พอหวังซีคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกสงบลงมา
โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามที่ถูกใจหวังซี ตามหลักแล้วฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหวไม่อาจเป็นแม่สื่อให้ผู้อื่นในเวลานี้ได้ อย่างไรก็ต้องรอให้งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่เสร็จสิ้นลงก่อน หาโอกาสหนึ่งไปเป็นแขกที่จวนหย่งเฉิงโหวอย่างเป็นทางการ จากนั้นค่อยหยั่งเชิงท่าทีของจวนหย่งเฉิงโหว
เรื่องนี้พูดเป็นเรื่องขำขันสองสามประโยคก็ผ่านพ้นไปแล้ว
หวังซีเองก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ เดินตามหลังฮูหยินผู้เฒ่าไปกล่าวทักทายคนโดยรอบพักหนึ่ง จากนั้นก็ตามกันไปกล่าวอวยพรจ่างกงจู่
ถึงแม้จวนหย่งเฉิงโหวจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มคนกลุ่มที่หนึ่ง แต่จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสตรีจวนหย่งเฉิงโหวกับคนรอบข้างก็มองออกแล้วว่า สตรีจวนหย่งเฉิงโหวนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องเปรียบเทียบกับตระกูลที่มีสมาชิกในครอบครัวน้อยอย่างจวนเจียงชวนป๋อเลย แม้แต่จวนเซียงหยางโหวก็ยังเทียบกันไม่ติด
เห็นได้ชัดว่าที่จวนหย่งเฉิงโหวมีตำแหน่งปัจจุบันได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะบุรุษในบ้านยังมีที่ให้หยัดยืนอยู่ในราชสำนัก และที่หย่งเฉิงโหวเข้าสู่กองบัญชาการทหารทั้งห้าได้ ก็อาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้ นี่ก็เหมือนกับสตรีที่ใช้ความงามรับใช้คน นอกจากไม่ยืนยาวแล้ว หากร่วงโรยตกต่ำลงมา คนช่วยเหลืออย่างจริงใจสักคนก็คงไม่มี
อันตรายเกินไปแล้ว!
หวังซีมองแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าจิงเฉิงมิใช่สถานที่ที่ควรอยู่นาน ถ้าหากกลับสู่จงก่อนปีใหม่ได้จะเป็นการดีที่สุด
เป่าชิ่งจ่างกงจู่เปลี่ยนมาสวมชุดตัวยาวสีแดงสดทอลายไก่ฟ้าสีทอง สวมมงกุฎนกเฟิ่งติดขนนกกระเต็นสีฟ้าที่มีแต่ฮองเฮาถึงจะมีคุณสมบัติสวมใส่ได้ นั่งตัวตรงอย่างสง่างามอยู่บนแหย่งหลัวฮั่น
ชิงกูกับชุ่ยกูล้วนปรนนิบัติอยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของนาง
ตอนที่หวังซีเข้าไปกล่าวอวยพรนางนั้น ไม่รู้ว่านางไม่ได้คิดอะไรหรือเพราะมีแผนการอะไรกันแน่ ถึงกับหันมายิ้มให้หวังซี ยิ้มจนหวังซีรู้สึกหวาดผวา กระทั่งรับประทานมื้อเย็นเสร็จ นางติดตามฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวออกจากจวนจ่างกงจู่มาได้อย่างราบรื่นแล้ว หัวใจดวงนี้ก็ยังไม่สงบ
นางค้นพบว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่กับเฉินลั่วช่างเหมาะสมกับการเป็นแม่ลูกกันจริงๆ ล้วนมีความสามารถประเภทหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจได้
เพียงแต่ว่าตอนที่นางขึ้นเกี้ยวนั้นถูกฉังเคอดึงแขนเสื้อเอาไว้ ยังกำชับนางเสียงเบาว่า กลับถึงจวนแล้วพวกเรากลับเรือนพร้อมกัน
ตามหลัก เมื่อพวกนางกลับถึงจวนแล้วต้องไปคารวะเย็นฮูหยินผู้เฒ่าก่อน จากนั้นถึงแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่เรือนตัวเองได้
