เช้าวันรุ่งขึ้น หวังซีตื่นสายเล็กน้อย เมื่อแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จออกจากห้องมา ค้นพบว่าท้องฟ้ามีฝนตกโปรยปราย อากาศสดชื่นกว่าปกติหลายส่วน
นางยืนอยู่ใต้ชายคาครู่หนึ่ง ฉังเคอถึงตื่น
อรุณสวัสดิ์! นางกล่าวทักทายหวังซีครั้งหนึ่ง ถามอีกว่า เช้านี้กินอะไรหรือ
แม่ครัวของหวังซีมีฝีมือดี นางรู้หลักของ ‘คนมั่งคั่งไม่โอ้อวด’ ดี ถึงแม้จะมาขอข้าวกินบ่อยๆ ทว่าที่ผ่านมาไม่เคยไปบอกกล่าวกับคนข้างนอกเลย
อาหนานที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างได้ยินแล้วรีบกล่าวรายงานรายการอาหาร มีข้าวต้มขาวเค็ม ข้าวต้มปลา ข้าวต้มผักไข่เค็ม ข้าวต้มหมูก้อน ขาไก่นึ่งปรุงรส ซี่โครงหมูนึ่ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดนึ่ง ขาหมูตุ๋น ผ้าขี้ริ้วนึ่งขิงต้นหอม กระเพาะวัวตุ๋น ซาลาเปาหน้าแตก ซาลาเปาไส้เยิ้ม ขนมรังผึ้ง ซาลาเปาเข่ง ขนมแป้งเหนียวม้วน และขนมผักกาดเจ้าค่ะ
ฉังเคอได้ยินแล้วน้ำลายไหลไม่หยุด หวังซีเองก็น้ำลายสอแล้วเช่นกัน
ทั้งสองคนไปรับประทานมื้อเช้าที่ห้องโถงรับรอง
ฝนที่ตกพรำๆ ยิ่งตกยิ่งแรง ชำระล้างต้นไม้เขียวครึ้มที่มีเต็มลานบ้านจนสะอาดสะอ้าน ยิ่งดูเขียวชอุ่มมากขึ้น
ฝนนี้ช่างตกลงมาได้พอดียิ่ง ฉังเคอวางตะเกียบลง พลางกล่าว พวกเราก็นั่งดื่มชากันตรงนี้เถอะ
หวังซีจึงเรียกอาหนานเข้ามาเก็บโต๊ะ ไป๋จื่อและอีกสองสามคนช่วยกันต้มชา
หวังหมัวมัวลุยฝนเข้ามา
ฉังเคอดวงตาเป็นประกาย รีบบอกให้พวกอาเป่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าให้หวังหมัวมัวเช็ดหน้า
หวังหมัวมัวสะบัดหยดน้ำบนร่างกาย กล่าวยิ้มๆ ว่า โชคดีที่ฝนตกไม่หนัก มิใช่เรื่องน่าเป็นห่วงนัก
หวังซีกลับเห็นอาการเหนื่อยล้าเต็มดวงหน้าของนาง คิดว่าเมื่อคืนคงไม่ได้นอนหลับดีๆ เป็นแน่ อีกทั้งพอนางกินมื้อเช้าเสร็จก็เร่งมารายงานข่าวคราวทันที เกรงว่าข้อมูลของตระกูลปั๋วที่ได้มาคงไม่ค่อยดีนัก
นางนั่งอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นกับฉังเคอ ให้สาวใช้เด็กยกเก้าอี้กลมมาวางข้างๆ นางแล้วเชิญหวังหมัวมัวนั่งลง รินน้ำชาให้หวังหมัวมัวด้วยตัวเองเสร็จแล้ว ถึงได้ฟังหวังหมัวมัวเล่าข้อมูลที่ไปสืบมาได้
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวเป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา หวังหมัวมัวดื่มชาไปหนึ่งจิบ กล่าวอย่างเป็นลำดับและชัดเจนว่า ตอนนั้นฮูหยินซื่อจื่อของจวนชิ่งอวิ๋นโหวให้หมัวมัวคนสนิทไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหว หมัวมัวผู้นั้นเคยเดินสวนกับท่านมาก่อน พอเจอคนจวนเซียงหยางโหวจึงถามถึงครั้งหนึ่ง ชมว่าท่านหน้าตางดงาม…
…ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวจึงได้ความคิดเป็นแม่สื่อให้ท่าน…
…กระทั่งหมัวมัวของจวนชิ่งอวิ๋นโหวกลับไปแล้ว นางจึงเอ่ยเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่า…
…ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าการเกี่ยวดองครั้งนี้ดียิ่ง จึงตอบคำของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวไปโดยมิได้ปรึกษาผู้ใด เชิญนางหาคนไปหยั่งเชิงจวนชิ่งอวิ๋นโหว…
