ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวรู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน ทว่าโหวฮูหยินกลับไม่ค่อยเชื่อนัก

แม้นนางไม่ค่อยสนิทสนมกับหวังซี แต่มองภาพใหญ่จากเรื่องเล็กน้อยแล้ว หลายๆ เรื่องที่หวังซีทำนับตั้งแต่เข้าเมืองหลวงเป็นต้นมา นางล้วนชมชอบทุกอย่าง

นางคิดว่าต่อให้หวังซีเลอะเลือนไปชั่วขณะจนกระทำเรื่องผิดพลาด ก็ไม่น่าจะถูกผู้อื่นจับได้จนนำมาเป็นจุดอ่อนได้ง่ายดายขนาดนี้

โหวฮูหยินไม่รอให้หวังซีตอบฮูหยินผู้เฒ่า ก็ตัดสินใจดึงหวังซีไปข้างๆ กล่าวสนับสนุนนางว่า เจ้าไม่ต้องตระหนก! ค่อยๆ คิดให้ละเอียดว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองเล่าให้พวกข้าฟัง ไม่มีเหตุผลที่พอปั๋วหมิงเย่ว์กล่าวว่าเจ้าพิสมัยเฉินลั่วเจ้าก็พิสมัยเฉินลั่วจริง หากให้ข้าพูด ไม่แน่ว่าเป็นปั๋วหมิงเย่ว์ผู้นั้นเองที่มีเจตนาซ่อนเร้น ถูกใจคุณหนูสักตระกูลแต่สู่ขอไม่เป็นผล จึงหยิบยกเอาคำพูดที่ว่า ‘หาภรรยาต้องหาที่หน้าตางดงาม’ นั่นมาเป็นข้ออ้าง!…

…จวนเซียงหยางโหวของพวกเขารู้สึกเสียหน้า พวกเราไม่รู้สึกเสียหน้าหรือ!

ยามนางกล่าวถ้อยคำนี้ดูคร่ำเคร่งยิ่งนัก

นางยังมีบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนหนึ่งคน บุตรชายที่ยังมิได้หมั้นหมายอีกสองคน จะยอมให้ญาติในบ้านมีชื่อเสียงเสียหายแพร่ออกไปได้อย่างไร

มิเท่ากับกระทบต่อเรื่องแต่งงานของบุตรสาวของนางหรอกหรือ!

หวังซีประหลาดใจมาก

แต่เมื่อนางขบคิดก็เข้าใจเจตนาของโหวฮูหยิน

แม้นกล่าวว่าที่นางทำเช่นนั้นเพราะต้องการขายความดีความชอบให้องค์ชายสี่สักครั้ง แต่นางยังไม่ได้รับอะไรดีๆ ตอบแทนกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว เหตุใดต้องขายทุกอย่างจนหมดกระเป๋าด้วย!

นางรีบกล่าว ฮูหยินอย่าได้เป็นกังวล ตอนนั้นข้าทำปิ่นดอกไม้ตก จึงไปหาปิ่นดอกไม้ เรื่องนี้คุณหนูลู่และคุณหนูรองอู๋ล้วนช่วยเป็นพยานให้ข้าได้ ส่วนเรื่องเจอคุณชายรองเฉินนั้น นั่นล้วนเป็นความบังเอิญทั้งสิ้น ในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่ว่าใครได้เจอคนรู้จักล้วนรู้สึกชิดใกล้ทั้งนั้น

โหวฮูหยินได้ฟัง ก็รู้แล้วว่าจะช่วยพูดให้หวังซีได้อย่างไรบ้าง

นางอดไม่ได้พยักหน้าหงึกๆ คิดว่าต้องนัดแนะกับบรรดาสตรีในบ้านสักหน่อย อย่าให้กลายเป็นว่าเจ้าพูดอย่างหนึ่งข้าพูดอีกอย่างหนึ่ง สุดท้ายถูกคนอื่นจับช่องโหว่ได้ กลายเป็นคิดว่าหวังซีเคยวิ่งไล่ตามเฉินลั่วจริงๆ

