ตอนที่ 76 ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 76 ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่

“คุณหนู ท่านหญิงให้มาเชิญคุณหนูเจ้าค่ะ”

สาวรับใช้มาเชิญ

เยียนอวิ๋นเกอลุกขึ้นเพื่อให้สาวรับใช้ปรนนิบัติเปลี่ยนชุด ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องตำรา

เมื่อถึงห้องตำรา เยียนอวิ๋นเกอพบว่าเยียนอวิ๋นฉวนอยู่ด้วยจึงประหลาดใจเล็กน้อย

เซียวฮูหยินบอกให้นางนั่งลง จากนั้นพูด “วันนี้เรียกพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องต้องบอกพวกเจ้า แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทางเหนือไม่ได้นำทัพไปยังชายแดน หากแต่หันทิศลงใต้ มุ่งหน้าสู่พื้นที่ศักดินาของเหล่าท่านอ๋องเพื่อสยบความโกลาหลที่กำลังจะเกินขึ้น หากมีบุตรหลานของเหล่าท่านอ๋องยกทัพก่อกบฏ กองทัพทางเหนือจะสยบความโกลาหลตามรับสั่ง สังหารกบฏทุกคนอย่างไร้ข้อยกเว้น!”

เยียนอวิ๋นเกอแอบพยักหน้าเป็นไปตามคาด

ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทางเหนือมุ่งหน้าไปยังชายแดนตามรับสั่ง อ้างว่าเป็นการป้องกันคนต่างเผ่าพันธุ์ เวลานั้นนางก็รู้สึกว่าข้องอ้างนี้ช่างดูถูกสติปัญหาของคน

เวลานี้ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทางเหนือเดินทางไปยังพื้นที่ศักดินาของเหล่าท่านอ๋อง นางจึงรู้สึกสมเหตุสมผลยิ่งนัก

ฮ่องเต้ทรงเข่นฆ่าเหล่าท่านอ๋อง พยายามเรียกคืนพื้นที่ศักดินา ไม่มีทางไม่เตรียมการป้องกันคนฉวยโอกาสก่อกบฏไว้ล่วงหน้า

เยียนอวิ๋นฉวนมีสีหน้ากังวล “ข่าวของฮูหยินเชื่อถือได้หรือไม่ขอรับ”

เซียวฮูหยินพูดอย่างมั่นใจ “ข่าวของข้าเชื่อถือได้อย่างแน่นอน เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสงสัย”

เยียนอวิ๋นฉวนเก้อเล็กน้อย “ข้าไม่ได้สงสัยข่าวของฮูหยิน เพียงแต่ฝ่าบาททรงต้องการกำจัดให้สิ้นซาก! ราชสำนักจะนั่งมองโดยไม่สนใจหรือขอรับ”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ “จุดจบของใต้เท้าไท่ฉางชิง พวกเจ้าคงได้ยินแล้ว เวลานี้ทุกคนต่างระวังตัว ถึงแม้ภายในใจไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฮ่องเต้ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านต่อหน้า พวกเจ้าอย่าลืม คราวนี้ขุนนางฝ่ายราชการยืนอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ สนับสนุนฮ่องเต้โจมตีเหล่าท่านอ๋อง”

พื้นที่ศักดินาของเหล่าท่านอ๋องทั้งหลายล้วนเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ อากรส่วยและผลผลิตทำให้คนอิจฉา ที่ผ่านมาตระกูลใหญ่ไม่มีโอกาสแทรกแซงอากรส่วยของพื้นที่ศักดินา อีกทั้งไม่มีโอกาสซื้อขายที่ดินภายในพื้นที่ศักดินา

“เวลานี้ฮ่องเต้ทรงกำจัดเหล่าท่านอ๋อง เรียกคืนพื้นที่ศักดินา ผู้ที่ได้ประโยชน์โดยตรงคือตระกูลชนชั้นสูง รวมไปถึงขุนนางฝ่ายราชการที่ยืนอยู่ในราชสำนัก บางทีพวกเขาอาจหารือเพื่อแบ่งพื้นที่ศักดินาของเหล่าท่านอ๋องเสร็จสิ้นแล้วเสียด้วยซ้ำ”

