บทที่ 52 เจ้าบ้ามู่เชียนชาง
“คนผู้นั้นดูแข็งแกร่งมาก” ชิงเป่ยเอ่ยขึ้นพร้อมคิ้วขมวดมุ่น รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกจากร่างของคนผู้นั้นแม้จะอยู่ห่างกันมากก็ตาม
ชิงอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ มองเขาด้วยใบหน้าขำขัน “ท่ามกลางผู้คนในที่นี้ นอกจากชางไห่อ๋องและเซียนซินจื่อผู้นั้นแล้ว ข้าว่าคนอื่น ๆ ก็คงได้แต่ถูกเขารังแกหมด”
ได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มก็ถามเสียงประหลาดใจ “กระทั่งองค์รัชทายาทและพี่ใหญ่ก็สู้ไม่ได้หรือ?”
“พูดยาก” ชิงอวี่ลดสายตาลงมองต่ำ จากนั้นเอ่ยเสียงกระซิบแล้วหัวเราะเบา ๆ ออกมา
คนทั้งคู่พูดคุยกันเสียงเบา ไม่ทันเห็นว่ามีบางคนแอบมองประเมินพวกตนอยู่
คนผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดคลุมยาวสีขาวดูงามสง่า นัยน์ตาดอกท้อมีเสน่ห์เย้ายวน เครื่องหน้างดงาม ชุดสีขาวที่สวมใส่ยิ่งส่งให้เขาดูสง่างามมากขึ้น
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงแถบผู้ตัดสินในชื่อไป๋หลี่จีหราน นายน้อยแห่งหุบเขาไร้กังวลนั่น เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมหลังมรณาไม่ใช่หรือ?
ด้วยความที่มีหน้าตาโดดเด่นเหนือใคร เขาจึงชอบคนงาม ทั้งยังมีดวงตาที่คอยเสาะหาคนงามที่ชั่วร้ายยิ่งนัก เดิมทีเขาไม่คิดอยากเข้าร่วมงานประลองอันแสนน่าเบื่อเช่นนี้ หากแต่มาเพื่อยั่วโมโหหุบเขาไร้กังวลโดยเฉพาะ เขากวาดสายตามองไปทั่วด้วยความสงสัยแล้วก็พบเข้ากับแม่นางน้อยน่าสนใจผู้หนึ่ง
หนึ่งคือความสง่างามจากชุดขาวเช่นเขา สองคือนางมองปราดเดียวก็สามารถบอกได้ว่ามู่เชียนชางแตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างไร กระทั่งในหมู่คนในหุบเขาไร้กังวลยังดูไม่ออก มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ามู่เชียนชางเป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ ใช้ธาตุแสงและธาตุมืด เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากแม้ผ่านไปเป็นร้อยปี
ไป๋หลี่จีหรานถูกกระตุ้นความสนใจ เริ่มคิดว่าแม่นางน้อยอาจจะมาจากดินแดนระดับบนเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงส่งพลังวิญญาณเข้าไปสืบเสาะพลังบำเพ็ญเพียรของนาง
หากแต่จิตยังไม่ทันแผ่ออกไป กลับถูกแสงพลังสีทองอันน่าเกรงขามต้านไว้ ไป๋หลี่จีหรานเจ็บปวดถึงจิตวิญญาณส่วนลึก จากนั้นก็พบเข้ากับนัยน์ตายาวสีทองและเงินที่กำลังหรี่ตามองเขาอยู่ ภายในนัยน์ตานั้นราวกับมีหุบเหวลึกไร้ที่สิ้นสุดที่อาจกลืนเขาเข้าไปได้ มันกำลังส่งคำเตือนให้เขา
ใบหน้าเขาซีดขาวลงเล็กน้อย แม่นางน้อยผู้นั้น….. มาจากที่ใดกันแน่?
เรื่องเมื่อครู่กินเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ชิงอวี่ไม่ทันรับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ทั้งยังเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเด็กหนุ่มผมทองยังมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อเรื่องหนึ่งเท่านั้น
มนุษย์หน้าโง่ สักวันจะตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตน กล้าดูหมิ่นนายหญิงของเขาเช่นนี้อวดดีนัก
การประลองรอบที่สองกำลังดำเนินการ หลังจากมู่เชียนชางเดินขึ้นไป หมายเลขมากมายก็ถูกประกาศ ส่วนคนด้านล่างเงียบกริบ เกรงว่าตนอาจจะเป็นคนที่ถูกเรียกขึ้นไป
ที่น่าสนใจคือเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีจิตใจมุ่งมั่นต่อสู้เมื่อครู่กลับพากันขาอ่อนทั้งที่ยังไม่ทันก้าวขึ้นเวทีประลอง สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมแพ้ขอสละสิทธิ์ด้วยตนเอง
หากนับดูดี ๆ ที่ทำเช่นนั้นมีมากกว่ายี่สิบคน
เซียนซินจื่อที่คอยประกาศหมายเลขอับจนคำพูด “…..”