…ผู้ใดจะรู้ว่าคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวส่งไปพบฮูหยินซื่อจื่อจวนชิ่งอวิ๋นโหวนั้นจะได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาด้วย เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขากำลังปวดหัวกับเรื่องงานแต่งของคุณชายปั๋วพอดี พอได้ยินก็รู้สึกสนใจ จึงวิ่งมาหาด้วยตัวเอง…
…เรื่องราวช่างบังเอิญอย่างยิ่ง…
…ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวมาถึงนั้นท่านกำลังเข้ามาจากด้านนอกพอดี มีชิงโฉวกับหงโฉวพาไปแต่งตัวที่ห้องข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวเห็นแล้วก็ถูกใจท่าน บอกว่าท่านเป็นคนมีวาสนาดี จากนั้นก็หมุนกายกลับไปโดยมิได้พบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าของจวนพวกเรา ให้คนนำความไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหว ให้นางช่วยทาบทามการแต่งงานครั้งนี้ให้
ฉังเคอฟังแล้วอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก มองหวังซีซ้ายทีขวาทีมองแล้วมองอีก เอ่ยอย่างสงสัยว่า ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นมองเจ้าเช่นนี้เพียงครั้งเดียว ทั้งมิใช่อาจารย์เทวดาและมิใช่พระผู้หยั่งรู้ มองว่าเจ้าเป็นผู้มีวาสนาดีผู้หนึ่งจากตรงไหนกัน? ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นคงมิใช่ถูกปั๋วหมิงเย่ว์พูดหว่านล้อมจนเหมือนกับปั๋วหมิงเย่ว์ไปแล้ว ที่ขอเพียงงดงามก็ได้แล้วเช่นนั้นหรอกกระมัง
หวังซีต่อว่านางยิ้มๆ ประโยคหนึ่งว่า ปากสุนัขไม่มีทางพ่นงาช้างออกมาได้จริงๆ จากนั้นถามหวังหมัวมัวว่า เจ้ามีความคิดอะไรบ้าง
สีหน้าเหนื่อยล้าของหวังหมัวมัวดูเด่นชัดมากขึ้น กล่าวอย่างไร้ทางออกว่า บ่าวเองก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าควรทำอย่างไรดี ถ้าหากเป็นเพียงความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหว บ่าวมีวิธีทำให้จวนชิ่งอวิ๋นโหวถอดใจได้เป็นพันเป็นหมื่นวิธี แต่ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาเองก็ถูกใจคุณหนูด้วย…
จึงค่อนข้างเป็นปัญหาเล็กน้อย
หวังซีนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
ฉังเคอกล่าว ข้าว่าเรื่องนี้เชิญผู้อาวุโสในบ้านออกหน้าให้ดีกว่ากระมัง เจ้าลองไปหาท่านลุงใหญ่ดูดีหรือไม่ เกี่ยวดองกับชวนชิ่งอวิ๋นโหวไม่มีข้อดีอะไรเลย
แต่การใช้ข้าไปเกี่ยวดอง กลับมิใช่เรื่องเลวร้ายอะไร หวังซีตัดบทคำพูดของฉังเคอ โดยนามของข้าแล้ว ก็เป็นเพียงหลานสาวจากบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าผู้หนึ่งเท่านั้น
ฉังเคอกับหวังหมัวมัวต่างก้มศีรษะลง
หวังซีเห็นบรรยากาศหดหู่เล็กน้อย จึงหัวเราะออกมา กล่าวกับหวังหมัวมัวว่า เจ้ายื่นหูเข้ามา
หวังหมัวมัวประหลาดใจ จากนั้นหัวเราะออกมาทั้งดวงตา รีบขยับเข้าไปใกล้
หวังซีกระซิบที่ข้างหูหวังหมัวมัวครั้งหนึ่ง
หวังหมัวมัวยากจะปกปิดความตกใจเอาไว้ได้ เกือบจะกระโดดโหยงขึ้นมาแล้ว กระทั่งหวังซีพูดจบ นางก็ตะกุกตะกักไม่รู้จะพูดอะไรดี นี่…นี่จะได้อย่างไรเจ้าคะ ข้า…ข้า…
