รถม้ากำลังเคลื่อนที่

 

 แต่ภายในรถขนาดใหญ่ที่ใช้กำลังม้าถึงหกตนนี้ ภายในกลับมีเพียงผู้โดยสารสองคน

 

 ราชินีแห่งเผ่าไลแคนโทรปเอเลน มูนไลท์ และญาติของนางลุดวิก ผู้เป็นถึงหัวหน้าของกองพลโลหิต

 

 เอเลนมองชมวิวนอกหน้าต่างอย่างผ่อนคลาย ก่อนลุดวิกจะถามขึ้น

 

“จะดีจริงๆหรือที่ไม่อยู่รอนางตื่น?”

 

 สามารถเดาได้ไม่ยากว่าหัวข้อสนทนาหมายถึงใคร เอเลนหันมาพบกับสีหน้าที่ไม่สบายใจของลุดวิก  นางหลับตาลงแล้วตอบ

 

“เธอก็เข้าไปดูหลายรอบ เราก็รอจนเต็มที่แล้วแต่เคทลินก็ยังไม่ตื่น ถึงจะน่าเสียดายแต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

 

‘ตอนนี้เคทลินจะตื่นยังนะ? นี่ถ้าเรารอจนนางตื่นได้คงจะดีไม่น้อย’

 

 แม้คำพูดของเอเลนจะบอกอย่างนั้น แต่ท่าทางของนางก็แสดงถึงความไม่สบายใจ  ถึงแม้พวกเขาจะรออีกสักชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา นั่นทำให้ลุดวิกไม่เข้าใจความคิดของเอเลนผู้เป็นทั้งญาติและเจ้านาย

 

 เอเลนลืมตาขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่ต่างไปจากคริสต์

 

“ทีนี้ก็รายงานได้หรือยัง? ถึงเดิมทีเราตั้งใจจะฟังเมื่อกลับถึงวังก็เถอะ”

 

 หน้าที่ของลุดวิกผู้เป็นหัวหน้าของกองพลโลหิตไม่ใช่มีเพียงอารักขาเอเลนเท่านั้น เขายังเป็นที่ปรึกษาและเสมียน นั่นทำให้เขามีหน้าที่ถึงสามอย่างด้วยกัน

 

“มีรายงานพบร่างปลอมของจีราดทางทิศตะวันออก เป็นไลแคนโทรปไม่ผิดเพี้ยนแต่ยังไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลอื่นได้ และก็เป็นตามที่คาดคิด มันเลือกที่จะฆ่าตัวตาย”

 

 การปลิดชีพตนเองเมื่อไม่สามารถมีทางหลบหนีได้

 

 เป็นมาตรการที่สุดขั้วแต่ก็ได้ผลที่ชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้ข้อมูลรั่วไหล

 

 เอเลนกุมขมับของนางก่อนจะกล่าวออกมา

 

“ไม่ว่าจะทั้งความสามารถของหรือจะเวทมนตร์ เจ้าตัวปลอมนั่นก็ดึงความสนใจของพวกเราไปได้มาก ยิ่งไปกว่านั้นพอเข้าตาจนมันก็เลือกฆ่าตัวตายเพื่อปกปิดข้อมูล นี่ก็เห็นได้ชัดว่ามันต้องมีองค์กรบางอย่างอยู่เบื้องหลังแน่นอน”

 

 และแน่นอนว่าไม่ใช่จากภายในอาณาเขตของไลแคนโทรป องค์กรที่ว่ามีแหล่งที่มาจากภายนอก

 

 เอเลนกัดปากอย่างไม่พอใจพลางเงยหน้าขึ้นมาพบกับสีหน้าของลุดวิก ลูกพี่ลูกน้องผู้หล่อเหลาของนางที่เหล่าบรรดาสาวใช้ในวังต่างแย่งชิง ใบหน้าของลุดวิกในตอนนี้ไม่ต่างจากสุนัขที่กำลังสับสน

 

“ทำไม? เธออยากจะบอกอะไรรึ?”

 

“แต่ว่าพวกนั้นรู้เกี่ยวกับจีราดได้อย่างไร?”

