ตอนที่ 38 จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากเรายังคงสงบพอ

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ปู้ด…

ปู้ด…

เมื่อใดก็ตามที่เข้าไปในสถานที่หรือสภาพแวดล้อมใหม่ หากต้องอยู่เป็นเวลานาน ความจริงแล้ว ควรต้องรีบตรวจสอบหาทางออกฉุกเฉินที่ปลอดภัยเอาไว้ก่อน

เช่นเดียวกับหอไป่ฝานของสำนักตู้เซียนที่มีประตูด้านข้างสองบาน ประตูหลังที่แยกจากประตูหลัก หนึ่งบาน นอกจากนั้น ยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายเปลี่ยนทิศทางเล็กๆ ซึ่งไม่ค่อยมีผู้ใดรู้จัก ค่ายกลนั้นน่าจะอยู่ในสถานที่ปิดด่านบำเพ็ญเพียรของเจ้าสำนัก

ในยามที่หลี่ฉางโซ่วยังเป็นเด็ก เขาไปที่หอไป่ฝานเพื่อรับเงินสนับสนุนรายเดือนกับอาจารย์ของเขาเป็นครั้งที่สอง และบังเอิญไปพบมันเข้า

สำหรับที่ตั้งของวังมังกรนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเผ่าพันธุ์มังกรเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างออกไป และมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับสำนักเซียนอื่นๆ ทั่วอาณาเขตในทะเลบูรพา นอกจากนี้ วังมังกรยังตั้งอยู่เหนือค่ายกลซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่ามีค่ายกลสังหารในแท่นดอกบัววารีนี้หรือไม่

ดังนั้น…สิ่งแรกที่ต้องทำ! น่าจะเป็นการหาทางออกฉุกเฉินในยามเกิดวิกฤตก่อนไม่ใช่หรือ

ในขณะนี้ ทั้งอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาไม่เอ่ยอันใด และมีศิษย์จำนวนสิบเอ็ดคนรวมทั้งเขาด้วย มีเพียงหกคนในหมู่พวกเขาเท่านั้นที่ได้หยิบผลไม้ตรงหน้า กินเข้าไปแล้วใช่หรือไม่!

กฎปฏิบัติโดยปกติของพวกเจ้าหายไปที่ใดกันหมด พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นต้นกล้าอมตะ สำนักตู้เซียนเลี้ยงดูพวกเจ้าไม่ดีหรือ เอาเปรียบหรือเป็นหนี้พวกเจ้าหรือ หรือบางที พวกเจ้าคงรู้สึกไม่สบายใจหากไม่ได้กินองุ่น!? แค่กๆ! ข้าจะไป…

โอ!…องุ่นที่วางอยู่ตรงหน้าอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาสองสามคนนั้น บัดนี้เหลือเพียงกิ่งก้านว่างเปล่าแล้ว…

ช่างมันเถิด มันก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้านี่นา

ขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่ในท่าเหมาะสม และแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น เขาหลับตาและเลิกคิดถึงศิษย์ร่วมสำนักกลุ่มนี้ของเขาชั่วคราว

เขาแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้กระจายออกไปและเริ่มค้นหาทางออกฉุกเฉินที่ปลอดภัยในขณะที่เขาคิดถึงงานของเขาเอง

ขณะมองผ่านไปยังบริเวณพื้นที่ที่นั่ง หลี่ฉางโซ่วก็ได้สำรวจภูมิประเทศคร่าวๆ แล้ว และในขณะนี้ เขาก็กำลังวิเคราะห์องค์ประกอบของค่ายกลบนแท่นดอกบัววารี ตลอดจนหาทางออกที่เป็นไปได้ของสถานที่นี้

แม้ว่าที่นี่จะมีน้ำอยู่ทุกหนแห่ง แต่ก็ชัดเจนว่าการใช้เวทหลีกลมเร้นกายจะเหมาะสมสำหรับการหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้มากกว่า

ประการแรก เป็นเพราะเวทหลีกลี้วารีเร้นกายนั้นช้ากว่า หลี่ฉางโซ่วเพิ่งเริ่มฝึกฝนเมื่อสิบกว่าปีก่อน และความเชี่ยวชาญของเขายังไม่ดีเท่ากับเวทหลีกลมเร้นกาย

ประการที่สองคือลมทะเลแรงและ…

ปึ้ด! ตูม!