หวังซีคิดว่าฉังเคอคงมีเรื่องจะพูดกับนางจึงพยักหน้า กระทั่งคารวะเย็นฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เหนื่อยแล้ว มิได้รั้งพวกนางไว้ นอกจากจะเร่งให้ทุกคนแยกย้ายกันเร็วสักหน่อยแล้ว ยังงดเว้นการคารวะเช้าของวันรุ่งขึ้นอีกด้วย กล่าวว่า วันนี้ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อย กลางคืนก็พักผ่อนให้เต็มที่ วันที่หนึ่งเดือนห้าเป็นวันคล้ายวันเกิดของโหวฮูหยินจวนเซียงหยางโหว เชิญสหายสนิทสองสามตระกูลไปร่วมเฉลิมฉลองด้วยกันเล็กๆ สักครั้ง สองสามวันนี้พวกเจ้าก็เตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับสำหรับไปร่วมงานเลี้ยงเอาไว้ให้เรียบร้อย วันที่สิบสี่เดือนห้า เป็นวันมหาวันเกิดครบรอบหกสิบปีของนายหญิงผู้เฒ่าตระกูลหัน พวกเจ้าคนรุ่นเล็กสองสามคนก็ไปร่วมสนุกด้วยสักครั้งหนึ่ง
นี่หมายความว่าอย่างไร นับจากนี้เริ่มเข้าร่วมงานสังคมแล้ว?
อย่างไรก็ตาม เรื่องนายหญิงผู้เฒ่าตระกูลหันนั้นหมายความว่าอย่างไร
คนแซ่หันที่มาเกี่ยวดองกับจวนหย่งเฉิงโหวนั้น มีเพียงพ่อภรรยาของคุณชายสามฉังนามว่าหันหลิน ผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลมี่อวิ๋นเท่านั้น
บ้านของพวกเขาอยู่ที่มี่อวิ๋น!
หรือว่าพวกนางต้องนั่งรถม้าอย่างเหน็ดเหนื่อยไปที่มี่อวิ๋น?
หวังซีไม่คิดจะไปด้วย!
แต่นางฉลาดพอที่จะไม่พูดออกไปในเวลานี้ เนื่องจากยังไม่รู้รายละเอียดว่าตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
คนอื่นๆ ก็มิได้ถาม ทุกคนยิ้มแย้มกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า ทยอยกันออกจากเรือนหยกวสันต์
หวังซีกับฉังเคอเดินกลับด้วยกัน ผู้ใดจะรู้ว่าคุณหนูพานที่ปกติไปกับฉังเหยียนนั้นจะตามพวกนางมาด้วย เวลานี้หวังซีกับฉังเคอจึงไม่อาจพูดเรื่องส่วนตัวกันได้
หัวคิ้วของฉังเคอผูกเป็นปมน้อยๆ จนแทบจะมองไม่เห็น สุดท้ายตัดสินใจว่าต่อให้เป็นการทำให้คุณหนูพานขุ่นเคืองก็ต้องรีบพูดให้ได้ ตอนเดินมาถึงสวนหิมะงามจึงกล่าวกับคุณหนูพานว่า วันนี้ข้านัดกับน้องสาวหวังว่าจะค้างคืนที่นี่…
ความหมายโดยนัยคือให้คุณหนูพานกลับเอง
คุณหนูพานเป็นคนนึกถึงใจผู้อื่น รีบกล่าวว่า เช่นนั้นข้ากลับก่อน ยังถามฉังเคอด้วยว่าต้องการให้นางนำความไปแจ้งหมัวมัวที่เรือนของฉังเคอหรือไม่
ในเรือนของคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน ล้วนมีหมัวมัวที่ทำหน้าที่สอนสั่งให้คำแนะนำเรื่องต่างๆ อยู่ด้วย
ฉังเคอกล่าวขอบคุณ บอกให้สาวใช้ข้างกายสองคนกลับไปเอาเครื่องอาบน้ำที่นางใช้เป็นประจำมาให้ แล้วเข้าไปในสวนหิมะงามพร้อมกับหวังซี
เท้าหน้าของนางเพิ่งจะเหยียบย่ำเข้ามาในประตูลานบ้าน ก็ดึงหวังซีไว้อย่างทนรอต่อไปไม่ไหว กระซิบกล่าวว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวต้องการทาบทามให้เจ้านั้นเป็นคุณชายจากตระกูลใด ก็คือปั๋วหมิงเย่ว์ คุณชายคนเล็กสุดของตระกูลปั๋ว ลูกพี่ลูกน้องชายของคุณหนูหกจวนชิ่งอวิ๋นโหว!