 

 เรื่องนี้สร้างความสงสัยให้กับลุดวิกมากยิ่งกว่าเรื่องตัวตนที่แท้จริงขององค์กรปริศนา

 

 พวกนั้นรู้ได้อย่างไร? เรื่องที่จีราดถูกกักขังอยู่ภายใต้หอคอยนิลกาฬเรียกได้ว่าเป็นความลับสุดยอด

 

“ข้อมูลเกี่ยวกับการคุมขังจีราดในชั้นที่ลึกที่สุดของหอคอยนิลกาฬเป็นความลับสุดยอด แถมเหตุการณ์ก็ผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี”

 

 แม้แต่บรรดานักโทษในหอคอยนิลกาฬยังลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่ามีนักโทษที่ชื่อจีราดรวมอยู่ด้วย

 

 นี่เป็นความลับสุดยอดที่ไม่เคยมีการแพร่งพรายออกไป

 

 แต่เอเลนกลับไม่คิดเช่นนั้น นางพิงหน้าต่างพลางส่ายหน้า

 

“เหยื่อของจีราดมีหลายร้อย แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในวังเพียงคืนเดียว… แต่ก็มีผู้เห็นเหตุการณ์ ไม่มีความลับในโลกนี้ ขึ้นอยู่แค่ว่าจะถูกเปิดเผยช้าหรือเร็วเท่านั้น”

 

 ในตอนท้ายที่สุดเหมือนนางจะต้องการย้ำกับตนเองมากเสียกว่าตอบลุดวิก

 

 เอเลนมีสีหน้าเหม่อลอยแต่มิใช่ลุดวิก เขานึกถึงเคทลินขึ้นมาก่อนจะกัดฟันเพื่อไม่ให้พูดอะไรออกมา

 

 เอเลนหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกลับเข้าหัวข้อสนทนาอีกครั้ง

 

“พวกนั้นคงไม่ช่วยจีราดแหกคุกโดยไม่มีอะไรแอบแฝงแน่ ความโกลาหลในแดนไลแคนโทรปน่าจะเป็นผลดีกับพวกมัน แต่จีราดกลับคงสติของตนเอง ทำไมพวกนั้นถึงปล่อยให้จีราดทำอะไรตามใจ?”

 

 ประโยชน์สูงสุดคือเรื่องที่จีราดเป็นรัชทายาทที่แท้จริงของบัลลังค์ไลแคนโทรป และเป็นถึงพี่ชายร่วมสายเลือดของเอเลน

 

 พวกนั้นสามารถใช้จีราดเป็นหมากเพื่อสร้างความวุ่นวายในวังได้

 

 แต่กลับไม่มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันมิได้ควบคุมตัวจีราดแต่อย่างใด บางทีองค์กรปริศนาอาจจะรวมการกระทำของจีราดเอาไว้ในแผนการ หากแต่ลางสังหรณ์ของเอเลนกลับไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น

 

 ด้านลุดวิกกลับมองถึงอีกเรื่อง

 

“จีราดยังมีชีวิตอยู่”

 

 ลืมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีราดกับองค์กรปริศนาออกไป ความจริงที่ว่าจีราดหลบหนีไปได้สร้างความไม่สบายใจอย่างมาก

 

 เอเลนพยักหน้าเห็นด้วย

 

“จีราดทนทายาดสุดๆ แถมยังอยู่ในหอคอยมาได้เกิน 20 ปี พวกเราน่าจะฆ่ามันเสียตอนนั้น แต่พวกเรากลับลังเล”

 

 ลุดวิกย้อนคิดถึงความผิดพลาดในอดีต ก่อนหัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไป

 

“คิดว่าเจ้าชายลำดับ 9 เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 ออกดูกระทันหันแต่เอเลนก็อมยิ้ม นางเข้าใจความคิดขององครักษ์ผู้ภักดีของนาง

 

“ถูกใจละสิ? เราแปลกใจมากทีเดียวเพราะเราเคยเห็นก่อนหน้านี้ ในตอนนั้น… จะว่าอย่างไรดี? เราแทบสัมผัสไม่ได้ถึงชีวิต ราวกับไม่มีวิญญาณอยู่ในร่างนั้นเลย”

 

 เวลาล่วงเลยมาได้ถึงเจ็ดปีจากครั้งสุดท้ายที่เอเลนพบฉัตร ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ราชินีสมิตาเพิ่งเสียชีวิต บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุให้เอเลนรู้สึกเช่นนั้น

 

 เอเลนแตะคางของนางแล้วผงกหัว

 

“แล้วลุดวิกคิดว่าอย่างไร?”

 

 ลุดวิกเฝ้ามองระหว่างที่เอเลนพูดคุยกับฉัตร ถึงแม้คริสต์จะไว้ใจเจ้าชายลำดับที่เก้าขนาดไหน แต่การปล่อยเคทลินอยู่ตามลำพังโดยไม่มีการเฝ้าจับตามองเรียกได้ว่าสิ้นคิด

 

“ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี แต่ว่า…”

 

“แต่ว่า?”