ทันใดนั้นก็มีพลังเหมือนกับถูกระงับแต่ไม่อาจระงับเอาไว้ได้ด้วยวิธีใดเลย บังเกิดเสียงดังราวเสียงปืนใหญ่ เสียงสองเสียงก็ถูกปล่อยออกมารัวๆ หลังจากยอมแพ้จนต้องปล่อยออกมาอย่างไม่เต็มใจ!

และทำให้เกิดกลิ่นแปลกๆ พวยพุ่งฟุ้งกระจายออกไปในทันที เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มีกลิ่นเปรี้ยวอย่างไม่อาจอธิบายได้…

น่าจะเป็นเพราะเขากินยาบำรุงผิวเสริมสร้างความสวยและทำให้รูปลักษณ์คงที่ไปเมื่อวันก่อน…มันเป็นกลิ่นของสมุนไพรที่คงความอ่อนเยาว์เอาไว้…ซึ่งเป็นโอสถที่นักหลอมโอสถมักล้มเหลวในการปรับแต่งเม็ดโอสถให้ดีที่สุด

นั่นเป็นเพราะผู้บำเพ็ญไม่ได้กินธัญพืชทั้งห้า ร่างกายของพวกเขาจึงไม่มีสิ่งเจือปนและใสกระจ่างดั่งเนื้อองุ่นนี้ ดังนั้นเมื่อมีสิ่งเจือปนในร่างกายเข้ามา มันจึงโดดเด่นปึงปังอย่างยิ่ง

แต่รสเปรี้ยวนี้ดูเหมือนจะเป็นหญ้าจู้เหยียนอายุร้อยปีใช่หรือไม่…น่าทึ่งจริงๆ

หลี่ฉางโซ่วลืมตาขึ้นและมองไปยังที่มาของเสียง แล้วก็พบว่าเสียงทั้งคู่นี้เป็นผลงานชิ้นเอกของศิษย์พี่หญิงผู้หนึ่ง

และในเวลานี้ ศิษย์พี่หญิงผู้นี้ก็ยังนั่งอยู่อย่างสงบนิ่ง หากไม่ได้จับตรงมุมชุดกระโปรงของนาง มันก็จะดูเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้นจริงๆ

ทว่าศิษย์น้องชายสองคนที่อยู่ข้างๆ นางกลับดูรู้สึกอึดอัดมากจนไม่รู้ว่าจะนั่งหรือยืนดี ริมฝีปากของพวกเขาเริ่มสั่นระริก!

ความจริงแล้ว นี่ก็เป็นบทเรียนเช่นกัน

โชคยังดีที่วังมังกรทำแค่กลั่นแกล้งคน ไม่ได้วางยาพิษโดยตรงจริงๆ

ควรมีอารมณ์ขันหรือไม่ ในเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว มีผู้ใดที่ไม่เคยผายลมมาก่อนเล่า

แม้ว่าทุกคนที่เริ่มต้นฝึกฝนปี้กู่ในขอบเขตหลอมรวมปราณ น่าจะเรียนรู้ที่จะควบคุมไอขุ่นในร่างกายของพวกเขามานานแล้ว

ในเวลานี้ มีคนยี่สิบเจ็ดคนในสำนักตู้เซียนอยู่ที่นี่ ในหมู่พวกเขา มีแปดคนที่มีใบหน้าเปลี่ยนไป และมีสามคนที่ได้ให้กำเนิดเสียงเปรี้ยงปร้างผ่านทวารหนักออกมาแล้ว

ทันใดนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ลุกขึ้นยืนทันทีและรีบปรี่ไปหาสองอาจารย์ลุงซึ่งอาวุโสที่สุดในที่นี้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อาจารย์ลุง พวกท่านคงพลาดที่จะสังเกตเห็นกับดักเล็กๆ ที่อยู่ในผลไม้ในเวลานี้นะเจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ

เขาจะรู้สึกปลอดภัยกับคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร

การทำงานเป็นกลุ่มระดับนี้กลับไม่ได้ดีเท่ากับที่เขาปล่อยตุ๊กตากระดาษสองตัว…

หลังจากกลับไปคราวนี้ ต่อไปข้าจะไม่ยอมออกมานอกสำนักอีกแล้ว และข้าจะหาวิธีจัดการกับท่านลุงจิ่วอู เพื่อที่เขาจะได้ไม่สร้างปัญหาวุ่นวายอีก

โหย่วฉินเสวียนหย่าเงยหน้าขึ้นมองด้านข้างของหลี่ฉางโซ่ว จากนั้นก็กัดริมฝีปากของนาง ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำก่อนจะรีบกลับไปยังที่นั่งของนางราวกับว่าพุ่งหนีไป แล้วก็หลับตาของนางต่อไปเพื่ออดทนกับมันอย่างสุดกำลัง

นางไม่เป็นไรจริงๆ และกินองุ่นไปเพียงลูกเดียวเหมือนกับหลี่ฉางโซ่ว

แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ หลี่ฉางโซ่วตั้งใจกินมัน และห่อหุ้มมันเอาไว้ด้วยพลังเวทเพื่อให้องุ่นกระจายฤทธิ์โอสถของมันในร่างกายของเขา ดังนั้นเขาจึงแค่เรอออกมาเท่านั้น

และจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็คายองุ่นออกมาโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าไม่ได้ทำเช่นนั้น

ปู้ด…

และในไม่ช้า สหายสนิทของนางอีกคนก็ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป

ปู้ด ปู้ด…

โอ นี่มันปฏิกิริยาลูกโซ่ใช่หรือไม่

โอ ศิษย์น้องหญิงผู้นี้หน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย และคาดว่า บัดนี้นางคงเริ่มสงสัยชีวิตตัวเองแล้ว เพราะในท้ายที่สุด ในความประทับใจของทุกคน เทพธิดาน้อยอย่างนางต้องครองความสง่าผ่าเผยและไม่อาจผายลมได้

ชู่ว์…

และสักพักต่อมา…

ขอโทษเถอะนะ เขาอยากจะถามว่าศิษย์พี่หญิงของเขาเหลือเกินว่า ต้องบีบกล้ามเนื้อหูรูดของนางหนักหน่วงเพียงใดถึงจะปล่อยออกมาด้วยน้ำเสียงแปรปรวนและระดับเสียงเช่นนี้ได้!

หลี่ฉางโซ่วอดจะก้มศีรษะและก่ายหน้าผากของเขาไม่ได้ นอกจากนี้ เขายังไม่คิดว่าเขาจะมีทักษะวาจาเผาชาวบ้านซ่อนอยู่ในตัวตนเช่นนี้

แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนี่นา ถูกบังคับด้วยสถานการณ์จริงๆ!

แล้วในขณะนั้นเขาก็ได้ยินอาจารย์ลุงกล่าวว่า “ระวังตัวให้ดี ผลไม้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าเหล่านี้มีกับดักอยู่ วังมังกรต้องการเห็นพวกเราเป็นคนโง่และสร้างความอับอายให้กับตัวเอง ห้ามกินองุ่นและดื่มสุราที่อยู่ด้านข้างเหล่านั้นเด็ดขาด สุรานี้ก็บ่มมาจากองุ่นชนิดนี้ด้วยเช่นกัน!”

สุราหรือ

เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะดื่มสุรามาก่อน หลี่ฉางโซ่วจึงละเลยสุราชั้นดีในจอกเรืองแสงนี้ไปโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีคนกำลังมองเขาอยู่

และเมื่อมองไปตามทิศทางของสายตาที่จ้องมองมา เขาก็เห็นอาจารย์อาจิ่วจิ่วนั่งตัวสั่นอยู่เล็กน้อย ดวงตาโตคู่งามของนางจ้องมาที่เขาราวกับว่ากำลังจะร้องไห้เพื่อขอความช่วยเหลือในขณะที่นางรีบเปลี่ยนท่านั่งจากขัดสมาธิมาเป็นท่านั่งด้วยสะโพกแล้วปัดเท้าทั้งสองข้างไปด้านหลังเหมือนเป็ด

อา…จอกสุราตรงหน้านางว่างเปล่าแล้ว ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว!

