”ดวงตาแกลุกโชนมาก”

 

“นายก็เหมือนกันแหละ คารัค…”

 

 ก่อนอินกองจะกุมอกตัวเองพลางส่งเสียงร้องเจ็บปวด

 

“ทำอะไรนั่น? เจ็บซะที่ไหน?”

 

“รับมุขหน่อยสิ เอาซะผมไม่รู้จะชมหรือบ่นเลยเนี่ย”

 

 ทั้งที่มองเห็นทะลุปรุโปร่งขนาดนั้น แต่ทำไมถึงซื่อบื้ออ่านบรรยากาศไม่เป็นเลย?

 

‘นี่มันพระเอกตัวจริงชัดๆ’

 

 ท่าทางตรงไปตรงมาของเจ้าออร์คทำให้อินกองอดคิดไม่ได้ สักพักคารัคก็พูดขึ้นหลังจากจ้องอินกอง

 

“เอาเป็นว่าร่างกายดีขึ้นหรือยัง?”

 

 ภายใต้คำพูดนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใย อินกองตีอกตัวเองก่อนจะตอบ

 

“ผมดีขึ้นเยอะแล้ว สบายมาก”

 

 ลมปราณคือพลังชีวิต การที่ลมปราณของอินกองฟื้นฟูนั่นย่อมแสดงถึงร่างกายที่ฟื้นฟู

 

“ถึงงั้นก็แปลก นี่ถ้าเป็นข้าหลับไปสี่วัน ตื่นมาคงหิวจนท้องกิ่ว”

 

“นั่นสินะ จะว่าไปแล้วทำไมผมไม่รู้สึกหิวเลย?”

 

 อินกองลูบท้องตัวเอง เขาไม่รู้สึกปวดท้องแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเขาไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อย

 

 เมื่อนับจากการทานอาหารวันละสามมื้อแล้ว อินกองอดอาหารไปถึงสิบสองมื้อด้วยกัน แต่เขากลับไม่รู้สึกหิวแต่อย่างใด

 

 แล้วกรีนวินด์ก็ตอบข้อสงสัยของอินกองและคารัค

 

“นี่ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผลึกจันทรา ผลึกจันทราฟื้นฟูร่างกายระหว่างที่นายท่านหลับ นั่นรวมไปถึงสารอาหารทั้งหลายที่บกพร่องไปด้วย”

 

 กรีนวินด์ปรากฏกายข้างอินกองราวปกติ คารัคที่เริ่มคุ้นเคยกับกรีนวินด์แล้วถามต่ออย่างเหลือเชื่อ

 

“เอ่อ แบบนี้ก็หมายความว่าแกจะไม่รู้สึกหิวอีกแล้ว?”

 

“ไม่ใช่แบบนั้น ที่นายท่านตื่นขึ้นหมายถึงร่างกายกลับสู่ปกติ สักพักนายท่านก็จะหิวเหมือนเดิม”

 

 กรีนวินด์ตอบข้อสงสัยอย่างไม่อ้อมค้อม คารัคถอนหายใจออกมาอย่างหมดห่วง

 

“ค่อยยังชั่ว นี่ถ้าแกเสียความอยากอาหารไปคงแย่น่าดู”

 

 ไม่มีความอยากอาหาร อินกองก็จะไม่ต้องการอาหาร และนั่นย่อมทำให้เขาเสียสุนทรียภาพในการรับประทานอาหารไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว

 

‘สมแล้วที่เป็นออร์คอัจฉริยะ’

 

 ระบบกระบวนการทางความคิดของคารัคต่างไปจากออร์คทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

 

 อินกองชื่นชมคารัคก่อนจะพูดเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

“แล้วราชวังของไลแคนโทรปเป็นยังไงบ้าง? ต่างจากวังจอมมารเยอะมากมั้ย?”