เยียนอวิ๋นฉวนรีบถาม “ฝ่าบาททรงไม่สนใจหรือขอรับ”

เซียวฮูหยินยิ้มเย้ยหยัน “ฝ่าบาททรงต้องการใช้อำนาจของขุนนางฝ่ายราชการและตระกูลเบื้องหลัง จึงทำได้เพียงละทิ้งประโยชน์ส่วนหนึ่ง หากไม่มีความร่วมมือจากตระกูลชนชั้นสูง เพียงแค่อาศัยกองทัพทางเหนือ ไม่มีทางกำจัดกองทัพกบฏหลายฝ่ายได้ในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ระยะนี้พวกเจ้าอย่าได้เสนอตัว อยู่อย่างสงบเพื่อความปลอดภัย”

“ส่วนทางท่านโหว ข้าส่งสารกลับไปแล้ว เจ้าใหญ่เองก็เขียนจดหมายไปอีกหนึ่งฉบับ อธิบายสถานการณ์ในเมืองหลวงอย่างละเอียด ฝ่าบาททรงกำจัดเหล่าท่านอ๋องแล้ว ต่อจากนี้แม่ทัพชายแดนอาจมีชีวิตที่สงบสุขเพียงสามถึงห้าปี หลังจากสามถึงห้าปีแล้ว เมื่อฝ่าบาทปีกกล้าขาแข็ง ก็จะถึงคราวกำจัดแม่ทัพแล้ว ให้รีบเตรียมตัวเอาไว้เถิด!”

เยียนอวิ๋นฉวนขมวดคิ้ว พูดเสียงเบา “ข้าได้ยินว่า ท่านอ๋องตงผิงหนีไปแล้ว”

เซียวฮูหยินพยักหน้า พูดอย่างมั่นใจ “ท่านอ๋องหกท่าน มีเพียงท่านอ๋องตงผิงที่หนีไปได้ อำนาจของท่านอ๋องตงผิงอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางล่าง ด้วยบารมีของเขา อย่าได้คิดจะปลุกระดม การรวบรวมกองกำลังไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งท่านอ๋องตงผิงตามที่ข้ารู้จักไม่มีความกล้าที่จะก่อกบฏ”

เยียนอวิ๋นฉวนได้ยิน รู้สึกเหยียดหยามท่านอ๋องตงผิง

“ฝ่าบาทจะทรงกำจัดเขา เขายังไม่กล้าก่อกบฏ อย่างนั้นเหตุใดจึงต้องหนี ล้างคอรอตายเสียดีกว่า!”

เซียวฮูหยินหลุบตาต่ำพลันยิ้ม “ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้! มดที่ต่ำต้อยยังรักในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคน เขาหนีกลับพื้นที่ศักดินา อาศัยกองกำลังในมือ ถึงแม้จะไม่ก่อกบฏ แต่อย่างน้อยก็เอาตัวรอดได้ระยะหนึ่ง ชะตากรรมของแผ่นดินนี้ ไม่ได้ครอบครองโดยฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว ไม่แน่ว่าวันใดอาจมีโอกาสพลิกผัน ท่านอ๋องตงผิงจะโผล่ขึ้นกลายเป็นเจ้าแห่งดินแดนหนึ่งตามสถานการณ์”

“อย่างไรก็ตาม ไม่อาจด่วนสรุปได้ในเวลานี้ อีกทั้งท่านอ๋องตงผิงยังมีชีวิตอยู่ย่อมมีผลดีกับพวกเรา ไม่กำจัดอำนาจของเหล่าท่านอ๋องให้สิ้นซากหนึ่งวัน ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจบรรทมได้อย่างสบายใจในหนึ่งวัน เขาย่อมไม่กล้าลงมือกำจัดแม่ทัพอย่างง่ายดาย ดังนั้นเจ้าควรดีใจที่ท่านอ๋องตงผิงหนีออกไปได้”

เยียนอวิ๋นฉวนขมวดคิ้วครุ่นคิด “ตามที่ฮูหยินพูด พวกเราสมควรสนับสนุนท่านอ๋องตงผิงอย่างลับๆ รวมทั้งเหล่าท่านอ๋องที่ยังีชีวิตอยู่เนื่องจากไม่ได้มาเมืองหลวงด้วยหรือขอรับ”