นี่…มันเป็นความชอบส่วนตัวซึ่งย่อมเข้าใจได้เช่นกัน

ทว่า…เหตุใดจู่ๆ อาจารย์อาจิ่วจิ่วจึงลุกเดินข้ามมาที่นี่เล่า

หลี่ฉางโซ่วจะทันได้เอ่ยอันใด จิ่วจิ่วก็รีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดและวางเบาะนั่งของนางเอาไว้ข้างๆ เขาด้วยดวงตาและท่าทางขอโทษอย่างมาก

สายตาของนางบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า “ข้าขอโทษนะศิษย์หลาน! แล้วข้าจะชดใช้ให้เจ้าอย่างเต็มที่หลังจากที่เรากลับไปแล้ว!”

บัดนี้อาจารย์อาจิ่วจิ่วของหลี่ฉางโซ่วนั่งห่างจากเขาไปสามฉื่อ แต่นางยื่นมือซ้ายของนางไว้ใต้ชายเสื้อคลุมเต๋าของหลี่ฉางโซ่วอย่างนุ่มนวล จากนั้นชายเสื้อคลุมเต๋าของหลี่ฉางโซ่วก็เริ่มกระพือขึ้นลง…

และด้วยจังหวะนี้ ก็มีเสียงจากจิ่วจิ่วซึ่งนั่งห่างออกไปสามฉื่อตามติดออกมาทันที

ปู้ด ปู้ด ปู้ ปู้…

มันช่างเป็นจังหวะที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง

แล้วแม่สาวรับใช้หอยที่อยู่ข้างๆ พลันกลั้นหัวเราะจนแทบจะกัดปาก!

หลี่ฉางโซ่วก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นและอดจะพึมพำออกมาไม่ได้ว่า “เฮ้ ยังไม่ค่อยมีคนมาที่นี่มากนัก เรามาวางค่ายกลแยกปิดกั้นเสียงเล็กๆ สองค่ายกลที่นี่เถอะ วังมังกรไม่น่าจะว่าอะไรในเรื่องนี้ เพราะในท้ายที่สุด เราก็ยังต้องหารือกันว่าจะจัดการกับการจัดทัพและการจัดวางค่ายกลของสำนักต่างๆ กันอย่างไรดีในภายหลัง”

ทันใดนั้น เซียนเสิ่นสตรีผู้หนึ่งที่นั่งกินองุ่นอยู่ข้างหน้าก็จับข้อความได้ในทันทีและกล่าวออกมาเสียงลั่นว่า “ต่อไปเราจะมาหารือกันถึงวิธีการจัดทัพและการจัดวางค่ายกลกัน!”

หลังจากนั้น นางก็ใช้พลังเซียนของนางเปิดม่านพลังกั้นโปร่งใสเหนือศีรษะของนางเล็กน้อยเพื่อล้อมรอบคนทั้งยี่สิบเจ็ดคนเข้าด้วยกัน

และทันใดนั้น อาจารย์ลุงก็เตือนพวกเขาผ่านการส่งข้อความเสียงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“เร็วเข้า รีบจัดการเรื่องนี้ซะ! นี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก!”

และในชั่วพริบตานั้น ผู้คนหลายสิบคนต่างก็มีสีหน้ากระดากอายสุดๆ แล้วก็เริ่มมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาออกมา

หลี่ฉางโซ่วเหลือบตามองอาจารย์อาจิ่วจิ่วที่อยู่ข้างๆ เขา และพบว่าอาจารย์อาก็กำลังมองเขาด้วยความไม่พอใจราวกับจะบอกว่าเจ้าช่างไร้ความสามารถจริงๆ

แล้วเสียงของนางก็พุ่งระดมออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ชายเสื้อคลุมเต๋าที่อยู่ข้างหลังของหลี่ฉางโซ่วยังคงกระพือขึ้นลงไม่หยุด…

และบัดนี้หลี่ฉางโซ่วก็ได้แต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสงบ

ท่านอาจารย์อาน้อย ท่านเคยเห็นเสื้อผ้าของผู้ใดกระพือขึ้นลงพรึ่บพรั่บยามผายลมบ้างหรือไม่ขอรับ