ที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูงสุดคือฮ่องเต้ชิงหลาน ใบหน้าที่ยิ้มแย้มพลันแข็งชะงักไปชั่วครู่
คนด้านล่างเวทีประลองยังคงไม่ส่งเสียงใด “…..”
สถานการณ์เช่นนี้คืออะไรกัน?
เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เหล่าผู้เข้าประลองทั้งหมดที่ผ่านเข้ามายังการประลองคัดออก ล้วนเป็นผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง หากแต่การประลองยังไม่ทันเริ่มพวกเขาก็แพ้ไปเสียแล้ว ทั้งยังมีคนขอยอมแพ้มากเสียด้วย
ภาพแปลกตาเช่นนี้ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงเงียบสงัด ก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะที่ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไปของชายผู้หนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ
ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน พบว่าตรงที่นั่งผู้ตัดสินมีชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดขาวกำลังหัวเราะตัวงอ เอนไปหน้าทีหลังที นัยน์ตาเย้ายวนหรี่จนตาหยี ที่หางตามีน้ำตาประดับอยู่
“…..”
ไป๋หลี่จีหรานยังหัวเราะต่ออีกเล็กน้อย หากแต่ไม่นานก็รู้ตัวว่าท่าทางตนไม่เหมาะสมเท่าใดนักจึงกลั้นหัวเราะไว้ในที่สุด “ขออภัยด้วย ขออภัย ข้าอดไม่ไหว เสียมารยาทต่อหน้าทุกท่านแล้ว”
“ข้าว่านะเชียนชาง ยับยั้งรัศมีน่าขนลุกขนพองของเจ้าไว้สักนิดเถอะ เจ้าเป็นเช่นนี้จะมีใครกล้าขึ้นมาประลองกับเจ้าเล่า?”
ท่าทางขอโทษขอโพยของเขาทำเอาผู้คนอยากตบตีเขา
มู่เชียนชางที่อยู่บนเวทีประลองมองมาทางเขาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูจะประหลาดใจนิดหน่อย หากแต่ก็ไม่ได้พูดอันใด ยอมกดรัศมีข่มขู่ที่แผ่ออกจากร่างตนไว้เล็กน้อย
“หมายเลขเก้าสิบห้า หมายเลขหนึ่งร้อยหนึ่ง”
สองหมายเลขนี้คือสองคนสุดท้ายสำหรับการประลองรอบที่สอง มู่ฉือมองป้ายหมายเลขในมือตนเงียบ ๆ คือหมายเลขหนึ่งร้อยหนึ่ง ไม่ไกลจากเขานักคือซวนหยวนเช่อที่ได้รับป้ายหมายเลขเก้าสิบห้า
สิบปีก่อนคนทั้งคู่แข่งขันกันเพื่อขึ้นเป็นองค์รัชทายาท สิบปีให้หลังยังคงต้องแข่งขันกันเป็นนักบุญชายในงานเทศกาล คงจะเป็นชะต้าฟ้าลิขิตเป็นแน่
มู่เชียนชางทำให้คนตกใจกลัวยอมสละสิทธิ์ไปมากกว่ายี่สิบคน ดังนั้นบนเวทีประลองในปัจจุบันจึงเหลือคนอยู่ไม่ถึงห้าสิบ หลังจากเซียนซินจื่อประกาศให้เริ่มการประลอง พลังมืดอันกล้าแข็งก็พลันระเบิดขึ้นกลางเวทีประลอง บางคนไม่ทันระวังพลังที่จู่ ๆ ก็ปะทุขึ้นมากระเด็นออกนอกเวทีไปในทันที มู่ฉือและซวนหยวนเช่ออยู่ไม่ห่างจากพลังนั่นนัก ทั้งคู่เรียกพลังในกายตนออกมาเพื่อยึดร่างตนให้มั่นคง
หลังจากคลื่นพลังผ่านไป เมื่อทุกคนหันกลับมากลับพบว่าที่รอบเวทีประลองมีผู้คนนอนกองอยู่มากมายหลากหลายท่า ทั้งยังมีผู้ที่คลานตะเกียกตะกายหนีออกมาจากเวทีประลองอีกจำนวนมาก ส่วนเงาร่างที่ยืนเด่นอยู่ตรงกลางคือเงาร่างสีเขียวเข้ม ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ดูสันโดษยิ่ง ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่ฝีมือเขา
หากแต่เห็นได้ชัดมากว่าพลังเมื่อครู่ระเบิดออกมาจากร่างเขา
“เมื่อครู่….. เมื่อครู่มันอะไรกัน?”
“พลังวิญญาณสีดำงั้นหรือ?!”
“นั่นใช่ธาตุมืดอันทรงพลังในตำนานหรือไม่!?”