 

 ลุดวิกพึมพำออกมาอย่างไม่ชอบใจ

 

“ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงคริสต์กับเคทลินมาก”

 

 ลุดวิกเห็นแววตาที่ฉัตรมองเคทลิน

 

 เอเลนหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะในลักษณะเดียวกับคริสต์

 

“เราไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เธอคิดว่าเขาจะขึ้นเป็นจอมมารได้ไหม?”

 

“เขาไม่ใช่เผ่าไลแคนโทรป พวกเราอาจถูกแทงข้างหลัง”

 

 ถึงจะผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดมา แต่เจ้าชายลำดับที่เก้าก็ยังเป็นคนนอก ไม่ต่างจากการมีลูกนกกาเหว่าอยู่ในรังของแม่นก

 

 ลุดวิกรู้สึกว่าเขาแสดงท่าทางอันไม่ควรออกไปก่อนจัดระเบียบร่างกายตัวเองใหม่ เอเลนยังคงอมยิ้มในตอนที่ลุดวิกหันกลับมาถามนางอีกครั้ง

 

“ใต้ฝ่าละอองพระบาทมีพระราชดำริว่าเจ้าชายฉัตรสามารถเป็นจอมมารได้จริงหรือพระพุทธเจ้าข้า?”

 

“คริสต์คิดเยี่ยงนั้น และเราก็เช่นกัน”

 

“แต่ว่าใต้ฝ่าละอองพระบาท…”

 

 เอเลนยกมือขึ้นห้ามลุดวิกเอาไว้ ลุดวิกถอนหายใจพลางหยิบกล่องเหล็กออกมา เขาตัดซิการ์ที่บรรจุอยู่ภายในกล่องส่งมอบให้เอเลน นางหยิบซิการ์ขึ้นอย่างพอใจแล้วใช้เวทมนตร์จุดมัน

 

“เรารู้จักจอมมารดี… อาจจะไม่ดีมากจนรู้ทุกเรื่องแต่เราก็มั่นใจในบางเรื่องได้”

 

 จอมมารมิตร…

 

 ราชาแห่งเผ่าสุร จักรพรรดิผู้ปกครองโลกมาร

 

“มีเหตุผลอยู่สำหรับทุกการกระทำ และเหตุผลพวกนั้นไม่สามารถรู้ได้จากเพียงสีหน้าของเขา”

 

 เอเลนหยุดพูด นางสูดซิการ์พลางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่นางอยู่เคียงข้างจอมมาร ซึ่งก็ผ่านมาได้หลายปีแล้ว

 

“เขาไม่ใช้คนที่จะพูดขัดการประชุมสภาโดยไม่มีเหตุผล มิตรต้องเห็นบางอย่างในตัวเจ้าชายฉัตรที่พวกเรามองไม่เห็นแน่นอน”

 

 ไม่สิ เอเลนมั่นใจว่านางก็เห็นบางอย่างในตัวฉัตร แม้นางจะไม่มั่นใจว่านางเห็นอะไร แต่นางมองเห็นบางอย่างมิผิดเพี้ยน

 

 ลุดวิกส่ายหน้าราวกับทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ

 

“อย่างไรเสียเจ้าชายฉัตรก็เป็นทายาทสืบสายเลือดจอมมาร หลังจากที่จอมมารชราขึ้นทัศนของเขาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง”

 

 การที่พ่อเรียกชื่อลูกชายของตนไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งเมื่อลูกชายของเขาแสดงความสามารถอันเกิดคาดออกมาอย่างกระทันหันแล้วด้วย

 

 เอเลนจ้องมองลุดวิกอย่างขบขับแล้วหัวเราะออกมา

 

“เธอชอบเด็กมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนิ สมัยคริสต์กับเคทลินยังเด็กเธอก็เล่นกับทั้งสองบ่อยๆ”

 

“พระองค์เจ้าทั้งสองยังคงเยาว์วัยอยู่”

 

 ลุดวิกพูดโพล่งออกมา เอเลนหยิกแก้มลุดวิกแล้วกล่าวต่อ

 

“แต่จอมมารไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเป็นตัวประหลาดที่อยู่เหนือสามัญสำนึก จริงอยู่ที่เขาก็มีอารมณ์ความรู้สึกแต่มันก็ทำงานไม่เหมือนของพวกเรา”

 

 เอเลนเป่าควันซิการ์ออกหน้าต่างแล้วหันมาถามลุดวิกต่อ

 

“ในบรรดาทายาทจอมมาร… อย่างเช่น สมมุติแซเฟียร์ก้าวข้ามจอมมารไปได้ และก่อปฏิวัติยึดบัลลังค์จอมมาร เธอคิดว่าจอมมารจะพูดอะไรก่อนตาย?”