 

“หา? ที่นี่ไม่ใช่วังไลแคนโทรปซักหน่อย เป็นแค่บ้านพักรับรองของขุนนางหรืออะไรนี่แหละ”

 

 คารัคเอียงคออย่างสับสน อินกองหันไปจ้องกรีนวินด์อย่างไม่ปรานี

 

“กีวี่?”

 

 เดาได้ไม่ยากว่าอินกองกำลังเรียกใคร แต่กรีนวินด์ไม่สนใจเขาและพยายามหลบสายตา

 

“กีวี่หายไปไหนแล้ว? คารัคเห็นบ้างไหม?”

 

 คารัคหัวเราะออกมาในทันที ส่วนกรีนวินด์ก็หันมาพูดตอบอินกองอย่างไม่ใยดี

 

“ข้าก็แค่คิดว่ามันเป็นราชวัง นายท่านเป็นเจ้านายที่ดี แต่พักหลังข้ารู้สึกว่านายท่านนิสัยไม่ดีเอามากๆ”

 

 กรีนวินด์จ้องมองอินกองอย่างเย็นชา นางเป็นถึงเทพารักษ์แห่งที่ราบอินคาที่เหล่าเซนทอร์และเซเทอร์บวงสรวง แต่อินกองกลับรู้สึกว่านางน่ารักน่าเอ็นดู

 

“อืม ก็คล้ายกันอยู่”

 

 อินกองหลบตากรีนวินด์แล้วหันไปถามคารัค

 

“แล้วระหว่างนี้นายเป็นยังไงบ้าง?”

 

“ข้าได้พักระหว่างที่องค์ชายสลบอยู่ กัมมะเรียนวิชาดรูอิดจากดาฟเน่ องค์ชายคริสต์ก็วุ่นๆเรื่องโจรที่หนีไปได้ องค์หญิงเฟลิซีหมกตัวอยู่ในห้องของนางหลังจากที่มีขุนนางไลแคนโทรปมาเยี่ยม”

 

 กัมมะเริ่มศึกษาพรของดรูอิดจากดาฟเน่มาสักพักแล้ว เรื่องที่คริสต์มีธุระรัดตัวก็เป็นปกติ ที่อินกองเป็นห่วงก็คือเฟลิซี

 

“ขุนนางไลแคนโทรป?”

 

“พวกนั้นมาพร้อมกับราชินีเอเลน เซร่าบอกว่าพวกนั้นเป็นองครักษ์ส่วนตัวของราชินี พวกนั้นทุกตนมีรอยสักประหลาดสีแดงบนหน้า”

 

 ในบรรดาขุนนางไลแคนโทรป มีบางส่วนที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของราชินีเอเลน

 

 พวกนี้มีเอกลักษ์ตรงรอยสักสีแดงบนใบหน้า

 

“กองพลโลหิต”

 

“กองพลโลหิต?”

 

“ชื่อกององครักษ์ที่เซร่าพูดถึง พวกนั้นน่ากลัวทีเดียว”

 

 ในการกวาดล้างไลแคนโทรปที่อินกองจดจำได้ อุปสรรคสำคัญก่อนการเผชิญหน้ากับคริสต์และเคทลินก็คือเหล่ากองพลโลหิต

 

 ทหารหน่วยนี้ล้วนเป็นไลแคนโทรปหมาป่า และมีสายเลือดของราชวงศ์ไม่มากก็น้อย ทุกตนสามารถใช้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพได้ และเพราะทั้งหมดถูกชุบเลี้ยงขึ้นมาเพื่อเข้าหน่วยนี้โดยเฉพาะ นั่นทำให้ความสัมพันธ์และความภักดีของทหารหน่วยนี้เข้มข้นสมชื่อ

 

 คารัคส่ายหน้าฟังคำอธิบายจากอินกองอย่างหมดหวัง

 

“องค์ชายรู้แต่เรื่องที่เหมือนจะไม่มีใครรู้”

 

 หากเฟลิซีอยู่ตรงนี้ นางคงพยักหน้าเห็นด้วยกับคารัคอย่างแน่นอน

 

 ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ อินกองรีบถามคารัค

 

“แล้วเรื่องนั้น?”