เจ้าว่าอะไรนะ หวังซีพลันยืนนิ่ง ตะลึงงันอย่างไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง เจ้ามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ ปั๋วหมิงเย่ว์ของจวนชิ่งอวิ๋นโหว?!
ว่ากันว่าเขาเป็นกล่องดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหว
คุณชายที่เติบโตมาจากโถน้ำผึ้งเช่นเขา ผู้ใหญ่ในบ้านต้องประคบประหงม และรู้สึกว่าหญิงสาวจากตระกูลใดๆ บนโลกนี้ล้วนไม่เหมาะสมกับเขามิใช่หรือ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวมิใช่คนไร้สมอง เหตุใดถึงคิดจะเป็นแม่สื่อให้นางกับปั๋วหมิงเย่ว์
นางไม่กลัวว่าการทาบทามจะล้มเหลว และกลายเป็นอริกันหรือ
ฉังเคอกล่าวอย่างร้อนใจ โอ๊ย เจ้าจะรู้อะไร ปั๋วหมิงเย่ว์บอกว่า หากกล่าวถึงพื้นเพของครอบครัว มีตระกูลใดเทียบกับจวนชิ่งอวิ๋นโหวของพวกเขาได้! เรื่องสถานะครอบครัวเหมาะสมกันนั้น จึงไม่มีอยู่แล้ว หากเขาจะแต่งภรรยา ก็จะแต่งกับคนที่หน้าตางดงาม ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวต้องเห็นว่าเจ้าหน้าตาดี จึงบังเกิดความคิดเป็นแม่สื่อนี้ขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจชี้ให้คนของจวนชิ่งอวิ๋นโหวมาแอบดูแล้วก็เป็นได้…
…เรื่องนี้เจ้าไม่อาจตอบรับเป็นอันขาด!…
…เจ้าอย่ามองว่าตอนนี้จวนชิ่งอวิ๋นโหวรุ่งโรจน์ดุจดอกไม้สดใส แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้กำหนดเรื่องรัชทายาท ผู้ใดก็บอกอะไรแน่นอนไม่ได้ แทนที่จะแต่งเข้าไปในเวลานี้ มิสู้หาตระกูลที่ปลอดภัยและพึ่งพาได้สักตระกูลดีกว่า อีกอย่าง ปั๋วหมิงเย่ว์ผู้นั้นชอบแวดล้อมไปด้วยหญิงสาวหน้าตางดงามมาตั้งแต่เด็ก อยากไปรับใช้อยู่ในเรือนของเขา ล้วนต้องดูหน้าตาก่อน…
…เป็นคนที่ยากจะทานทนผู้หนึ่ง…
…ตระกูลของพวกเขาก็หลอกได้แค่คนที่มาจากที่อื่นเท่านั้นแล้ว…
…แต่ข้าฟังจากความหมายของฉังเหยียนแล้ว ท่านย่าเองก็คิดว่าเรื่องเกี่ยวดองครั้งนี้ดียิ่ง หากจวนชิ่งอวิ๋นโหวมาทาบทาม ท่านย่าต้องตอบรับอย่างแน่นอน เจ้าเร่งส่งจดหมายไปให้หลงจู๊ใหญ่ของพวกเจ้าสักฉบับ หาวิธีให้พี่ชายใหญ่ของเจ้าก็ดี หรือท่านอาหญิงก็ดีได้รับทราบเรื่องนี้ไว้ จะส่งจดหมายมาก็ดี หรือส่งคนมาสักคนก็ดี ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจแต่งเข้าตระกูลปั๋ว
หวังซีอดหัวเราะไม่ได้ อยากจะเอามือเท้าเอวเงยหน้าขึ้นหัวเราะดังๆ สักสามครั้งเหลือเกิน
ถ้าหากตระกูลปั๋วมาทาบทามจริงๆ เช่นนั้นก็มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!