 

“ไอ้ลูกชั่ว? กล้าดียังไง? ข้าขอสาปแช่งเจ้า?”

 

 ลุดวิกพูดโพล่งขึ้นมาสร้างความขบขันให้เอเลน ก่อนลุดวิกจะบ่นพึมพำด้วยใบหน้าอันเขินอาย

 

“นั่นเป็นเรื่องปกติ”

 

“ใช่แล้วนั่นคือปกติ แต่จอมมารอยู่เหนือขอบเขตของคำว่าปกติ เขาน่าจะพึงพอใจกับการกำเนิดจอมมารคนใหม่ที่เก่งกาจยิ่งกว่าตัวเขาเอง จอมมารเป็นคนแบบนั้นแหละ”

 

 ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมมาร…

 

 ผู้ใดก็ตามที่สามารถก้าวข้ามเขาขึ้นไปได้ ย่อมคู่ควรกับตำแหน่งจอมมาร

 

 ลุดวิกทำสีหน้าเหลือเชื่อและเอเลนก็พยักหน้า

 

“เพราะอย่างนั้นแหละ ในเมื่อคริสต์ไม่สามารถเป็นจอมมารได้ เราจึงคิดสนับสนุนเจ้าชายฉัตร”

 

 ผู้ที่แม้แต่จอมมารยังรู้สึกว่าแปลกพิเศษ จนทำให้จอมมารแสดงท่าทางออกมา

 

“แต่ก็อย่างที่รู้ จอมมารยังคงมีราชินีคนอื่นอยู่ และทั้งหมดก็น่าจะคิดเช่นเดียวกับเรา โดยเฉพาะราชินีลำดับสาม… เราอยากรู้ท่าทีของซิลเวียเสียจริง บางทีนางอาจจะลงเรือลำเดียวกับเรา”

 

 ราชินีแห่งเอลฟ์รัตติกาลซิลเวีย ดูมเบลด ไม่ฝักใฝ่ในขั้วอำนาจใด เป็นที่รู้กันว่านางหลีกเลี่ยงปัจจัยการเมืองทั้งหลาย และลูกทั้งสองของนางก็เช่นกัน

 

 แต่นั่นมิใช่เพราะเผ่าเอลฟ์รัตติกาลอ่อนแอ แต่เป็นเพราะนางคิดเช่นเดียวกับเอเลน ทั้งสองไม่ต้องการเดิมพันในสิ่งที่มีความเป็นไปได้ต่ำ

 

 และลุดวิกก็เช่นกัน

 

“การถอยออกมาสักก้าวก็ดูไม่เลวเสียเท่าไร”

 

“ก็อย่างนั้นแหละ มันอาจจะดูเสี่ยงไปบ้าง แต่เรามองว่าอนาคตที่เจ้าชายฉัตรขึ้นเป็นจอมมารคืออนาคตที่ดีที่สุดสำหรับเผ่าไลแคนโทรป”

 

 นั่นก็เพราะนอกจากฉัตรแล้ว โอกาสผูกสัมพันธ์กับตัวเต็งตำแหน่งจอมมารคนอื่นล้วนไม่มี

 

 เอเลนมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง นางมองดูทิวทัศน์อย่างไรจุดหมายพลางนึกถึงเคทลิน แล้วกระซิบออกมา

 

“โลกมารเป็นโลกของผู้แข็งแกร่ง… ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้บัญญัติทุกอย่าง แต่มันก็ไม่เลวร้ายเสียทีเดียว”

 

 รถม้ายังคงเดินทางต่อไป สู่พระราชวังของเหล่าไลแคนโทรป

 

&

 

 บ่ายวันที่อินกองและเคทลินตื่นขึ้น คริสต์ก็ออกจากบ้านพักรับรองและเดินทางสู่ราชวังเช่นกัน

 

 และในเช้าวันถัดมา คณะของอินกองก็เดินทางออกจากบ้านพักรับรอง แต่มีจุดหมายอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับคริสต์

 

 พวกเขาเดินทางร่วมกับทหารไลแคนโทรปจนถึงสุดขอบเขตแดน หลังจากนั้นก็เหลือทหารไลแคนโทรปเพียงหนึ่งตนที่ร่วมเดินทางเพื่อนำทาง

 

 ไลแคนโทรปหมีที่ชื่อว่าโรบิน พรานป่ามากประสบการณ์ที่มีแผนที่ของดินแดนทางทิศตะวันตกอยู่ภายในหัว เขายังเป็นสมาชิกชายที่เข้ามาช่วยรักษาสมดุลเพศให้กับคณะเดินทางหลังจากที่เคทลินกับเซร่าเข้าร่วม