เซียวฮูหยินยิ้ม “เจ้าเขียนจดหมายให้ท่านโหว เสนอให้ท่านโหวสานสัมพันธ์กับเหล่าท่านอ๋องอย่างลับๆ เสีย”

เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้า “ความคิดของฮูหยิน ข้าจะถือเป็นของตนเองได้อย่างไร”

เซียวฮูหยินแสดงถึงความใจกว้าง “ไม่เป็นใด! ข้าไม่อยากเขียน เนื้อหาภายในจดหมายง่ายดายเกินไป เรื่องมากมายไม่ได้บอกกล่าวอย่างชัดเจน เจ้าเขียนจดหมายให้ท่านโหว ถือว่าเป็นการเสริม”

เยียนอวิ๋นฉวนครุ่นคิด “อยางนั้นนั้น ข้าจะเขียนจดหมาบอกกล่าวท่านพ่อตามที่ฮูหยินบอก”

“ไปเถิด!”

เยียนอวิ๋นฉวนโน้มตัวจากไป

นับแต่ต้นจนจบ เยียนอวิ๋นเกอไม่ได้พูดสิ่งใด

เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนจากไป นางจึงใช้สองมือทำท่า ‘ท่านแม่คิดจะช่วยเหลือเยียนอวิ๋นฉวนหรือเจ้าคะ’

เซียวฮูหยินยิ้ม “ภายนอกดูเหมือนสถานการณ์ในเมืองหลวงมั่นคงแล้ว แต่ความสงบบนผิวน้ำนั้นมักมีคลื่นใต้น้ำที่พัดอย่างรุนแรง เจ้าเป็นสตรีไม่เหมาะสมกับการออกหน้า สู้ให้โอกาสเยียนอวิ๋นฉวนเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก เขาไร้ที่พึ่งในเมืองหลวง หากมีเรื่องย่อมต้องมาขอความคิดเห็นจากข้า เจ้าถือว่าเขาเป็นหินถามทางในการลองเชิงท่าของแต่ละฝ่ายแล้วกัน

ส่วนเจ้าย่อมสามารถมุ่งหน้าไปบุกเบิก ฝึกฝนกองกำลังที่แคว้นชีได้อย่างวางใจ แคว้นชีห่างจากเมืองหลวงสองร้อยลี้ ระยะทางนี้ เพียงพอให้เจ้าพัฒนาได้อย่างปลอดภัยหลายปี คราหน้า เมืองหลวงโกลาหล เจ้าย่อมมีโอกาสกลายเป็นตระกูลหลิงที่สอง อาศัยความชุลมุนในเมืองหลวงกอบโกยผลประโยชน์ หากองค์ชายสองมีใจสู้ ไม่แน่ว่าเขายังสามารถช่วยเขาขึ้นครองบัลลังก์”

เยียนอวิ๋นเกอใช้สองมือทำท่า ‘ไปบุกเบิกที่แคว้นชี ลูกก็มีความคิดนี้ เพียงแต่ช่วยองค์ชายสองขึ้นครองบัลลังก์ เรื่องนี้ลูกคิดว่ายังต้องครุ่นคิดอีกครั้ง ฮ่องเต้กำจัดเหล่าท่านอ๋อง สถานการณ์ในแผ่นดินมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ราชสำนักมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย ประชนชนนับวันยิ่งยากจน อยู่อยากลำบากยากเข็น ลูกกังวลว่าสถานการณ์จะยิ่งแย่ลง แม้จะสูงส่งอย่างฮ่องเต้ ก็ไม่อาจปลอดภัยในภายหน้า’

เซียวฮูหยินหัวเราะเสียงเบา “หากฮ่องเต้ยังไม่ปลอดภัย ตายก็ตายเถิด ไม่ใหญ่หลวงนัก บนโลกนี้ผู้ใดไม่ตาย! อย่างมากก็ละทิ้งเมืองหลวง พวกเราหาพื้นที่ใหม่”