ปั๋วหมิงเย่ว์อยากสลัดตัวหนี จึงเสนอความคิดให้ใช้ชื่อเสียงของนางมาแลก เพียงพริบตาเดียวหญิงสาวที่ตระกูลพวกเขาถูกใจกลับมีข่าวแพร่ออกไปว่าลุ่มหลงเฉินลั่ว…นี่ถือเป็นกรรมตามสนองหรือไม่!
หวังซีอยากพูดกับฉังเคอเหลือเกินว่าให้ตระกูลปั๋วมาทาบทามเลย มาทาบทามให้เร็วเป็นดีที่สุด
สีหน้าของปั๋วหมิงเย่ว์ต้องน่าขบขันมากเป็นแน่
ฉังเคอกลับเข้าใจผิดคิดว่าหวังซีรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวเพียงมีความคิดพิลึกพิลั่น เดินวนไปมาอย่างร้อนใจ ดึงหวังซีเข้าไปในห้องชั้นใน กดนางนั่งลงบนเตียงเตาตัวใหญ่ริมหน้าต่าง กล่าว กูไหน่ไนของข้า เจ้าอย่าเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกขบขันเชียว เจ้าไม่เพียงมีหน้าตางดงาม ครอบครัวยังร่ำรวยมั่งคั่ง หากมิใช่เพราะองค์ชายหลายพระองค์ยังไม่แต่งงาน จึงไม่กล้ารับอนุก่อนล่ะก็ แม้แต่การแต่งให้องค์ชายสักคนหนึ่งก็มิใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เจ้าอย่าคิดว่าข้าตื่นตูมเกินเหตุ!
มิได้ มิได้! หวังซีปลอบโยนฉังเคอ
อาหนานนำน้ำชามาให้
หวังหมัวมัวที่ได้ยินข่าวแล้วก็เร่งตามเข้ามาด้วย
นางกล่าวอย่างร้อนใจว่า นี่เรื่องอะไรกันเจ้าคะ! ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวพูดเองเออเองผู้เดียว หรือว่าทางจวนชิ่งอวิ๋นโหวส่งคำทาบทามมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวแล้วจริงๆ? ตอนพูดถึงเรื่องนี้มีใครอยู่ด้วยบ้าง แต่ละคนว่าอย่างไรบ้าง
หลักๆ แล้วหวังหมัวมัวรู้สึกว่า ‘สถานะต่างกันมากเกินไปไม่เหมาะสม’ ปั๋วหมิงเย่ว์มิใช่คู่ที่ดีของหวังซี
ฉังเคอเองก็ไม่ค่อยกระจ่างแจ้งนัก บอกว่าได้ยินมาจากคุณหนูพาน พี่สาวสามเองก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน ข้าคิดว่าไม่คล้ายเป็นข่าวลือ
หวังหมัวมัวกล่าว ซือหมัวมัวน่าจะปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าตลอด หากมีเรื่องเช่นนี้จริง นางน่าจะรู้กระจ่างแจ้งที่สุด ข้าจะไปสอบถามนางดู จากนั้นกล่าวขอบคุณฉังเคอเป็นล้นพ้นอีกคำรบหนึ่ง
ทำเอาฉังเคอหน้าแดงก่ำไปหมด กล่าวไม่หยุดว่า ข้ากับอาซีเป็นพี่น้องกัน ข้าคาดหวังให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี ก็คาดหวังให้นางได้ดีด้วยเช่นกัน