 

 แม้เคทลินยังคงหลับ แต่อินกองก็พูดอย่างระวังไม่ต้องการให้มีใครรับรู้เรื่องที่เขากำลังถาม และเจ้าออร์คผู้ชาญฉลาดก็เข้าใจเจตนาของเจ้านายมันได้อย่างดี

 

“ถ้าเรื่องนั้นข้าพอถามเซร่าไปบ้างระหว่างพัก”

 

 เรื่องที่อินกองบอกคารัคไว้ที่วังจอมมาร หลังจากได้ยินคำตอบจากเจ้าออร์ค อินกองก็พยักหน้าอย่างพอใจ

 

“ดีมาก งั้นพอมีเวลาแล้วเล่าให้ผมฟังด้วย”

 

“รับทราบ จะว่าไปแล้วองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 คารัคพูดขึ้นเปลี่ยนประเด็น อินกองหันไปมองเคทลินก่อนจะพูดตอบ

 

“เรียกว่าโชคดีที่นางไม่เป็นอะไรมาก”

 

 อินกองรับรู้ถึงลมปราณของเคทลินผ่านทางมือที่กุมอยู่ อย่างที่ร่างกายอินกองแข็งแกร่งขึ้น ร่างกายของเคทลินก็เช่นกัน เขาพอกังวลอยู่บ้างว่านางจะหลับอีกนานขนาดไหน แต่หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากกรีนวินด์ว่านี่เป็นผลของผลึกจันทรา นั่นก็ทำให้ข้อกังวลของเขาหมดลง

 

“จริงหรือที่พวกแกสองคนกุมมือกันแบบนั้นแล้วจะพักฟื้นไวขึ้น?”

 

“อืม”

 

 อินกองตอบโดยยังคงมองไปยังเคทลิน ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงแต่อินกองก็ยังรู้สึกแปลกประหลาด

 

“นายท่าน ดูเหมือนองค์หญิงจะได้สติแล้ว”

 

 สิ้นเสียงของกรีนวินด์ เคทลินก็ลืมตาขึ้นช้าช้า .

 

 นางจ้องมองเพดานสักพักก่อนจะหันมา

 

“ฉั…ตร?”

 

 เสียงของนางงัวเงียจากการที่หลับมานาน แต่ก็ไม่มีความผิดปกติ อินกองยิ้มตอบนาง

 

“ทุกอย่างจบแล้วครับ จีราดถูกปราบแล้วพวกเราทั้งหมดก็ปลอดภัยดี”

 

 อินกองตอบข้อกังวลที่สุดของนาง นั่นทำให้เคทลินโล่งอกและผ่อนคลายลง ก่อนนางจะกระพริบตาและแสดงท่าทางเขินอายออกมา อินกองรีบอธิบายนาง

 

“ตั้งสมาธิไปที่ลมปราณครับ ผลจากผลึกจันทราทำให้ผมกับนูนะมีพลังพิเศษบางอย่าง”

 

 ทั้งคริสต์และเคทลินต่างมีสัมผัสลมปราณที่เหนือชั้น แน่นอนว่ากระแสลมปราณที่เปลี่ยนไปย่อมสร้างความประหลาดใจ

 

 เคทลินหลับตาลงและเพ่งสมาธิไปที่ลมปราณตามที่อินกองบอก

 

 อินกองเคลื่อนลมปราณบางส่วนของเขาไปยังมือข้างที่กุมมือเคทลิน หลังจากเวลาผ่านไปได้ราวนาที เคทลินก็ลืมตาโพลนขึ้น

 

“เป็นยังไงบ้างครับ?”

 

 แน่นอนว่าเคทลินย่อมรับรู้ถึงแก่นบริวารในตัวของนาง และแก่นจันทราในตัวของอินกอง

 

 นางหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง ด้วยดวงตาอันเป็นประกาย

 

“สุดยอด!”