เยียนอวิ๋นเกออุทานภายในใจ ท่านแม่ช่างกล้าหาญยิ่งนัก

นางสงสัยอย่างมาก ท่านตาและท่านยายต้องเป็นผู้มีความสามรถเพียงใด จึงสามารถอบรมสั่งสารท่านแม่ที่โดดเด่นเพียงนี้ออกมาได้

เสียดายที่ท่านตา “องค์รัชทายาทจางอี้” ตายไปยี่สิบกว่าปีแล้ว

ไม่สามารถเห็นความสง่าของท่านตาด้วยตนเอง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก

เยียนอวิ๋นเกอทำท่าต่อ ‘องค์ชายสองตายก็ตายไป ลูกแค่กังวลพี่สอง กลัวนางเสียใจ’

เซียวฮูหยินพูด “เสียใจเป็นแค่เรื่องชั่วคราว ชีวิตลำบากยากเข็น การมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นโชคอันใหญ่หลวง ไม่อาจเรียกร้องมากเกินไป พี่สองของเจ้าเป็นคนแน่วแน่ เจ้าไม่ต้องกังวลนาง”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ‘ข้าฟังท่านแม่!’

เซียวฮูหยินยิ้มตาหยี นางดีใจอย่างมาก

บุตรสาวสามคน แต่ละคนล้วนโดดเด่น

บุตรสาวคนโตสุขม มีความฉลาดเฉลียว

บุตรสาวคนรองมีความมุ่งมั่น

บุตรสาวคนเล็ก เยียนอวิ๋นเกอ มีความคิดแปลกใหม่ มีศักยภาพสูงสุด

หลังจากเงียบไปสักพัก นางพูดต่อเยียนอวิ๋นเกอ “ใต้เท้าไท่ฉางชิง เขาเป็นผู้อาวุโสของข้า ให้การดูแลข้าบ่อยครั้ง เวลานี้เขาถูกเพิกถอนยศและบรรดาศักดิ์ อีกทั้งถูกขังไว้ในวัดจงเจิ้ง คนอื่นต่างหลบเลี่ยงเขาดุจเขาเป็นสัตว์ร้าย นอกจากคนในตระกูลของเขา ไม่มีผู้ใดไปเยือนเขา แต่ข้าไม่อาจไม่สำนึกบุญคุณ ข้าคิดจะเดินทางไปเยือนเขาที่วัดจงเจิ้ง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา ‘ท่านแม่ไปที่ใด ลูกย่อมไปที่นั้น’

เพียงแค่วัดจงเจิ้ง ผู้อื่นกลัวอันตรายมาถึงตัว นางไม่กลัว

เซียวฮูหยินพอใจอย่างมาก

แม่ลูกทั้งสองล้วนไม่กลัวปัญหา

ในเมื่อต้องการไปเยี่ยมเยือน นางจึงรับสั่งให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมสิ่งของ

เครื่องนอนอาหาร พู่กัน กระดาษ หมึกและหินฝนหมึก แม้แต่เสื้อผ้าล้วนจัดเตรียม

วันรุ่งขึ้น แม่ลูกทั้งสองนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังวัดจงเจิ้ง

ใต้เท้าไท่ฉางชิงที่ถูกเพิกถอนยศเมื่อหลายวันก่อน มีศักดิ์สูงมาก ภายในพระบรมวงศานุวงศ์ต่างแทนเขาว่าท่านผู้เฒ่า

นับแต่ท่านผู้เฒ่าถูกขังในวัดจงเจิ้งเมื่อหลายวันก่อน นอกจากคนในตระกูลของเขา ไม่มีผู้ใดไปเยือน

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนสามารถเห็นได้ชัดในเวลานี้

ดังนนั้น เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงจู้หยางมาเยี่ยมเยือนท่านผู้เฒ่า จงเจิ้งเส้าชิง[1]จึงตกใจไม่น้อย

เขาลูบไล้หน้าปากที่สะอาด บ่นพึมพำ “ไม่กลัวปัญหาเสียจริง!”