หวังซีกลับสงบนิ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า เจ้าไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เขียนจดหมายให้พี่ชายใหญ่ จึงกำชับนางอีกครั้งว่า เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งก่อน ช่วยข้าเอาจดหมายไปให้หลงจู๊ใหญ่สักฉบับ
นางไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ชายใหญ่อยู่ที่ไหน จำต้องให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยส่งจดหมายให้
จากนั้นนางอธิบายให้ฉังเคอฟังอีกสองสามประโยค แล้วรีบร้อนไปที่ห้องหนังสือ
ฉังเคอกับหวังหมัวมัวต่างมองหน้ากันตาปริบๆ อยู่ในห้องโถงรับรอง ฉังเคอยิ่งแล้วใหญ่รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกแมวตะปบก็ไม่ปาน อยากถามหวังหมัวมัวว่าเมื่อครู่หวังซีพูดอะไรกับนางบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเสียมารยาท จึงไม่กล้าเอ่ยปากถาม
หวังหมัวมัวเองก็จิตใจว้าวุ่นไปหมด ต่อให้ฉังเคอถามนาง นางเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี นอกจากนี้ฉังเคอเพียงอยากถามแต่ไม่ได้ถาม นางก็เลยยิ่งไม่อยากพูดเรื่องนี้กับนาง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย เอ่ยถึงเรื่องตระกูลหันกับฉังเคอ ได้ยินว่าตระกูลหันซื้อบ้านหลังหนึ่งที่เขตเป่าเสียง งานมหาวันเกิดครบรอบหกสิบปีของนายหญิงผู้เฒ่าหันเตรียมจัดที่บ้านหลังใหม่หรือ นี่พวกเขาคงคิดจะโจมตีภูเขาข่มขวัญพยัคฆ์กระมัง
อาศัยอยู่ที่จิงเฉิง มิใช่เรื่องง่ายเลย
ยิ่งไปกว่านั้นจิงเฉิงมีคำกล่าวว่า ‘ประจิมแพงบูรพามั่งคั่งทักษิณยากจนอุดรราคาถูก’ มาโดยตลอด
เขตเป่าเสียงนั่นอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ทางประตูซีจื๋อ
ตระกูลหันซื้อบ้านอยู่ที่นั่นหลังหนึ่ง ลงเงินไปก้อนใหญ่
ก่อนคุณหนูหันออกเรือนเชิญคนรุ่นเด็กของตระกูลสามีไปร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่าหัน โดยมากเป็นเพราะอยากให้คนตระกูลฉังเห็นว่าตระกูลหันร่ำรวยมากเพียงใด เป็นการสำแดงอำนาจให้ตระกูลฉังเห็น ยามเจ้าสาวคนใหม่เข้าบ้านมาจะได้ไม่ถูกบรรดาสะใภ้และน้องสาวของสามีรังแก
ฉังเคอยังค้างคาใจอยู่ อยากถามหวังหมัวมัวว่าหวังซีคุยอะไรกับนางบ้าง จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนตอบคำถามยังใจลอยเล็กน้อย ตระกูลหันแต่เดิมเป็นคนอันฮุย เป็นพ่อค้าชาลำดับต้นๆ ของอันฮุย ใต้เท้าหันสอบขุนนางไม่ติดจึงเปลี่ยนไปสอบทหารแทน ครอบครัวมั่งคั่งร่ำรวย หากอยากตั้งรกรากที่นี่จริงๆ ย่อมซื้อบ้านได้ เช่นนี้แล้วคนตระกูลหันเองเวลาเข้าเมืองหลวงก็จะได้มีสถานที่พักเท้าสักแห่งหนึ่งด้วย
หวังหมัวมัวจึงพูดเรื่องตระกูลหันกับนางต่อ ได้ยินว่าคุณหนูหันเป็นลูกคนเดียว บิดาของนางรับบุตรชายคนรองจากครอบครัวลุงของนางมาเป็นบุตรบุญธรรม ครอบครัวฝั่งตาของคุณหนูหันกับตระกูลหันเป็นตระกูลที่เหมาะสมกันทั้งฐานะทางการเงินและสถานะในสังคม สินเจ้าสาวของมารดานางย่อมไม่น้อยเช่นกัน ไม่รู้ว่าตระกูลฝั่งตาของคุณหนูหันทำการค้าอะไร
ฉังเคอกล่าว คล้ายจะทำธุรกิจค้าผ้า มีเอกสิทธิ์พิเศษในการขายผ้าป่านเนื้อหยาบและผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด ได้ยินว่าการค้าขยายไปทั่วทั้งเหนือและใต้ ค้าขายดียิ่งนัก