และในที่สุดเสียงคลื่นเสียงระเบิดกลองและฆ้องที่ก้องดัง ก็ค่อยๆ สงบลงจนเงียบสนิท

จากนั้นก็มีหลายคนลอยร่างมาหยุดลงในบริเวณที่นั่งข้างๆ พวกเขา แต่พวกเขาคือ ‘กลุ่มตัวแทน’ ของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยแห่งดินแดนเทวะบูรพา และสำนักป่าเซียวเหยาบูรพา

เซียนเสิ่นสองคนที่นำกลุ่มประสานมือและทำการคารวะเต๋าให้กับทุกคนในสำนักตู้เซียน จากนั้นท่านอาจารย์ลุงสองคนที่อยู่ข้างหน้าต่างยิ้มและทำการคารวะเต๋าให้กับพวกเขาตอบก่อนที่ทุกคนจะนั่งลง

หลังจากแน่ใจได้ว่าไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ในม่านพลังปิดกั้นเสียงแล้ว เซียนเสิ่นของสำนักตู้เซียนก็ยกมือขึ้นโบกเพื่อสลายม่านพลังนั้นก่อนจะกล่าวออกมาราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดสิบเอ็ดคนจงจำสิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ให้ดี ห้ามทำสิ่งใดผิดพลาดอีก”

ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วและศิษย์คนอื่นๆ ทั้งหมดก็ตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ ท่านอาจารย์ลุง”

และในขณะนั้น ก็มีลมทะเลสดชื่นพัดมาจากสำนักป่าเซียวเหยาบูรพา

หลังจากนั้นก็มีเสียงดังกระทบกัน แล้วปรากฏศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนจากอีกฝั่งโซเซไปมา

สาวน้อยที่มีดวงตาเป็นประกายและฟันขาวสวยพลันสีหน้าเปลี่ยนไปในขณะที่ร้องตะโกนออกไปข้างหน้าว่า “ท่านป้าคนที่สาม มีกลิ่นอายปีศาจ!”

เพียงแค่ได้ยินเช่นนั้น ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายก็หันไปมอง

ทว่าเซียนสตรีผู้หนึ่งกล่าวตำหนินางด้วยรอยยิ้มว่า “หาได้มีเรื่องอันใดไม่ นี่คือกลิ่นทะเล”

“ที่นี่มีพวกทหารเล็กๆ มากมาย และยังมีสาวใช้หอยอยู่ข้างๆ…จงอย่าพูดอย่างนี้อีก ที่นี่คือดินแดนแห่งวังมังกร”

ทันใดนั้น ที่ด้านข้างของกลุ่มตัวแทนสำนักเซียนทั้งสอง มีสาวใช้หอยทั้งหมดแปดคนซึ่งอดทนมานาน แต่ละคนล้วนเปล่งแสงเซียนออกมาแล้วจึงถอยกลับเข้าไปอยู่ในเปลือกหอยสีขาวบริสุทธิ์ทั้งแปดของพวกนาง และหลังจากนั้นเปลือกหอยสีขาวบริสุทธิ์ทั้งแปดก็สั่นไหวไปมา

ในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของสหายร่วมสำนักทั้งหมดของเขาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง และทำให้เขาได้รับข้อมูลมากมาย

ตัวอย่างเช่น ในเวลานี้ จอมพิษเสวียนหย่านั้นช่างไร้เดียงสาจริงๆ ลำคอของนางกลายเป็นสีชมพูเพราะความอับอายและนางก็ยังคงหายใจแรงและพยายามกอบกู้ ‘ภัยพิบัติ’ ที่นางได้ก่อขึ้นมา

ส่วนบรรดาท่านอาจารย์ลุงและอาจารย์อาที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีนั้น พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่ยังคงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่งไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ

ขณะนี้อาจารย์ลุงแห่งสำนักตู้เซียนได้ส่งข้อความเสียงไปยังคนอื่นๆ อีกยี่สิบหกคนว่า “ตราบใดที่พวกเรายังสงบพอ พวกเราก็จงรักษาท่าทีต่อไปให้ดูราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น”