เขาครุ่นคิด ก่อนจะออกไปต้อนรับองค์หญิงจู้หยางด้วยตนเอง

จงเจิ้งเส้าชิงแซ่เซียว เป็นพระบรมวงศานุวงศ์

จากศักดิ์ เขาเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกันกับองค์หญิงจู้หยาง หรือเซียวฮูหยิน

“ท่านหญิงมได้อย่างไร” เขาทักทายอย่างเกรงใจ

เซียวฮูหยินยิ้ม “ใต้เท้าเส้าชิง ข้ามาเพื่อพบท่านผู้เฒ่า หวังว่าใต้เท้าเส้าชิงจะสะดวก”

“คือ…”

จงเจิ้งเส้าชิงลังเลเล็กน้อย ไม่รู้จะทำอย่างไร

ดังนั้นเซียวฮูหยินจึงถาม “ฝ่าบาทได้รับสั่งไม่ให้คนมาเยี่ยมท่านผู้เฒ่า?”

จงเจิ้งเส้าชิงส่ายหน้า “ไม่มี” เซียวฮูหยินถามอีกครั้ง “ข้าเข้าไปเยี่ยมท่านผู้เฒ่าได้หรือไม่ ท่านวางใจ หากฝ่าบาทลงโทษ ข้าจะรับไว้เอง”

จงเจิ้งเส้าชิงครุ่นคิด พยักหน้า “เอาเถิด ข้าให้คนพาพวกท่านเข้าไป ไม่คิดว่าท่านหญิงจะมาเยี่ยมท่านผู้เฒ่า”

“ท่านผู้เฒ่ามีบุญคุณกับข้า!” เซียวฮูหยินพูดเสียงเบา

จงเจิ้งเส้าชิงผงะ นึกถึงเรื่องในอดีต ก่อนจะถอนหายใจ “ท่านหญิงช่างมีจิตใจคุณธรรมยิ่งนัก!”

เซียวฮูหยินยิ้มเยาะเย้ยตนเอง

จงเจิ้งเส้าชิงรู้สึกตนเองพูดมาก ดังนั้นเขาจึงเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามา รับสั่งให้พาแม่ลูกตระกูลเยียนไปเยี่ยมท่านผู้เฒ่า

ออกจากที่ว่าการจงเจิ้ง มุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลัง

ทางนั้นมีจวนเรียงราย เอาไว้สำหรับกักขังพระบรมวงศานุวงศ์โดยเฉพาะ

ท่านผู้เฒ่าถูกขังในจวนเล็กแห่งหนึ่ง

สถานที่สี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ต้นกุ้ยฮวาในจวนเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของท่านผู้เฒ่า

เมื่อเห็นเซียวฮูหยิน ท่านผู้เฒ่าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าเด็กคนนี้ เจ้ามาได้อย่างไร คนอื่นต่างหลบเลี่ยง เจ้ากลับมาถึงหน้าประตูเอง”

ท่านผู้เฒ่ามีพลังมาก นอกจากไม่เป็นอิสระ เขาก็ไม่ได้รับความทรมานอันใด

ตามศักดิ์ของท่านผู้เฒ่า เขาเรียกเซียวฮูหยินเป็นเด็กก็เป็นเรื่องปกติ

เซียวฮูหยินรับสั่งให้คนวางสิ่งของลง “ข้านำสิ่งของเครื่องใช้ในประจำวันมาให้ท่านผู้เฒ่า อีกทั้งยังมีพู่กัน หมึก กระดาษ หินฝนหมึกและตำรา บางทีอาจช่วยท่านผู้เฒ่าแก้เบื่อได้”

ท่านผู้เฒ่าลูบไล้เคราสีขาว หัวเราะ “เจ้ามีใจแล้ว! ดีกว่าเจ้าเด็กคนอื่น! ข้ารับเจตนาของเจ้า เจ้ารีบไปเถิด ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา”

“มาก็มาแล้ว ท่านผู้เฒ่าไม่เชิญข้าดื่มชาสักแก้วหรือ” เซียวฮูหยินยิ้มตาหยี ไม่อยากจากไป

ท่านผู้เฒ่าโกรธ ทำท่าดุ “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดจึงไม่เชื่อฟัง”

เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม รับสั่ง “อวิ๋นเกอ เจ้าไปต้มน้ำชา ข้าคุยกับท่านผู้เฒ่าก่อน”

เยียนอวิ๋นเกอรับคำสั่งจากไป

[1]เส้าชิง หมายถึง ตำแหน่งขุนนางระดับสี่