 

&

 

 อินกองและเคทลินนั่งหันหน้าเข้าหากัน ทั้งสองนั่งกุมมือพลางหลับตาเคลื่อนชีพจร

 

 อินกองใช้แต้มทักษะเพิ่มระดับทักษะเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรขึ้นเป็นขั้นห้าก่อนจะเคลื่อนลมปราณ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่า

 

 ลมปราณสีขาวพวยพุ่งออกจากร่างของอินกอง กระแสลมปราณของเขาไหลเวียนเช่นปกติ ที่ต่างจากเดิมก็คือมีบางส่วนไหลเวียนจากแก่นจันทราออกมาหลอมรวม

 

 ปริมาณลมปราณโดยรวมเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่สิ่งสำคัญก็คือเขาสามารถควบคุมลมปราณได้อย่างอิสระมากขึ้น เส้นชีพจรของเขากว้างขึ้น ส่งผลให้ลมปราณไหลเวียนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และทำให้สามารถเค้นลมปราณออกมาได้รุนแรงยิ่งขึ้น

 

 ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ สิ่งที่กล่าวเบื้องต้นเป็นเพียงเมื่อเขาอยู่เพียงลำพัง

 

 และในตอนนี้ตรงหน้าเขามีเคทลินอยู่ด้วย

 

 แก่นจันทราและแก่นบริวารแสดงปฏิกิริยาต่อกัน ลมปราณของทั้งสองเริ่มไหลเวียนเข้ารวมกันเป็นหนึ่ง

 

 ลมปราณของเคทลินไหลเข้าร่างของอินกอง และลมปราณของอินกองก็ไหลเข้าสู่ร่างของเคทลิน

 

 มิใช่เพียงสอง แต่เป็นหัวใจทั้งสี่ดวง

 

 เสมือนดั่งจตุรัส

 

 ที่น่าแปลกใจก็คือทั้งที่ลมปราณแปลกปลอมไหลเวียนเข้าร่าง แต่ร่างกายของทั้งสองกลับไม่แสดงอาการต่อต้าน ยิ่งเมื่อได้รับลมปราณจากเคทลิน เบื้องลึกของเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพและเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรที่อินกองรับรู้ก็ยิ่งทวีคูณขึ้น

 

 หลังจากที่รับลมปราณจากอินกอง เคทลินก็เข้าใจถึงเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรที่อินกองไม่สามารถหาคำมาอธิบาย

 

 ลมปราณสีขาวและน้ำเงินเข้มไหลเวียนรวมกันอย่างกลมกลืน

 

 ลมปราณของทั้งสองพวยพุ่งมากขึ้น กว้างขึ้น และไหลเวียนรุนแรงขึ้น

 

 อินกองและเคทลินต่างรู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด

 

“ถึงข้าจะไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี”

 

 คารัคพูดขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปราวชั่วโมง มันทานอาหารระหว่างที่เฝ้ามองทั้งสองข้างกรีนวินด์

 

“เป็นพลังชีวิตที่งดงามมาก”

 

 ทั้งดาฟเน่และกัมมะต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของกรีนวินด์ จุดเริ่มต้นของพรดรูอิดคือการสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิต และลมปราณก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 ทั้งหมดต่างเฝ้ามองอย่างชื่นชม เว้นแต่เพียงผู้หนึ่ง

 

“ก็ดีอยู่หรอกนะ แต่พอตื่นขึ้นปุ๊ปก็จะฝึกวิชากันปั๊ปเลยรึไง?”