และฉับพลันนั้น บรรดาศิษย์ทุกคนพลันปรับท่าทีของพวกเขาเองทันที

หลี่ฉางโซ่วถอนสายตาแล้วมองไปโดยรอบ จากนั้นก็เหลือบมองจิ่วจิ่วที่กลับไปนั่งยังที่นั่งของนาง แล้วจึงเลื่อนสายตาไปมองเปลือกหอยปิดขนาดใหญ่ทางด้านข้างใกล้กับเขา

สาวใช้หอยเหล่านี้หลบซ่อนตัวเพราะกลัวโดนทุบตีหรือไม่

และโดยปราศจากการรบกวนของโลกบรรพกาลใดๆ เขาก็เริ่มที่จะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์หลักการหมุนเวียนค่ายกลของที่นี่และเส้นทางหลบหนีโดยเร็วที่สุดสำหรับเขาในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต่อ

……

“ลมโชยพัดผ่านห้องโถงใหญ่และข้าก็ร้องเพลงให้ตัวเอง ข้าพบป่าเซียนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกาแล้วต้มสุราเพื่อชำระล้างระลอกคลื่นมรกต”

บัดนี้บนเมฆาขาว ได้ยินเสียงร้องเพลงสั้นๆ เหล่าเซียนที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ของสำนักตู้เซียน หลังจบงานเลี้ยงก็กลับมาบ้านด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อย

นักพรตเต๋าชราฉีหยวนร่อนร่างลงมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูกระท่อมมุงจากของศิษย์ใหญ่ของเขาแล้วตะโกนเรียกออกไปสองครั้ง แต่เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดตอบกลับ เขาก็เหลือบมองไปยังกระท่อมมุงจากของศิษย์ตัวน้อยที่กำลังเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็งก่อนจะเดินกลับไปที่กระท่อมมุงจากของตนเอง

ทว่าทันทีที่เขากำลังจะผลักประตูเข้าไป ก็ดูเหมือนว่า ฉีหยวนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วยิ้มเผล่ออกมา “ข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรมาสิบกว่าปีโดยไม่ได้เดินเล่นไปรอบๆ ยอดเขาหยกน้อยเลย เช่นนั้นก็ไปดูทิวทัศน์ ชมมรดกที่ท่านอาจารย์ทิ้งเอาไว้ให้สักหน่อยดีกว่า”

นักพรตเต๋าชราฉีหยวนถอนหายใจเบาๆ แล้วลอยร่างไปทางป่าที่อยู่ใกล้ๆ โดยเอามือไพล่หลังของเขาเอาไว้

ทว่าหากนักพรตเต๋าผู้เฒ่าผู้นี้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งและผลักประตูไม้ให้เปิดต่อหน้าเขา เขาก็คงจะได้เห็นจดหมายที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ

และแท้จริงแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีจดหมายแบบเดียวกันนั้นถูกวางเอาไว้อย่างระมัดระวังบนโต๊ะเท่านั้น แต่ยังมีจดหมายแบบเดียวกันอื่นๆ วางอยู่บนฟูกที่ใช้สำหรับการทำสมาธิแบบโบราณ บนเตียง และตำแหน่งที่สามารถมองขึ้นไปเห็นคานของห้องได้อีกด้วย

เพราะหลี่ฉางโซ่วกลัวว่าอาจารย์ของเขาจะไม่เห็นมัน

ทว่าหลี่ฉางโซ่วคาดการณ์ผิดพลาด เมื่ออาจารย์ขี้เมาของเขาไม่ได้กลับไปที่กระท่อมน้อยของเขาทันที…

เนื้อหาในจดหมายนั้นเรียบง่ายมากจริงๆ มันเป็นการแสดงความยินดีกับอาจารย์ที่กลายเป็นเซียนแล้วและต่อมาก็อธิบายว่า เขาถูกส่งไปที่ทะเลบูรพาเจ็ดถึงแปดวันกว่าจะกลับมาและสุดท้ายเขาก็ขอวิงวอนอาจารย์ว่า อย่าเพิ่งไปในพื้นที่ภูเขาในเวลานี้ เพราะมีเขาวงกตและค่ายกลกับดักที่น่ากลัวมากมายอยู่ใกล้ๆ กับหอโอสถที่สร้างขึ้นมาใหม่

และก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้เปิดใช้งานพวกมันไปมากกว่าครึ่งแล้ว