ตระกูลหวังทำการค้าที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงเหนือ ทางนั้นผ้าป่านเนื้อหยาบได้รับความนิยมมากกว่าผ้าไหม
หวังหมัวมัวจึงสงสัยว่าตระกูลฝั่งตาของคุณหนูหันใช่สกุลจางของสวีโจวหรือไม่
ทั้งสองคนคุยสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ฉังเคอไม่มีโอกาสได้สอบถามหวังหมัวมัวว่าหวังซีพูดอะไรกับนางบ้าง หวังซีก็เร่งกลับเข้ามาอย่างรีบร้อน ยื่นจดหมายในมือส่งให้หวังหมัวมัว กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องเร่งจัดการโดยเร็ว! เจ้าอย่ามัวโอ้เอ้ จนเมื่อถึงเวลาแล้วระงับเอาไว้ไม่ทัน
หวังหมัวมัวยังคงลังเลเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำไปหมด กล่าวว่า ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ หากบอกคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่ต้องมีวิธีอย่างแน่นอน!
หวังซียิ้มกล่าว กว่าพี่ชายใหญ่ของข้าจะเร่งมาถึงก็สายไปแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากรอพี่ชายใหญ่ของข้า?
นายหญิงของพวกเขาขอร้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยหาคู่ครองดีๆ ให้คุณหนูใหญ่สักคน ฮูหยินผู้เฒ่ามีสิทธิ์หมั้นหมายให้หวังซีโดยไม่ต้องแจ้งตระกูลหวังจริงๆ
หวังหมัวมัวไม่กล้าชักช้า วิ่งเหยาะๆ ออกจากสวนหิมะงามไป
ฉังเคออดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ถามขึ้นว่า ตกลงเจ้าคุยอะไรกับหวังหมัวมัวกันแน่ เหตุใดต้องไปหาหลงจู๊ใหญ่ด้วย มีอะไรที่ข้าช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่
นางมองหวังซีด้วยความเป็นห่วง ดวงหน้ามีความกังวลโดยไม่รู้ตัว
หวังซีหัวเราะ กล่าวว่า เจ้าวางใจ เรื่องของข้ากับตระกูลปั๋วนั้นมิได้จะกำหนดลงมาได้ง่ายดายขนาดนั้น ส่วนเรื่องหลงจู๊ใหญ่นั้น ข้าขอให้เขาช่วยไปถามปู่เฝิงสักหน่อย ดูว่าเมื่อใดเขาจะมีเวลาว่างไปวัดต้าเจวี๋ยกับข้าสักครั้ง!
ส่วนเรื่องระหว่างนางกับองค์ชายสี่และปั๋วหมิงเย่ว์นั้น ไม่บอกฉังเคอดีกว่า นางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
ฉังเคอรู้สึกว่าเรื่องการทาบทามระหว่างหวังซีกับปั๋วหมิงเย่ว์เป็นเรื่องสำคัญกว่า คำพูดของหวังซีจึงไม่อาจเบี่ยงเบนความสนใจของนางไปได้ นางพูดเรื่องนี้ต่อ ฮูหยินซื่อจื่อของจวนชิ่งอวิ๋นโหวคือคุณหนูใหญ่ของจวนเซียงหยางโหว พวกเราให้คนนำความไปบอกนางสักสองสามประโยคดีหรือไม่ นางเป็นที่โปรดปรานของฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นอย่างมาก เรื่องหน้าที่การงานของน้องชายร่วมอุทรของนาง ก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นคนออกหน้าไปพูดกับชิ่งอวิ๋นโหวให้
พอแล้ว พอแล้ว! หวังซีจับไหล่ของฉังเคอเอาไว้กล่าวยิ้มๆ ว่า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หวังหมัวมัวไปหาหลงจู๊ใหญ่แล้ว หลงจู๊ใหญ่ออกหน้าให้ย่อมได้ผลกว่าพวกเราออกหน้าเอง พวกเรารอข่าวคราวจากเขาก็พอ
ฉังเคอไม่เชื่อ
นางมองหวังซีด้วยความสงสัย กล่าวว่า เจ้าต้องมีแผนอยู่เบื้องหลังอีกแน่ๆ!