เพียงแต่ว่านางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ซือจูที่แต่เดิมยืนดูละครอยู่ด้านข้างพลันกระโดดออกมา ชี้หวังซีแล้วกล่าวว่า เจ้าเองก็ไม่ดูตัวเองเลยว่าเจ้ามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลอะไร คิดว่ามาถึงจิงเฉิง อาศัยจวนหย่งเฉิงโหวแล้วจะเปลี่ยนจากนกกระจอกเป็นนกเฟิ่ง[1] มีคุณสมบัติสูงส่งแต่งเข้าตระกูลใหญ่ตระกูลโตได้แล้วอย่างนั้นหรือ พูดว่าไปหาปิ่นดอกไม้อะไรกัน คำพูดนี้ของเจ้าก็หลอกได้แค่คนจิตใจดีอย่างท่านป้าสะใภ้เท่านั้น! ในสถานการณ์เช่นนั้น ผู้ใดไม่มีสาวใช้หรือหญิงสูงวัยปรนนิบัติอยู่ข้างกายบ้าง ทำปิ่นดอกไม้หายไปชิ้นหนึ่งก็สมควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วหรือ ปกติร่ำรวยมากมิใช่หรือ ตอนนี้ไม่แสร้งเป็นคนมั่งคั่งแล้ว?

หวังซีโกรธจนกระทืบเท้า

ปกติไม่ลดตัวลงไปมีเรื่องกับนาง นั่นก็เพราะนางไม่ได้ยั่วยุตน

ตนจะวิ่งไล่ตามเฉินลั่วหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับนางด้วย

หวังซีหัวเราะเสียงเย็นครั้งหนึ่ง เอ่ยปากกล่าว รบกวนคุณหนูซือสงบปากด้วย เจ้าก็เป็นแค่ญาติผู้หนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหว เรื่องของจวนหย่งเฉิงโหว ถึงคราวให้เจ้าเป็นผู้ตัดสิน ชี้มือชี้ไม้เมื่อใดกัน ส่วนเรื่องที่ข้าจะร่ำรวยหรือไม่ ข้างกายมีหญิงรับใช้ปรนนิบัติอยู่หรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย…

…ต่อให้ข้าร่ำรวยมากกว่านี้ ก็ไม่มีทางตกเงินรางวัลให้เจ้าโดยไร้เหตุผล หญิงรับใช้ข้างกายจะมากหรือน้อย ก็มิได้กินข้าวบ้านเจ้า เจ้าจุ้นจ้านมากเกินไปหรือไม่

กล่าวถึงตรงนี้ นางพลันนึกถึงเรื่องที่ฉังเคอเล่าให้ฟัง ตอนเด็กซือจูเคยถือกระบอกเก็บลูกธนูให้เฉินลั่วมาก่อน ยังยืนกลางหิมะตกหนักถึงสองชั่วยามด้วย

นางอยากจะเปิดโปงความผิดพลาดของซือจูไปตรงๆ แต่ก็คิดว่าเรื่องประเภทนี้พูดออกไปออกจะเป็นการถากถางที่รุนแรงเกินไป สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ระงับความโกรธในใจลงไป เปลี่ยนวิธีการพูดให้ดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย ข้าลืมไป ตอนเด็กคุณหนูซือกับคุณชายรองเฉินเคยเล่นด้วยกันมาก่อน คงไม่ได้คิดว่าการที่เคยเล่นด้วยกันมาก่อนตอนเด็กก็เท่ากับเป็นครอบครัวเดียวกัน ผู้ใดได้ประโยชน์จากคุณชายรองเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดใจเสมือนไปกินเนื้อของครอบครัวเจ้าด้วยหรอกกระมัง

เจ้า… ซือจูหน้าซีดเผือด ชี้หวังซีครู่ใหญ่ก็ยังพูดอะไรไม่ออก

นี่เป็นความเจ็บปวดในใจนาง และเป็นประสบการณ์ดำมืดที่นางไม่อยากเอ่ยถึง คิดไม่ถึงว่านอกจากหวังซีจะรู้เรื่องแล้ว ยังหยิบยกเรื่องนี้มาทิ่มแทงนางด้วย หัวสมองของนางส่งเสียงดังหึ่งๆ คล้ายถูกแป้งเปียกพอกเอาไว้ขยับเขยื้อนไม่ได้

หวังซีรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินต่างให้ความสำคัญกับคนจากตระกูลเดิมมากว่าคนในบ้าน นางไม่คิดจะจุดไฟไปทั่วทุกที่ ทำให้ตัวเองโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ถูกทุกคนต่อต้าน ทำงานหนักแต่ได้ผลตอบแทนน้อย เห็นว่าล้มความหยิ่งผยองของซือจูลงได้แล้ว ก็ไม่คิดจะบีบคั้นคนจนคนจนมุม ฉับพลันนั้นรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพื่อหันเหความสนใจของคนอื่นๆ ในห้องไปอยู่ที่จวนเซียงหยางโหวแทน

พวกเขาเป็นอะไรกันแน่ คนที่อยากจะช่วยทาบทามงานแต่งให้ข้าคือพวกนาง คนที่ปฏิเสธคือปั๋วหมิงเย่ว์ เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย ต่อให้เป็นการระบายความโกรธ ก็ไม่มีการระบายความโกรธด้วยวิธีนี้ ข้าว่า เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพวกนางไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา!