หวังหมัวมัวอดมองนางด้วยความชื่นชมไม่ได้
ฉังเคอเป็นคนที่ไม่โดดเด่นในหมู่พี่น้อง ธรรมเนียมปฏิบัติของจวนหย่งเฉิงโหวก็มิได้ดีมาก คิดไม่ถึงว่านางกลับเป็นคนซื่อตรงที่หาได้ยากยิ่ง
นับจากนี้เป็นต้นไปเวลามีเรื่องอะไรหวังหมัวมัวก็ยินดีดูแลนางเพิ่มขึ้น นี่เป็นเรื่องในภายหลังจะยังไม่เอ่ยถึง
นางรีบไปหาซือหมัวมัว
หวังซีกลับเร่งฉังเคอให้รีบอาบน้ำและไปพักผ่อน
วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากเหลือเกิน นางต้องไปทบทวนอย่างละเอียด
ทบทวนอดีตเพื่อเข้าใจอนาคต มีแต่คนที่ใคร่ครวญกับตัวเองบ่อยๆ เท่านั้น ถึงจะรู้ว่าตัวเองมีจุดบกพร่องตรงไหนบ้าง ต่อไปยามพานพบกับปัญหาอีกจะได้รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
ฉังเคอฉุนในความไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของนาง กล่าวว่า เจ้าเอาขนมหวานมาให้สักหน่อยได้หรือไม่
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า หวังหมัวมัวไปสืบข่าวแล้วมิใช่หรือ พวกเราร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนี่นา! มิสู้พักผ่อนให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้ถึงจะมีเรี่ยวแรงมาจัดการได้!
ฉังเคอครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง แต่สุดท้ายนางยังคงเป็นห่วงอยู่ นอนกลิ้งตัวไปมา ตีกลองบอกเวลายามสามแล้วถึงสะลึมสะลืมผล็อยหลับไป
หวังซีที่เข้าใจเรื่องสำคัญทุกอย่างดีนอนหลับตาอยู่บนเตียง ไม่มีความง่วงเลยสักนิด
เรื่องของจวนชิ่งอวิ๋นโหวยังไม่ต้องเป็นกังวลก็ได้ เรื่องของเป่าชิ่งจ่างกงจู่มีเฉินลั่วดูแลอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดมาก แต่หนี้บุญคุณที่องค์ชายสี่ติดค้างนางอยู่นั้น นางต้องขบคิดให้ดี
นางไม่อาจเสียชื่อเสียงแล้วไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลย
แต่องค์ชายสี่มิใช่ทั้งโอรสจากภรรยาเอกและมิใช่ทั้งโอรสองค์โต พระมารดาที่มีแต่ความงามก็มิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้สักเท่าไรนัก แล้วจะให้ประโยชน์อะไรกับนางได้ คล้ายกับหลี่ว์ปู้เหวย[1]จริงๆ และองค์ชายสี่ก็มิใช่อิ๋งเจิ้ง[2]!