หวังซีประหลาดใจเล็กน้อย ถามว่า เหตุใดเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้
ฉังเคอครวญเสียงเย็นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า ข้ารู้จักเจ้าดี หากเจ้าไม่มีความมั่นใจ จะหัวเราะอย่างเริงร่าเช่นนี้ได้อยู่หรือ
ฮ่าๆๆ! หวังซีหัวเราะลั่นอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกว่าพี่สาวต่างสกุลผู้นี้คุ้มค่าที่ได้รู้จัก แต่นางยังคงดึงนางตรงไปยังนอกห้องโถง วันนี้ไม่ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า พวกเราทำอะไรสนุกๆ กันดีกว่า? แข่งโยนลูกธนูหรือไม่ก็เล่นหมากล้อม?
นางอยากให้ฉังเคอเบิกบานขึ้น ตั้งใจจะเล่นอะไรที่ฉังเคอเล่นได้ดี เป็นการประจบเอาใจนาง
ฉังเคอยังคงไม่วางใจ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของหวังซี จึงพูดคุยเรื่องการละเล่นที่ตัวเองชื่นชอบตามที่นางเอ่ยชวน
ฝนในฤดูร้อนนี้ตกหนักบ้างตกเบาบ้างติดต่อกันหลายวัน จนกระทั่งฝนหยุด อากาศก็แจ่มใสและร้อนขึ้นมา ให้ความรู้สึกของหน้าร้อนอย่างชัดเจน บรรดาสตรีของจวนหย่งเฉิงโหวเอง ก็ถึงวันไปอวยพรวันคล้ายวันเกิดของเซียงหยางโหวฮูหยินที่จวนเซียงหยางโหวแล้วเช่นกัน
วันคล้ายวันเกิดของคนรุ่นเด็กผู้อาวุโสไม่ต้องเข้าร่วม นอกจากนี้หากผู้อาวุโสอยู่ด้วย ก็จัดใหญ่โตโอ้อวดมากไม่ได้
แต่วันคล้ายวันเกิดของเซียงหยางโหวฮูหยินนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวเป็นคนช่วยจัดให้ ประกอบกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวชวนฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวมาที่จวนด้วย สตรีของจวนหย่งเฉิงโหวจึงไปจวนเซียงหยางโหวกันทั้งครอบครัว
จวนเซียงหยางโหวตั้งอยู่ที่เขตต้าสือยง ห่างจากจวนหย่งเฉิงโหวไม่ไกลนัก ใช้เวลานั่งรถม้าไปเพียงสามเค่อ[1]เท่านั้น
สตรีจากจวนหย่งเฉิงโหวลงจากรถม้า หมัวมัวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวมาต้อนรับพวกนางอย่างยิ้มแย้ม
ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ต่างบังเกิดความสงสัยในใจทว่ามิได้เอ่ยออกมา มีเพียงฉังหนิง มองหวังซีครั้งหนึ่งแล้วก็โพล่งออกมาอย่างไม่สนใจอะไรว่า นี่จวนเซียงหยางโหวหมายความว่าอย่างไร คนจากครอบครัวของพวกข้ามากล่าวอวยพรฮูหยินของพวกเขา แม้แต่ท่านย่าก็มาด้วย แต่พวกเขาส่งหมัวมัวมาต้อนรับพวกเรา? นี่พวกเขาต้องการเป็นอริกับพวกเราอย่างนั้นหรือ
………………………………………………………………………
[1] เค่อ หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
ตอนต่อไป