มากไปกว่านั้น เป็นบุรุษของจวนหย่งเฉิงโหวที่ไร้ความสามารถ ผู้อื่นรังแกแล้วก็ยังไม่มีความกดดันอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

โหวฮูหยินไม่ชอบซือจูเป็นพิเศษ รู้สึกว่าทุกครั้งที่นางมาจวนหย่งเฉิงโหวล้วนใช้หางตามองผู้อื่น แต่บุตรสาวและบุตรสะใภ้ของตนนั้นราวกับดื่มน้ำแกงร่ายคาถาเข้าไป ล้วนชอบประจบประแจงซือจู นางแสร้งเอ่ยถึงอย่างเย็นชาสองสามประโยค บุตรสะใภ้ทั้งสองคนฟังเข้าใจแล้ว ทว่าฉังหนิงบุตรสาวของนางกลับคล้ายน้ำเข้าสมองไปหมดแล้ว ไม่ว่าซือจูจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร นางล้วนยินดีค้อมตัวลงไปเป็นหินให้ซือจูเหยียบ พอนางพูดหลายครั้งเข้าว่าให้ฉลาดสักหน่อย ฉังหนิงก็จะไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นตอนนี้นางอยากควบคุมก็ไร้หนทางจัดการแล้ว

พอหวังซีเอ่ยปากกล่าวเช่นนี้ นางจึงยืนฝั่งเดียวกับหวังซีโดยไม่ต้องคิดให้มากความ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า ให้ไปตรวจสอบว่าผู้ใดเป็นคนเอาคุณหนูสกุลหวังไปพูดลับหลังตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดูจากท่าทีนี้เท่ากับว่าจวนเซียงหยางโหวเชื่อถือไปแล้ว พวกเขาทำเช่นนี้ เหตุใดพวกเราจะทำบ้างไม่ได้ คนมาร่วมงานเลี้ยงมากมายขนาดนี้ พวกเราต้องยืนให้ผู้อื่นขบขันอยู่ตรงนี้เท่านั้นหรือ นั่นต่างอะไรกับใบไม้เขียวที่ทำหน้าที่เป็นฉากหลังให้ดอกไม้แดง?…

…ผู้อื่นคิดอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ยอม

ก็เหมือนกับที่บุตรสาวของนางมักจะเป็นฉากหลังให้ซือจู

ฮูหยินผู้เฒ่าอ่อนแอมาตลอด อีกทั้งยังเห็นเซียงหยางโหวฮูหยินเป็นคนสนิท ได้ยินแล้วรู้สึกร้อนรนเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถามโหวฮูหยินว่า เจ้าว่าพวกเราควรทำอย่างไร

โหวฮูหยินเกือบจะกลอกตามองบนอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ไปแล้ว กล่าวว่า ในเมื่อจวนเซียงหยางโหวมีสถานที่ไม่พอ เช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนดีกว่า! อย่างไรพวกเราก็มาแล้ว และผู้อาวุโสอย่างท่านยังมากล่าวอวยพรนางด้วยตัวเอง ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนพูดขึ้นมา หรือพูดจากด้านไหนก็ตาม พวกเราล้วนมิได้ผิดต่อพวกเขา

นี่หมายความว่าต้องการสะบัดแขนเสื้อจากไปแล้ว!

จะเป็นการทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต ต่างคนต่างเสียหน้าหรือไม่

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งตัดสินใจไม่ได้

ครั้งนี้โหวฮูหยินกลับตัดสินใจแน่วแน่ต้องการให้จวนเซียงหยางโหวดูให้ดี และอยากใช้โอกาสนี้สอนฉังหนิงด้วยครั้งหนึ่ง ให้นางได้รู้ว่าการประจบประแจงนั้นมิใช่ว่าจะได้รับการยอมรับเสมอไป บางครั้ง มันอาจจะทำให้คนยิ่งเหิมเกริม ขึ้นมาเหยียบอยู่บนศีรษะของเจ้าแทนได้

คนดีถูกคนรังแก ม้าดีถูกคนขี่ โหวฮูหยินแน่วแน่ยิ่ง เพื่องานแต่งของเด็กสาวและเด็กชายอีกสองสามคนในจวนแล้ว เรื่องนี้พวกเรายอมทนรับไม่ได้!

