ตอนที่ 57 มีคนยุแยงตะแคงรั่ว
“ไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าจะส่งคนสุดท้ายหลังจากที่คนอื่นส่งไปแล้ว” ฉินปู้เข่อเอ่ยอย่างผ่อนคลาย นางหยิบแท่งหมึกในมือขึ้นมาฝนหมึกให้จานหานชิว
เมื่อนางเหลือบมองภาพบนกระดาษ นางก็เกือบจะหัวเราะออกมา
ภาพวาดของจานหานชิวเป็นภาพม้าศึกจริง ๆ ม้าศึกเป็นตัว
เปลวเพลิงที่ลุกโชนบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ม้าศึกกำลังกระโดดออกจากทะเลเพลิงด้วยท่าทางกระโจน มีหญิงสาวชุดม่วงอยู่บนหลังม้าศึกและมีคราบเลือดสีแดงติดอยู่ที่กีบหน้าของม้าศึก
นางวาดเหตุการณ์ไฟไหม้โกดังและเปรียบนางเป็นม้า
“มีสตรีคนใดต้องการส่งภาพวาดอีกหรือไม่”
“ตกลง ข้าพร้อมแล้ว” จานหานชิวรีบเก็บพู่กันแล้ววางภาพวาดลงไป
เมื่อเห็นว่านางข้าหลวงไปแล้ว ฉินปู้เข่อก็เดินไปข้างหลังจานหานชิวแล้วหยิกเอวของนางเบา ๆ “เอาล่ะ วาดข้าเป็นม้าศึก ข้าแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเลยหรือ?!”
“อ๊ะ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้วาดภาพสิ่งที่อยู่ในใจของข้า”
เมื่อเห็นว่ามีเหงื่อออกที่ปลายจมูกของจานหานชิว ฉินปู้เข่อจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดออกให้นางอย่างอ่อนโยน
นางเพิ่งได้ยินหมี่เสวี่ยหลีพูดว่าคราวนี้เหล่าสตรีต่างแข่งขันกันด้วยความสามารถ คนที่ทำได้ดีจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฮองเฮาและอ๋องจั่วเสียน
แม้ว่าจะไม่เป็นที่โปรดปรานของอ๋องจั่วเสียน แต่ผู้ที่มีความสามารถเหล่านี้จะมีรายชื่อเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งพระชายาแห่งราชวงศ์ เมื่อเหล่าองค์ชายเลือกพระชายาในอนาคต พวกเขาก็จะให้ความสำคัญกับสตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านี้
ดังนั้นสตรีผู้สูงศักดิ์ทุกคนในโถงทิศตะวันตกจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อฝึกฝนพรสวรรค์ของตน และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ที่นี่สตรีผู้สูงศักดิ์ทุกคนต่างทำภารกิจแห่งความรุ่งโรจน์และการล่มสลายของตระกูล ผู้ชายในตระกูลขุนนางระดับล่างหวังจะไต่เต้าไปเป็นผู้มีอำนาจผ่านลูกสาวในตระกูลของพวกเขา เพื่อให้มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งและได้รับความเคารพมากขึ้น ส่วนเหล่าขุนนางระดับสูงก็หวังความรุ่งโรจน์จากการรวมตระกูลให้แน่น เพื่อหวังพึ่งผู้มีอำนาจ
ช่างบิดเบี้ยวและเป็นความจริง
จานหานชิวเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลนักปราชญ์ราชสำนัก แม้ว่าจุดเริ่มต้นของตระกูลจานจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก แต่ก็หวังว่าจานหานชิวจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้มีอำนาจในงานเลี้ยงในพระราชวังนี้ เพื่อที่นางจะได้มีต้นทุนเพียงพอที่จะได้รับเกียรติจากตระกูลของสามีในอนาคต
