บทที่ 56 วันนี้ข้าทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 56 วันนี้ข้าทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

พระสนมชูยื่นมือไปจับมือของฉินปู้เข่อแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พระชายาไม่ต้องพูดจาสุภาพถึงเพียงนั้นหรอก วันนี้เจ้าช่วยหลีเอ๋อร์ไว้ และพระราชวังแห่งนี้เป็นหนี้บุญคุณของเจ้า”

เนื่องจากความสัมพันธ์ของฮ่องเต้กับหมี่โม่หรู่ไม่ค่อยดีนัก ราชโอรสและราชธิดาผู้สูงศักดิ์เช่นองค์รัชทายาทและฉินเสวี่ยเหลียงต่างก็เย้ยหยันนาง และพวกเขายังถึงกับแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามเมื่อได้พบนาง

องค์หญิงเก้าผู้นี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับนางก็เห็นว่านางมีท่าทางที่สงบเสงี่ยม พระสนมชูก็สุภาพและช่างคิดโดยปราศจากความเสแสร้งในแววตาของนาง

ในราชวงศ์ย่อมเป็นเรื่องปกติที่เหล่าราชโอรสและราชธิดาเหล่านี้จะประจบประแจงผู้สูงศักดิ์และข่มเหงผู้ต่ำต้อย แต่หมี่เสวี่ยหลีและพระสนมชูกลับไม่เลือกปฏิบัติ ทำให้ความรักของฉินปู้เข่อที่มีต่อแม่ลูกคู่นี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

“พระสนม พระชายา องค์หญิงเก้า ยังไม่สายเกินไป หม่อมฉันเกรงว่าการแข่งขันความสามารถในโถงตะวันตกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว มาคุยกันระหว่างที่เดินไปรับชมกันเถิดเพคะ” จานหานชิวเอ่ยเตือนพลางมองต่ำ

หญิงสูงศักดิ์เหล่านี้อยู่ห่างจากโถงฉางอานมาเป็นเวลานานแล้ว พวกนางจึงเกรงว่าจะถูกติฉินนินทา

“พระชายาจะไหวหรือไม่ หากเจ้ารู้สึกไม่สบายก็สามารถพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักเหลียวหลีก่อนได้ แล้วข้าจะอธิบายให้ฮ่องเต้และท่านอ๋องฟังเอง” พระสนมชูมองแขนของฉินปู้เข่อด้วยความเป็นห่วง

ฉินปู้เข่อดึงแขนเสื้อลงแล้วโบกมือ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายว่า “ไม่ต้องพักผ่อนหรอกเพคะ”

โกดังถูกไฟไหม้โดยไม่มีเหตุผล ฉะนั้นต้องมีลับลมคมในแน่นอน นางไม่ต้องการอยู่ในตำหนักเหลียวหลีนานเกินไปเพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น

การช่วยชีวิตคนเป็นการแสดงความเคารพต่อชีวิต แต่หากจะมีปัญหาตามมาก็ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนดีกว่า

ในโถงตะวันตกสงบเรียบร้อยดี ฉาเหอและลู่ชูอี้เริ่มวาดภาพแล้ว

ดูเหมือนว่าการดับไฟในโกดังไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลมากนัก และพระสนมชูก็ไม่ได้เผยแพร่เรื่องนี้

เมื่อเห็นฉินปู้เข่อและหมี่เสวี่ยหลีเข้ามา ฉาเหอก็หยุดวาดภาพแล้วกล่าวทักทายก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “พระชายาหลี่ชินเป็นสตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในต้าเซี่ย ท่านรอบรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับพิณ หมากรุก การคัดตัวอักษรและการวาดภาพ ข้าไม่ทราบว่าในวันนี้พระชายาจะวาดรูปอะไร”

ฉินปู้เข่อกลอกตา เจ้าของร่างเดิมมีความรอบรู้ทุกอย่าง แต่นางไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ ซึ่งนางไม่เหมาะกับโอกาสเช่นนี้เลย

นางหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมมาปิดปากแล้วฝืนยกยิ้มก่อนจะเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “แม่นางช่างมีอารมณ์ขัน เราทุกคนต่างทราบจุดประสงค์ของงานเลี้ยงต้นฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ ข้าผู้นี้ได้แต่งงานไปแล้วและในวันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อติดตามรับชมพวกเจ้าโดยเฉพาะ”

หมี่เสวี่ยหลีก้มศีรษะลงแล้วหัวเราะเบา ๆ “ความตรงไปตรงมาของพี่สะใภ้เจ็ดทำให้สาว ๆ อับอายจนไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้วเพคะ”

“ในเมื่อพระชายาไม่ได้จะวาดภาพ ท่านช่วยชี้แนะให้แก่ข้าหน่อยได้หรือไม่?” ลู่ชูอี้หยุดวาดภาพแล้วเอียงศีรษะมองฉินปู้เข่อ

