บทที่ 58 อ๋องจั่วเสียน

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 58 อ๋องจั่วเสียน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หมี่เสวี่ยหลีก็จับมืออันชุ่มไปด้วยเหงื่อของฉินปู้เข่อ และฝ่ามือของนางก็เย็นเช่นกัน

ฉินปู้เข่อเหลือบมองหมี่เสวี่ยหลี มุมปากของนางยังคงมีรอยยิ้มจาง แต่ริมฝีปากของนางแห้งแตกอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากความตึงเครียด

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเห็นหมี่จิ่งหานที่ตื่นตระหนกอยู่ใกล้กับห้องสุขาในตอนนั้น ฉินปู้เข่อก็ตกตะลึง นางกุมมือหมี่เสวี่ยหลีไว้ในฝ่ามือแล้วบีบเบา ๆ

หมี่เสวี่ยหลีกระซิบเสียงเบา “ขอบพระทัยพี่สะใภ้เจ็ดเพคะ”

ฉินปู้เข่อไม่ตอบนางแต่หัวเราะเบา ๆ “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยและองค์หญิงสองมีน้ำใจต่อข้าและอ๋องหลี่ชินที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ทั้งสองเกรงว่าอ๋องคังชินจะรบกวนความเสน่หาของพวกข้า ดังนั้นทั้งสองจึงต้องการเรียกอ๋องคังชินกลับตำหนักน่ะเพคะ”

เมื่อไปทักทายนางก่อนหน้านี้ นางได้ยินคำพูดของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ซึ่งแสดงชัดเจนว่าเจตนาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคือไม่ต้องการให้หมี่ฉงและหมี่โม่หรู่ติดต่อกัน

ราวกับว่าพ่อแม่ไม่ฟังความคิดเห็นของลูก ๆ ของตนที่ไปเล่นกับเด็กที่ต่ำต้อยเมื่อพวกเขายังเด็ก ในสายตาของเฉินกุ้ยเฟยนั้น องค์ชายหมี่โม่หรู่เป็น ‘เด็กที่ต่ำต้อย’ ผู้เป็นที่โหล่และไร้ค่า

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก คนผู้นั้นยังไม่เคยแต่งงานจึงไม่ได้คิดให้รอบคอบ น้องสะใภ้เจ็ดอย่าได้ถือสาเขาเลย” หมี่ฉงซือไม่แม้แต่จะมองหมี่จิ่งหาน นางจับมืออีกข้างของฉินปู้เข่อแล้วกุมไว้ในฝ่ามือของนาง

ทั้งสองสมานฉันท์กันโดยไม่ฟังคำยั่วยุอย่างจงใจนั้น

“เคร้ง!” ถ้วยน้ำชากระแทกโต๊ะอย่างรุนแรง เหล่าสตรีผู้ร่วมโต๊ะต่างก็หันมามอง

หมี่จิ่งหานยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “มือลื่นเล็กน้อย เผลอทำให้น้องสาวทุกคนตกใจ”

ฉินปู้เข่อมองหมี่จิ่งหานด้วยความขบขัน วิธีการเรียกร้องความสนใจเช่นนี้ช่างซุ่มซ่ามเสียจริง

และคุณภาพทางจิตใจของหมี่จิ่งหานผู้นี้ก็ค่อนข้างดี นางยังสามารถนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับผู้อื่นได้อย่างใจเย็น

ในระหว่างการพูดคุยก็มีเสียงเพลงดังขึ้นในห้องโถง แล้วกลุ่มนางรำที่แต่งกายสวยงามก็ปรากฏตัวออกมา หลังจากร้องเพลงและเต้นรำแล้ว เสียงแหลมก็ดังขึ้น

“อ๋องจั่วเสียนเสด็จแล้ว—”

เมื่อสิ้นเสียงของขันที เงาสูงก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงทางเข้าโถงฉางอาน

ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัยและจ้องไปยังประตูโถง นางอยากรู้จริง ๆ ว่าคนเช่นไรที่สามารถทำให้ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงในพระราชวัง และสั่งเหล่าขุนนางและทหารของราชวงศ์ให้ประจบประแจงเขาได้

หมี่เฉินอี้เดินเข้ามาอย่างสงบ เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนปักลายเมฆด้วยไหมสีเงิน มวยผมสีดำสนิทของเขาสวมมงกุฎหยกขาว เขาไม่ได้สวมเครื่องประดับมากเกินไป แต่กลับมีรัศมีที่แสดงถึงความมีชาติตระกูลแผ่ซ่านออกมาจากภายใน

ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ และเขาดูไม่เหมือนแม่ทัพที่จะนำทัพไปสู้รบในสงครามเลย

“คำนับฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” หมี่เฉินอี้เดินลงบันไดแล้วคำนับฮ่องเต้

ฉินปู้เข่อตกตะลึงเล็กน้อย “อ๋องจั่วเสียนผู้นี้ทักทายฮ่องเต้อย่างเรียบง่ายเช่นนี้เลยหรือ?”

เมื่อหมี่ฉงซือได้ยินนางพึมพำกับตัวเอง ริมฝีปากของนางก็ขยับ “เสด็จอาเก้าเป็นผู้สูงส่งแห่งราชวงศ์ ท่านและเสด็จพ่อเป็นพี่น้องกัน หลังจากที่ท่านพ่อขึ้นครองบัลลังก์ก็ขอให้ท่านไปควบคุมกองทัพ เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่ท่านได้ปกป้องอาณาเขตเท่านั้น โดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการปกครอง”

“ในช่วงแรกของการขึ้นครองบัลลังก์ของเสด็จพ่อ ความแข็งแกร่งทางการทหารของต้าเซี่ยนั้นอ่อนแอ และประเทศเพื่อนบ้านก็โจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่เสด็จอาเก้าเข้าต่อสู้ในสนามรบ ความแข็งแกร่งทางทหารของต้าเซี่ยก็เพิ่มขึ้นทุกปี ประเทศเพื่อนบ้านไม่เพียงแต่ไม่มารุกรานเท่านั้น แต่ยังก้มหัวและถวายเครื่องบรรณาการให้ทุกปีอีกด้วย”

“แม้ว่าท่านจะไม่ได้กลับมาที่นี่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แต่ตำแหน่งของเขาในหัวใจของเสด็จพ่อนั้นไม่มีผู้ใดในต้าเซี่ยสามารถเทียบเทียมได้”

“ช่างแข็งแกร่งนัก!” ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะชื่นชม

ในชาติที่แล้วนางเรียนสานต่าและกลายเป็นนักกีฬาสานต่าเพราะนางชื่นชมเหล่าทหาร นางจึงบูชาวีรบุรุษผู้นี้ที่ไม่หวังอำนาจ ปกป้องครอบครัวและประเทศชาติจากก้นบึ้งของหัวใจ

“อ๋องจั่วเสียนไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนักหรอก โปรดนั่งลงเถิด” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

สมาชิกราชวงศ์ทุกคนต่างแสดงความเคารพอ๋องจั่วเสียน ขุนนางและเสนาบดีในห้องโถงก็ยิ่งให้ความเคารพอย่างมาก พวกเขาประสานมือคำนับเพื่อแสดงความเคารพ

ฉินเฉิงหย่งไม่ละสายตาจากหมี่เฉินอี้เลย หลังจากที่ทุกคนหยุดทำความเคารพแล้ว เขาก็เป็นผู้นำในการถือจอกสุราแล้วกล่าวว่า “อ๋องจั่วเสียนประสบความสำเร็จอย่างมากในการสู้รบในต่างแคว้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา และคราวนี้ความวุ่นวายที่ชายแดนก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ท่านจึงได้หวนคืนสู่ราชวงศ์ เสนาบดีชราผู้นี้เห็นว่าต้าเซี่ยสามารถผ่อนคลายและสงบสุขเพราะการปรากฏตัวของอ๋องจั่วเสียน”