นายหญิงรองกับนายหญิงสามฟังแล้วก็เห็นตรงกันกับหลักข้อนี้ จึงทยอยกันก้าวออกไปเกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่า

เสียงดังจอแจ คล้ายตลาดขายผักก็ไม่ปาน

ซือจูสีหน้ามืดครึ้ม

นางรู้อยู่แล้วว่า เด็กสาวที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลพ่อค้าเช่นหวังซีนี้ แต่ละคนล้วนหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเสียอีก

ไม่ชั่งน้ำหนักสถานะของตัวเองบ้าง ไม่ว่าคนอะไรก็กล้าใฝ่ฝันอยากได้

ก็เหมือนกับที่บรรดาพ่อค้าชอบส่งของขวัญมาให้ครอบครัวของพวกเขาบ่อยๆ กล่าวไว้ จุกตายถือเป็นความกล้าหาญ หิวตายถือเป็นความขี้ขลาด

แต่บางเรื่อง นกที่บินนำออกไปก่อนก็ถูกยิงตายก่อนเช่นกัน

ซือจูแสยะยิ้มเย็น

ฮูหยินผู้เฒ่าถูกบุตรสะใภ้และหลานสะใภ้คนนี้พูดประโยคหนึ่งคนนั้นพูดประโยคหนึ่งจนเวียนหัวไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องการกลับจวน ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายการกดดันของทุกคนก็ชนะ ตบโต๊ะครั้งหนึ่ง ตัดสินใจว่าไม่อยู่อวยพรเซียงหยางโหวฮูหยินแล้ว อย่างที่โหวฮูหยินกล่าวมา ในเมื่อสถานที่จัดงานของพวกนางเล็กเกินไป เช่นนั้นพวกเราก็ไม่รั้งอยู่ต่อแล้ว

โหวฮูหยินโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

ซือจูไม่ยอม นางกล่าว เช่นนี้ออกจะเกินไปสักหน่อยกระมัง! พวกเรากับจวนเซียงหยางโหวนั้นเงยหน้าไม่พบก้มหน้าก็ต้องพบกันอยู่ดี ลงโทษหมัวมัวที่มีหน้าที่รับรองแขกสักครั้งก็พอแล้ว เหตุใดต้องทะเลาะกันอย่างเปิดเผยด้วย!

ชี้ต้นหม่อนด่าต้นตั๊กแตน ให้ทุกคนได้รู้เรื่องนี้เป็นการแก้แค้นตามแบบฉบับดั้งเดิม

เมื่อครู่ตอนที่เห็นหมัวมัวของจวนเซียงหยางโหวปฏิบัติกับคนของจวนหย่งเฉิงโหวเช่นนั้นนางก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน รู้สึกว่าทุกครั้งที่ตนตามคนหย่งเฉิงโหวออกมาข้างนอกนั้นไม่เคยได้รับเกียรติมีหน้ามีตาเลยสักครั้ง ครั้งนี้ยิ่งแล้วใหญ่ทำเกินไปแล้ว ราวกับถูกคนดึงหนังหน้าลงไปเหยียบย่ำที่พื้น

แต่ความคิดกลับจวนเป็นความคิดที่หวังซีปลุกเร้าขึ้นมา จากอารมณ์ที่ว่าอะไรที่หวังซีเห็นด้วยนางจะต่อต้าน อะไรที่หวังซีต่อต้านนางจะเห็นด้วยนั้น นางจึงกล่าวถ้อยคำดังกล่าวออกไปโดยไม่ต้องคิดให้มากความ

เดิมทีโหวฮูหยินก็รู้สึกว่าซือจูขัดตาอยู่แล้ว อยากหาโอกาสชักสีหน้าใส่นางสักครั้งมาโดยตลอด ไม่โกรธเวลานี้แล้วจะรอเวลาไหนอีก