หลังจากพูดหยอกล้อกันไปไม่กี่เรื่องก็มีคนจากพระราชวังมาประกาศที่นั่ง
วัฒนธรรมของต้าเซี่ยนั้นเปิดกว้าง ไม่มีกำแพงระหว่างบุรุษและสตรีมากนัก สตรีที่ยังไม่แต่งงานไม่จำเป็นต้องสวมผ้าคลุมหน้าและผ้าคลุมอื่น ๆ ในที่สาธารณะ
สำหรับงานเลี้ยงในพระราชวังขนาดใหญ่เช่นนี้ สมาชิกของตระกูลที่เป็นสตรีจะถูกจัดให้นั่งที่ห้องโถงทิศตะวันตกของโถงฉางอาน และบุรุษทุกคนจะอยู่ในห้องโถงทิศตะวันออกของโถงฉางอาน
ฉินปู้เข่อได้เข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์แล้ว นางจึงย่อมต้องนั่งร่วมโต๊ะกับองค์หญิงของราชวงศ์
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หมี่เสวี่ยหลีจึงจับมือฉินปู้เข่ออย่างระมัดระวังตลอดทางเพื่อพาไปยังตำแหน่งที่นั่ง เมื่อเดินไปด้วยกันนางก็ไปเดินข้างแขนที่บาดเจ็บ เพราะเกรงว่าผู้ที่สัญจรไปมาจะชนนางเข้า
“น้องเก้า มานั่งตรงนี้สิ” หญิงสาวอายุราวยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าในชุดราชสำนักร้องเรียกเบา ๆ
หมี่เสวี่ยหลีเดินไปยังที่นั่งตามคำเชิญชวน “นี่คือองค์หญิงสอง หมี่ฉงซือ นางและอ๋องคังชินเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน”
เมื่อพวกนางเข้าไปใกล้หมี่ฉงซือ หมี่เสวี่ยหลีก็ชะงักฝีเท้า และรอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ดูแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
ฉินปู้เข่อมองตามสายตาของนาง และการคาดเดาในหัวใจของนางก็ยิ่งมากขึ้น
แต่แล้วนางก็กลับมาเป็นปกติในทันใดแล้วแนะนำฉินปู้เข่อให้แก่หมี่ฉงซือ “พี่หญิงสอง นี่คือพี่สะใภ้เจ็ดเพคะ”
“โอ้ นี่คือน้องสะใภ้เจ็ดสินะ” หมี่ฉงซือมองฉินปู้เข่อหัวจรดเท้าหลายรอบอย่างไม่เกรงใจ ราวกับว่านางต้องการจะเห็นข้อบกพร่องบนตัวนาง
“หม่อมฉันคำนับองค์หญิงสองเพคะ” ฉินปู้เข่อกล่าวทักทาย
“ ‘องค์หญิงสอง’ ฟังดูอายุมาก เรียกว่า ‘พี่หญิงสอง’ จะดีกว่าหรือไม่?” หมี่ฉงซือกวักมือให้นางนั่งลงแล้วพูดว่า “เจ้าสามอาศัยอยู่ในตำหนักของอ๋องหลี่ชินมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ได้ตะเพิดเจ้าบ้านั่นออกจากตำหนักเช่นนั้นหรือ?!”
ดูเหมือนว่าองค์หญิงผู้นี้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับอ๋องคังชิน หมี่ฉง และนิสัยก็คล้ายกันมาก พวกเขาทั้งสองมีบุคลิกที่ไร้ซึ่งความกังวล
“อ๋องคังชินมีบุคลิกเป็นคนจิตใจดีเพคะ เขาสามารถพูดคุยกับอ๋องเจ็ดได้ถูกคอ ปู้เข่อ…”
“พี่หญิงสอง~ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตั้งแต่น้องชายสามไปอาศัยอยู่ในตำหนักของอ๋องหลี่ชิน พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ขอให้ท่านพาเขากลับมาวันละสามครั้ง แต่ท่านก็ไม่อาจพาตัวเขากลับมาได้ และบัดนี้ท่านกลับกล่าวตำหนิพระชายาหลี่ชิน” เสียงอันไพเราะของหมี่จิ่งหานขัดจังหวะพูดของฉินปู้เข่อ
………………………………………………………………………………