หมี่เฉินอี้เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เขากอดอกพลางเหลือบมองฉินเฉิงหย่งแล้วพูดเสียงเบา

“ท่านมหาเสนาบดีกล่าวยกย่องเกินไป ข้าสามารถไปต่อสู้ในสงครามนอกแคว้นได้อย่างมั่นใจก็เพราะทราบว่าฮ่องเต้ทรงงานหนักเพื่อปกครองราษฎร ทำให้แคว้นนี้เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัย เมื่อเหล่าทหารมองย้อนกลับไปจึงไม่มีความกังวลเพราะรู้ว่าพวกตนกำลังปกป้องบ้าน ปกป้องภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขาเอง ดังนั้นพวกเขาย่อมทุ่มเททำงานหนัก”

ฉินเฉิงหย่งหยุดพูดชั่วคราวแล้วหัวเราะแห้ง

เสนาบดีเฒ่าอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาและกล่าวว่า “อ๋องจั่วเสียนทรงชาญฉลาดและมีฝีมือในการสู้รบ ทำให้อาณาเขตของฮ่องเต้มั่นคงขึ้น สันนิษฐานว่าพระองค์จะทรงช่วยฝ่าบาทแก้ปัญหาอีกเมื่อเสด็จกลับมา กระหม่อมไม่ทราบว่า…”

“เสด็จพี่ เนื่องจากมีผู้กล่าวถึงปัญหานี้ กระหม่อมจึงต้องกราบทูลให้ท่านทราบล่วงหน้าว่ากระหม่อมได้รับบาดแผลทั้งเก่าและใหม่จากสนามรบมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้กระหม่อมต้องการเพียงฟื้นฟูร่างกายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ หยกเนื้อดีและอาหารเลิศรสพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้วหมี่เฉินอี้ก็ยกจอกสุราให้แก่ฮ่องเต้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ท่านจัดหาสุราชั้นดีและจัดงานเลี้ยงให้แก่กระหม่อม กระหม่อมจึงไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดอีก นอกจากนี้เสด็จพี่รู้หรือไม่ว่ากระหม่อมเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบสมัยเด็ก กระหม่อมไม่อาจนั่งนิ่งได้นาน! เห็นคนพูดมากแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะพ่ะย่ะค่ะ!”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง “ประเดี๋ยวเจ้าจะได้พักผ่อนอย่างแน่นอน เจ้าพักแค่ครั้งเดียวในรอบหลายปี มันคงจะไม่เป็นส่วนตัวเกินไปที่จะขอให้เจ้าช่วยคลายความกังวลของข้า!”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา เสนาบดีเฒ่าหลายคนที่นั่งอยู่ในโถงทิศตะวันออกก็มองไปยังฉินเฉิงหย่งอย่างอธิบายไม่ถูก

ฉินปู้เข่อผู้มีความคิดในใจอันกว้างไกลอดไม่ได้ที่จะกลอกตา พ่อของนางเอาอกเอาใจและยกยอปอปั้นคนเดียวไม่พอ จึงหาพวกมาประจบประแจงด้วย นางคิดว่ามันจะดีกว่าหรือไม่หากจะจัดตั้งกลุ่มเฉพาะเพื่อประจบประแจงเขา?!

หมี่เฉินอี้ใช้นิ้วเคาะโต๊ะข้างหน้าของเขาอย่างสบายอารมณ์ พลางมองฮ่องเต้ต้าเซี่ยด้วยแววตาเจ้าเล่ห์แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เสด็จพี่ ท่านได้เตรียมสิ่งที่จะทำให้กระหม่อมประหลาดใจไว้ในงานเลี้ยงครั้งนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”

…………………………………………………………………………..