 อินกอง คารัค กัมมะ ดาฟเน่ เฟลิซี เดเลีย 2:4(1:2) + เคทลิน เซร่า 2:6(1:3) + โรบิน 3:6(1:2)

 

‘นี่มันโคตรผิดปกติ’

 

 ถึงอัตราส่วนสมาชิกหญิงชายที่ไม่สมดุลนี้จะสามารถพบเห็นได้ตามนิยาย เกม การ์ตูน ภาพยนต์ อนิเมชันทั้งหลาย แต่ศูนย์กลางความสนใจกลับไม่ใช่ที่ตัวพระเอก กลับเป็นผู้ที่อยู่ถัดจากพระเอก

 หรือก็คือที่พระเอกตัวจริงของเรา (ノ◕ヮ◕)ノ*:・゚✧

 

 คารัคนั่งคุยอยู่กับกัมมะและดาฟเน่ โดยหันมามองสบตากับเซร่าและเดเลียอยู่เป็นระยะ อินกองหันไปมองเฟลิซีและเคทลิน ทั้งสองนั่งหลับพิงไหล่ซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นความรักอันอบอุ่นของสายสัมพันธ์พี่น้อง

 

 อินกองอมยิ้มขึ้นหลังจากเห็นทั้งสอง เขาจับพนักเก้าอี้รถ คริสต์ให้รถเลื่อนที่ใหญ่และแข็งแรงสำหรับคณะอินกองใช้เดินทาง

 

‘เมว่าน่าจะยังสบายดี’

 

 อินกองเก็บเดรโก้ไว้ที่วังจอมมาร หากเขารู้ว่าจะมีการเดินทางต่อจากปราสาทธันเดอร์ดูม เขาคงนำมันมาด้วยอย่างแน่นอน

 

 อินกองหันไปทางโรบินที่นั่งอยู่ถัดจากเซร่า โรบินมีท่าทางลำบากใจที่ได้นั่งในรถเลื่อนที่พิเศษ เขาพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักหลังจากรับรู้ถึงสายตาของอินกอง

 

“ล หลังจากถึงสะพานคู่ พ พวกเราต้องลงเดิน อ องค์ชายล หลับพักผ่อนก่อนเถอะ”

 

“เราหลับมามากแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เล่าเรื่องของป่าแมงมุมมาหน่อย? มีข้อมูลเรื่องเล่าอะไรบ้างไหม?”

 

 อินกองไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย

 

 โรบินผงกหัวให้อินกองแล้วเริ่มอธิบาย

 

“อ อ่า ข้าไปที่นั่นเมื่อหกเดือนก่อน บรรยากาศโดยรวมเรียกว่าเงียบสงบ ไม่มีร่องรอยของสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรแต่อย่างใด ด้านในของป่าอาจจะต่างไปบ้าง… แต่บริเวณติดถนนถือว่าปลอดภัย”

 

 ถือว่าเป็นข่าวดี แม้แต่ในเกมที่อินกองจำได้ ป่าแมงมุมก็เป็นบริเวณที่เงียบสงบไม่มีเหตุการณ์พิเศษ หรือสัตว์อสูรใดอาศัย

 

‘ในที่สุดก็มีพื้นที่เงียบสงบ’

 

 ถัดมาอีกสามวันให้หลัง คณะของอินกองที่เพิ่งเดินทางมาถึงป่าแมงมุมก็ได้ยินเสียงร้องระงมจากสัตว์ป่า เสียงคำรามร้องของสัตว์อสูร แม้แต่ตัวป่าเองก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันที่ดูสยดสยอง

 

 โรบินมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสับสน ส่วนสมาชิกที่เหลือไม่มีอาการประหลาดใจแต่อย่างใด คารัคหันมาจ้องมองที่อินกอง

 

“มี มีอะไร?”

 

 อินกองรีบตอบ คารัคถอนหายใจออกมาราวกับปลงตก เฟลิซีหัวเราะออกมาแหบแห้งราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว

 

 เคทลินกุมมืออินกองเอาไว้แล้วพูดให้กำลังใจออกมาอย่างร่าเริง

 

“ฉัตรนี่สุดยอดจริงๆ”

 

 นี่เป็นคำพูดช่วยชีวิตหรือปลิดชีวิตกันแน่?

 

 อินกองมองได้แต่มองไปยังป่าแมงมุมอย่างขมขื่น

 

 

จบบทที่ 13 – อำนาจ เริ่มบทที่ 14 – แสงสุดท้าย