แต่จะให้ปล่อยผ่านไปง่ายๆ เช่นนี้ หวังซีก็รู้สึกค้างคาใจ
องค์ชายสี่น่าจะมีประโยชน์อะไรสักอย่างอยู่กระมัง
การค้าที่เจิงเฉิงนั้นไม่ต้องคิดเลย
ภูเขาที่ว่าสูงแล้วยังมีภูเขาสูงกว่าอีกมากมาย
แทนที่จะคาดหวังในตัวองค์ชายสี่ที่ไร้ซึ่งดินแดนปกครอง มิสู้คาดหวังให้ปั๋วหมิงเย่ว์มาตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ดีกว่า
การค้าที่เจียงหนาน? น้ำที่ซูโจวเจ้อเจียงนั้นไม่รู้ว่าลึกเพียงใด ไม่ต้องพูดถึงองค์ชายสี่ แม้แต่บิดาของนาง ใช้ความคิดไปมากมายยังไม่อาจได้ส่วนแบ่งจากเจียงหนานเลย
คิดเช่นนี้แล้ว เหตุใดองค์ชายสี่ผู้นี้ถึงดูเหมือนเป็นบุตรชายที่ถูกทอดทิ้งยิ่งนัก
มิเท่ากับว่านางเสียสละชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ!
ไม่ได้ นางไม่อาจทำการซื้อขายแล้วขาดทุนใหญ่หลวงขนาดนี้ได้?
รอให้องค์ชายสี่มีดินแดนปกครอง?
ไม่แน่ว่าอาจจะภายในหนึ่งถึงสองปีนี้ก็เป็นได้?
ฮ่องเต้คงไม่ปล่อยให้โอรสของตนกลุ่มนี้ครองตัวเป็นโสดไปตลอดและไม่ตั้งแต่รัชทายาทเสียทีหรอกกระมัง
ท่านหมอเฝิงบอกว่า ฮ่องเต้ประชวรเป็นโรคใจสั่น โรคนี้ยังเป็นโรคของคนรวย[3] มีอารมณ์โกรธไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวมิใช่หรือ
หวังซีคิดไปคิดมาก็คิดวิธีดีๆ อะไรไม่ได้เลย
ในเมื่อไม่มีความสามารถนี้ก็ไม่ต้องทำเรื่องนี้ต่อแล้ว ไม่อย่างนั้นตัวเองเหนื่อยแทบตาย แต่ผู้อื่นก็ไม่ซาบซึ้งใจ ยังทำให้เรื่องล้มเหลวอีก นี่มิเท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองหรอกหรือ
นางตัดสินใจว่าพรุ่งนี้พอฟ้าสางจะเขียนจดหมายให้หลงจู๊ใหญ่สักฉบับหนึ่ง เล่าเรื่องที่องค์ชายสี่ติดหนี้บุญคุณนางหนึ่งครั้งให้พี่ชายใหญ่ของนางฟัง ให้พี่ชายใหญ่ของนางไปคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี
หากฟ้าถล่มลงมา นี่มิใช่ว่ามีผู้สูงกว่าคุ้มกะลาหัวให้อยู่หรือ
หวังซีพลันหายห่วงเป็นปลิดทิ้ง ในที่สุดก็ผล็อยหลับไปได้อย่างสบายใจ
………………………………………………………..
[1] หลี่ว์ปู้เหวย เป็นพ่อค้าและนักการเมืองที่มีชื่อแห่งรัฐฉินในยุครณรัฐ ได้คบหาและช่วยเหลือพระเจ้าจวงเซียงจนได้ครองบัลลังก์รัฐฉินต่อจากบิดา ภายหลังอิ๋งเจิ้งหรือที่เป็นที่รู้จักในพระนามจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าจวงเซียงผู้เป็นบิดา อิ๋งเจิ้งมีพระประสงค์จะลงโทษประหารหลี่ว์ปู้เหวยในฐานะที่เป็นคนแนะนำกบฏเข้าสู่วังหลวง ขุนนางในราชสำนักร่วมกันคัดค้านจึงลดโทษเป็นการเนรเทศออกจากเมืองหลวง แต่สุดท้ายหลี่ว์ปู้เหวยตัดสินใจดื่มยาพิษปลิดชีพตัวเอง
[2] อิ๋งเจิ้ง พระนามเดิมของจิ๋นซีฮ่องเต้
[3] โรคคนรวย เปรียบเปรยว่าเป็นโรคที่ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก
ตอนต่อไป