินซีพยักหน้า แต่พริบตาถัดมาก็เหลือบมองนางเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แต่ว่า อาจารย์เต๋าชิงเวย เจ้าเป็นอัจฉริยะที่ก่อเกิดตานในร้อยปี แล้วยังเป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุขเต๋าจิ้งเหอ คู่เต๋าฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของประมุขเต๋าโส่วจิ้ง อยากจะรับศิษย์คุณสมบัติอะไรจะรับไม่ได้หรือ ดันอยากจะรับศิษย์คุณสมบัติห้ารากวิญญาณหนึ่งคน แล้วยังครึ่งเป็นครึ่งตายด้วย?”

“……” โม่เทียนเกอหัวเราะแห้ง ๆ ได้แต่ยอมรับว่า “ก็ได้ หากสุ่ยหลินโปรักษาหายดีแล้ว เจินตีต้องอยากฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับนางเสียแปดส่วน ถึงเวลาข้ารับนางเป็นศิษย์ก็ถือว่าเป็นของขวัญให้เจินจี”

“อืม” ฉินซีเห็นพ้อง แต่เขายังเน้นย้ำว่า “เรื่องนี้ไว้ทีหลังค่อยว่ากันใหม่ อย่างน้อยที่สุดต้องสืบที่มาของนางให้ชัดเจน ยืนยันว่าไร้ข้อกังขาแล้วถึงจะได้”

“วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้ารู้”

………………………………..

เดี๋ยวก็หลินไห่เดี๋ยวก็ตงไห่ งงอยู่นะ หรือว่าตงไห่เป็นคำบอกทิศทาง ควรจะแปลเป็นทะเลตะวันออกไหมเนี่ย……