 

 เฟลิซีบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจ นางรีบมาหลังจากได้ข่าวว่าทั้งคู่ตื่น แต่นางยังไม่ได้พูดคุยแม้แต่คำเดียว

 

 จริงอยู่ว่าการที่ทั้งสองสามารถยิ้มระหว่างฝึกได้ถือเป็นเรื่องดี แต่นางก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

 

“นี่เป็นเรื่องดีองค์หญิง ยิ่งไอ้นี่ยิ่งอร่อยสุดยอดไปเลย”

 

 เฟลิซียิ้มที่คารัคกล่าวชมโจ๊กของนาง ก่อนจะถอนหายใจยอมแพ้ในที่สุด

 

 เวลาผ่านไปอีกสักพักจนผู้ชมทั้งหมดต่างเริ่มตัดสินใจกลับที่พักของตน…

 

“นี่มัน… เหนือกว่าที่คาดคิดไว้ซะอีก”

 

 เสียงของคริสต์ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิด ก่อนเขาจะเดินมาถามกับเฟลิซี

 

“พวกนั้นฝึกแบบนี้กันนานแค่ไหนแล้ว?”

 

“ราวสองชั่วโมงได้”

 

 เนื่องจากคารัคเฝ้ามองตั้งแต่เริ่ม มันจึงเป็นผู้ตอบคำถามของคริสต์

 

“งั้นเรอะ? งั้นก็ควรจะหยุดได้แล้ว”

 

“ฮ่ะ? ทำได้ด้วยหรอ? ไม่ใช่ว่าการเข้าไปแทรกลมปราณอย่างกระทันหันจะส่งผลร้ายกับร่างกาย?”

 

 เฟลิซีอุทานขึ้นอย่างตกใจพลางรีบหยุดคริสต์เอาไว้ แต่คริสต์ปัดนางออกพลางอธิบาย

 

“แน่นอนว่าเรามีวิธีหยุด อย่าห่วงเลย”

 

 ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเป็นวิชาที่ฝึกผ่านการเคลื่อนไหวหลากรูปแบบ หากการรบกวนเพียงน้อยนิดจะทำให้ลมปราณแปรปรวน การฝึกเคล็ดวิชานี้ก็คงเป็นไปไม่ได้

 

 หลังจากบอกให้เฟลิซีวางใจแล้ว คริสต์ก็เค้นลมปราณเข้าใส่มือของอินกอง แม้แต่เฟลิซีก็สามารถรู้สึกถึงลมปราณของคริสต์ได้ ยิ่งกับอินกองและเคทลินด้วยแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะไม่หลุดจากภวัง

 

 ลมปราณของอินกองและเคทลินเริ่มจางลง ก่อนจะแยกจากกันในที่สุด

 

 ทั้งอินกองและเคทลินลืมตาขึ้นในเวลาพร้อมกัน ตรงหน้าทั้งสองคือใบหน้าอันกระหยิ่มยิ้มย่องของคริสต์

 

“ได้สติกันแล้วเรอะ?’

 

“อปป้า!”

 

 เคทลินกระโจนขึ้นโผเข้ากอด คริสต์หัวเราะพลางลูบหลังนางเบาเบา

 

“ดูเหมือนทั้งสองจะได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่”

 

 เคทลินพยักหน้าโดยที่ยังสวมกอดพี่ชายของนาง อินกองได้แต่ผงกหัวพลางอมยิ้ม คริสต์ตบไหล่เคทลินแล้วพูดต่อ

 

“ในเมื่อทั้งสองได้สติแล้ว ก็คุยกับนูนิมหน่อยเถอะ สี่วันที่ผ่านมานางเหงาหงอยจนซึมเศร้าแล้ว”

 

 เฟลิซีหันไปจ้องคริสต์ก่อนจะถูกเคทลินพุ่งเข้ากอด

 

 เฟลิซีพยายามวางตัวขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะยอมจำนนในที่สุด อินกองหันไปพูดคุยกับเฟลิซี

 

“ดีใจที่นูนะปลอดภัยครับ”

 

“คิดว่าคุยอยู่กับใครกัน”

 

 เฟลิซีมีท่าทางอยากจะพูดบางอย่างแต่นางก็ไม่พูดออกมา เปิดโอกาสให้คริสต์ที่คอยพูดหยอกนางดึงความสนใจกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง

 

“นี่เป็นบรรยากาศที่ไม่เลว เสียดายที่เราไม่มีเวลา เพราะฉะนั้นเราจะพูดตรงๆ”

 

“มี… อะไร?”