นางแสยะยิ้มเย็นกล่าวในทันทีว่า คุณหนูต่างสกุลยังเด็กเกินไป จึงไม่รู้จักความเก่งกาจของคน บางคนเจ้าไม่ชี้จมูกนางเอาไว้เพื่อด่านางตรงๆ นางก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเจ้ากำลังด่านางอยู่ ความคิดของแม่นางอาซีดีกว่า เวลานี้ ผู้อื่นไม่แม้แต่จะสนใจเกียรติของพวกเรา เหตุใดพวกเรายังต้องสนใจเกียรติของพวกนางด้วย คว่ำโต๊ะกลับไปเลยต่างหากถึงจะเหมาะสม

นางไม่เรียกหวังซีว่า ‘คุณหนูต่างสกุล’ แล้ว แต่เรียก ‘แม่นางอาซี‘ อย่างให้ความสนิทสนมแทน

ซือจูหน้าเปลี่ยนสี

นายหญิงรองกลัวว่านางจะดื้อดึงขึ้นมาในเวลานี้แล้วทุกคนต้องเดือดร้อนไปด้วย

นางรีบก้าวออกไปคล้องแขนของซือจูเอาไว้ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า คุณหนูต่างสกุล พวกเราล้วนทราบเจตนาดีของเจ้า เพียงแต่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ตัดสินใจไปแล้ว พวกเราก็เชื่อฟังพี่สะใภ้ใหญ่ไปก่อนเถอะ!

ส่วนโหวฮูหยินไม่มองซือจูแม้แต่ครั้งเดียว ให้ซือหมัวมัวนำความไปแจ้งคนดูแลรถม้าด้านนอก

ฮูหยินผู้เฒ่าสงสารซือจูจับใจ เห็นโหวฮูหยินโมโหซือจู รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เวลานี้ทุกคนต่างทยอยกันเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับกันแล้ว นางเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ ทั้งกังวลว่าจะทำให้ซือจูโกรธ จึงรีบเรียกซือจูมาอยู่ข้างๆ นาง จากนั้นครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่อาจทำให้หวังซีเป็นทุกข์เช่นกัน กล่าวอีกว่า อาซี เจ้าก็มาประคองข้าด้วย

หวังซีไม่คิดจะไปยืนกับซือจู และนางก็มิใช่คนที่ถูกทำให้โกรธแล้วยังยอมให้ตัวเองต้องทนทุกข์ประเภทนั้นด้วย จึงกล่าวไปตรงๆ ว่า ข้าไม่อยากคุยกับซือจู ข้าจะไปกับโหวฮูหยินเจ้าค่ะ

ทุกคนตกตะลึง ต่างคิดไม่ถึงว่านางจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้

รวมถึงซือจูด้วย

ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง

หวังซีไม่สนใจว่าพวกนางจะคิดอย่างไร ตรงออกไปจากเรือนปีก คล้องแขนโหวฮูหยินเอาไว้เดินมุ่งหน้าไปด้านนอก พวกเรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ อย่าให้คนของจวนเซียงหยางโหวไล่ตามมาได้ ถึงเวลาดึงรั้งกันไปมา จะยิ่งไม่น่าดู! และดูไม่สง่าด้วย!

โหวฮูหยินรู้สึกว่านางพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก สั่งการฉังหนิงเสียงหนึ่งว่า เจ้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่า แล้วออกจากเรือนปีกไปพร้อมกับหวังซี

ฮูหยินผู้เฒ่าอดส่ายศีรษะไม่ได้ จับมือซือจูไว้ ให้ฉังหนิงประคองออกจากประตูไป

บ่าวไพร่ของจวนเซียงหยางโหวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นสตรีจวนหย่งเฉิงโหวห้อมล้อมฮูหยินผู้เฒ่าออกจากประตูชั้นในไป จะห้ามก็ไม่ใช่ จะไม่ห้ามก็ไม่ใช่

สาวใช้ที่มีไหวพริบรีบวิ่งไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหว

แต่บังเอิญว่าชิ่งอวิ๋นโหวฮูหยินมาถึงพอดี ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวกำลังให้การรับรองด้วยตัวเองอยู่

รอจัดที่ทางให้ชิ่งอวิ๋นโหวฮูหยินเสร็จ สาวใช้เด็กเข้าไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหว คนจากจวนหย่งเฉิงโหวก็ออกจากประตู นั่งรถม้าจากไปแล้ว

……………………………………………………………………

[1] นกเฟิ่ง นกฟีนิกซ์

ตอนต่อไป