แววตาของฉินปู้เข่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางได้ยินอย่างชัดเจนว่าลู่ชูอี้เพิ่งพูดเชิงยั่วยุนางอย่างเปิดเผย

นางจำได้อย่างเลือนรางว่าหลังจากที่ลู่ชูอี้ได้รับการเสนอชื่อจัดอันดับให้เป็น ‘สตรีผู้มีความสามารถอันดับสอง’ นางจึงโกรธเคืองนักเพราะผลการตัดสิน นางต้องการที่จะแข่งขันกับเจ้าของร่างเดิมอีกครั้ง และพยายามจะเอาชนะเจ้าของร่างเดิมเพื่อให้ตนขึ้นมามีอันดับที่สูงขึ้น

นางทำราวกับว่าไม่เห็นการยั่วยุในแววตาของลู่ชูอี้ นางหันหลังให้ภาพวาดที่เสร็จสมบูรณ์หลายภาพแล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ

“ข้ารู้สึกว่า ‘ภาพวาดบนกระดาษสะท้อนสิ่งที่อยู่ในจิตใจ’ เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นว่าภาพวาดส่วนใหญ่ที่ทุกคนวาดจะสัมพันธ์กับทิวทัศน์ที่เคยเห็นในวันก่อนและสภาพจิตใจของตนเองในเวลานี้ หากให้ข้าแสดงความคิดเห็นก็คงจะสอดคล้องกับอารมณ์ของข้าในขณะนี้ ซึ่งสิ่งนี้จะรบกวนความคิดในการวาดภาพ ข้าจึงมุ่งเน้นไปที่การรับชมเป็นหลัก”

“สมัยก่อนท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ‘หนึ่งพันดวงตา หนึ่งพันเรื่องราว’ เดิมทีมันเป็นเพียงคำสอนที่มีความหมายที่ลึกซึ้ง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สะใภ้เจ็ดในวันนี้ทำให้ข้าตระหนักได้ในทันใด”

หมี่เสวี่ยหลีเงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองฉินปู้เข่อ ความรักที่นางมีต่อพี่สะใภ้ผู้นี้ลึกซึ้งในใจของนางมากยิ่งขึ้น

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอคำแนะนำจากนางอีกต่อไป แล้วก้มหน้าก้มตาวาดภาพให้เสร็จ

หลังจากที่จานหานชิวเข้าไปในโถงตะวันตกแล้ว นางก็หาที่นั่งและนั่งลง นางหยิบพู่กันขึ้นมาถือไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือวาด

“หานชิว เหตุใดเจ้าจึงดูสับสน” ฉินปู้เข่อโบกมือตรงหน้านาง

“ข้า ข้าวาดภาพไม่ได้…” จานหานชิวเบะปาก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาทันที “เสี่ยวเข่อ ข้านึกได้เพียงเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อสักครู่นี้และอาการบาดเจ็บที่แขนของเจ้า… ข้านึกไม่ออกว่าจะวาดอะไรดี…”

“ม้า” ฉินปู้เข่อหยิบพู่กันขนหมาป่าในมือของนางจุ่มลงในน้ำหมึก แล้วใส่กลับเข้าไปในมือของนาง

“อะไรนะ?”

“เจ้าวาด ‘ม้า’ ม้าศึก” ฉินปู้เข่อเตือนเบา ๆ “หากเจ้าไม่อาจสงบจิตใจและวาดภาพดอกไม้และทิวทัศน์ที่สวยงามเหล่านั้นได้ ก็ให้ทำตามอารมณ์ตอนนี้ของเจ้าเองแล้ววาดม้าศึก”

รูปแบบของงานเลี้ยงในพระราชวังครั้งนี้คือฤดูใบไม้ร่วงและอ๋องจั่วเสียน คนอื่น ๆ ต่างเน้นไปที่ ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ จึงวาดภาพทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ร่วงหรือทุ่งข้าวสาลีสีทองอันงดงามในไร่ หากม้าศึก ‘คึกคะนอง’ ปรากฏในภาพวาดเฉลิมฉลองฤดูเก็บเกี่ยวในตอนนี้ก็อาจจะมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

ดวงตาของจานหานชิวเป็นประกาย แล้วนางก็ปาดน้ำตาออกจากแก้มของนาง “ข้ามีแรงบันดาลใจแล้ว!” เมื่อกล่าวจบนางก็กัดฟันแล้วก้มหน้าลงเพื่อดื่มด่ำกับภาพวาด

ไม่นานนัก นางข้าหลวงก็เดินเข้ามาพร้อมกับนางกำนัลสองสามคนที่ถือถาดไว้ในมือ

“แม่นางทั้งหลาย วางภาพวาดที่วาดเสร็จแล้วลงบนถาด เหล่าขุนนางแทบอดใจรอชมภาพวาดของพวกท่านไม่ไหวแล้ว”

“แม่นางเข่อ ข้ายังวาดไม่เสร็จ…” จานหานชิวตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง มือที่ถือพู่กันสั่นด้วยความกระวนกระวายใจ

………………………………………………………………………….