 

 เฟลิซีถามคริสต์อย่างลังเล

 

 คริสต์ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง

 

“เราจะกลับราชวังไลแคนโทรป และคงจะไม่มีเวลาว่างสักพักใหญ่ๆ”

 

 อันที่จริงแล้วนี่ก็เป็นคำตอบที่ไม่เกินความคาดหมาย นั่นก็เพราะถึงแม้จีราดจะเกือบตายแต่ก็ยังไม่มีรายงานที่สามารถระบุได้ชัดเจน แล้วยังเหลือคำถามที่ว่าใครเป็นผู้ที่ช่วยให้เขาแหกคุกออกมาได้อีก

 

 คริสต์หันมาทางอินกอง

 

“ถ้าเอ็งเสร็จธุระกับอมิตาภาแล้ว มาหาเราที่วังด้วย ก่อนจะกลับวังจอมมารเราอยากจะเจอเอ็งอีกซักครั้ง แล้วไหนจะคำตอบข้อเสนอของเราอีก?”

 

 เฟลิซีหรี่ตาลงอย่างไม่ชอบใจหลังจากได้ยินคำว่า ‘ข้อเสนอ’ ส่วนอินกองก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

“แล้วก็เคท”

 

 คริสต์หันไปชี้เคทลินที่ยังคงกอดเฟลิซีอยู่

 

“ไปกับฉัตรซะ”

 

“เอ๋?”

 

“หลังจากที่เห็นกับตายิ่งทำให้เรามั่นใจ ตอนนี้ฉัตรสำคัญกว่าเรา แล้วในตอนนี้ทั้งสองก็เก่งกาจขึ้นแล้วด้วย”

 

 ตัวแปรที่สำคัญก็คือแก่นจันทราและแก่นบริวาร ยิ่งที่นี่เป็นอาณาเขตของเหล่าไลแคนโทรปมิใช่วังจอมมาร ไม่มีความจำเป็นที่คริสต์จะต้องกักขังหน่วงเหนี่ยวเคทลิน

 

 แต่ถึงกระนั้น ก็เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งคริสต์และเคทลินไม่คุ้นเคยกับการแยกจากกัน นั่นเพราะตั้งแต่เกิด ไม่ว่าคริสต์จะไปไหนเคทลินก็จะคอยตามติดตลอด

 

 ครั้งนี้ต่างออกไปจากตอนที่เคทลินแยกไปช่วยค้นหาทั่งวัชรกร นี่จะไม่ใช่การแยกเพียงวันหรือสองวัน แต่อาจจะหลายสัปดาห์

 

 เคทลินมีทีท่าลังเลก่อนคริสต์จะเดินมาลูบหัวนาง

 

“ครั้งนี้ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากเลย”

 

“ค่ะ”

 

 เคทลินผงกหัว คริสต์หัวเราะอย่างพอใจแล้วหันกลับมาทางอินกอง

 

“ฉัตร เราขอฝากเคทด้วยนะ”

 

“ครับ ฮยองไว้ใจผมได้เลย”

 

 อินกองทุบอกตัวเองแสดงความมั่นใจ เฟลิซีที่มองเหตุการณ์พูดแทรกขึ้นอย่างไม่พอใจในที่สุด

 

“เดี๋ยวสิ ไม่ใช่ว่าเธอควรจะฝากฉันมากกว่าฉัตร?”

 

 ในบรรดาทายาททั้งหมด ณ ที่นี้ เฟลิซีเป็นผู้ที่อาวุโสสุด

 

 คริสต์พยักหน้าอย่างจริงจังก่อนจะพูดกับอินกองอีกครั้ง

 

“ฉัตร ฝากดูแลนูนิมด้วยนะ ถือว่าเราขอร้องละ”

 

“ครับฮยอง”

 

“นี่!”

 

 เฟลิซีส่งเสียงไม่พอใจอินกองที่ตอบคริสต์อย่างจริงจัง สร้างความขบขันให้กับเคทลินที่พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มกลืน