“ชีวิตนี้ได้เห็นคนใช้ธาตุมืดสักครา ข้าตายตาหลับแล้ว”
“ไม่แปลกที่องค์ชายเจ็ดแข็งแกร่งนัก! ถือครองธาตุพลังสูงส่งเช่นนั้น ข้าว่ากระทั่งองค์รัชทายาทยังไม่อาจต้านไหว”
หลังจากการระเบิดคลื่นพลังวิญญาณอันรุนแรงเมื่อครู่ สิ่งที่คนอื่น ๆ เห็นคือคนสี่คนผู้น่าสงสารที่ยังเหลืออยู่บนเวทีประลอง
มู่เชียนชางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทุกคนโจมตีเข้ามาพร้อมกันได้เลย”
เป็นน้ำเสียงมีเสน่ห์นัก ไพเราะราวกับเสียงสายน้ำไหล หากแต่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ใบหน้าไร้อารมณ์
ในหมู่คนสี่คนที่เหลืออยู่ นอกจากซวนหยวนเช่อและมู่ฉือ อีกสองคนคือศิษย์จากหุบเขาไร้กังวล ตอนนี้คนทั้งคู่แบมือปะทะกำปั้นเป็นท่าทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงนอบน้อม “ศิษย์พี่มีพลังแข็งแกร่ง พวกข้ารู้ดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน พวกข้าขอสละสิทธิ์”
พูดจบคนทั้งคู่ก็เดินลงจากเวทีประลองไป
ซวนหยวนเช่อเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้น ทั้งยังเป็นศิษย์หลักสำนักละอองหมอก ชนะได้แต่ไม่อาจพ่ายแพ้
ส่วนมู่ฉือก็ไม่อาจหลีกปัญหาพ้น เขาเป็นศิษย์หลักของสำนักไร้สิ้นสุด วิทยายุทธ์ไม่ต่ำต้อย องค์ชายเจ็ดแคว้นอู่ชางผู้นี้ ร่ำลือนักว่าเก่งกาจมากความสามารถ วันนี้เป็นโอกาสดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ประลองพลังกัน
“ชิ เหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว หากสองรุมหนึ่งคนจะครหาว่าไม่ได้เอาชนะด้วยความยุติธรรม ข้าเป็นฝ่ายสู้ก่อนก็แล้วกัน” มู่ฉือเหยียดหลังตรง นัยน์ตายิ้มที่ได้รับมาแต่เกิดเจือแววสนุกสนานดูมีเสน่ห์
ซวนหยวนเช่อขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ระวังตัวด้วย”
มู่ฉือยักไหล่ ท่วงท่าสบายใจเรียกให้คนสนใจมองนัก
“พ่อหนุ่มนั่นยังดูเด็กมาก ไม่รู้ว่าร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ผู้ใด?” คนด้านล่างเวทีผู้หนึ่งไม่รู้จึงเอ่ยถามขึ้น
“หา? เจ้าไม่รู้จักคนผู้นั้นหรือ? คนผู้นี้เบื้องหลังใหญ่โตนัก!” ชายที่เอ่ยตอบหันมองซ้ายขวา ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “ตัวตนของเขาสลักซับซ้อนเล็กน้อย เดิมทีเป็นองค์ชายหกแห่งแคว้นชิงหลานของเรา หากแต่ไม่รู้ว่าทำความผิดอันใดจึงถูกไล่ออกจากวัง ไม่เพียงเป็นศิษย์คนโปรดของเจ้าสำนักไร้สิ้นสุด หากแต่มีท่านปู่ฝั่งมารดาที่เป็นถึงผู้นำตระกูลแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนคอยหนุนหลัง มีผู้คนมากหน้าหลายตาอยากเอาอกเอาใจเขาเพื่อเป็นเส้นสายให้ได้เรียนวิชาแพทย์จากคนตระกูลมู่!”
ชายคนแรกได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง “เช่นนั้นก็เป็นผู้มีเบื้องหลังสูงส่ง”
ในตอนที่ชิงเป่ยมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนนั้น เขาพลันรู้สึกว่าชายหนุ่มคุ้นตายิ่งนัก จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรออก พึมพำกับตนเองเสียง “คนผู้นั้นใช่คนที่มายังเรือนสงบเงียบเมื่อตอนนั้นหรือ…..”
ตั้งแต่ที่โหลวจวินเหยาพูดบางอย่างกับชายหนุ่มไปครั้งนั้น นางก็ไม่เห็นเขามาตามตอแยนางอีก ในที่สุดก็คงจะคิดได้แล้ว หากแต่เมื่อกล่าวถึงโหลวจวินเหยา ไม่รู้ว่ากลับไปต้องเจอกับเรื่องอันใดบ้าง
ชิงอวี่ยกยิ้มขึ้น ตลกดี ในเมื่อบุรุษผู้นั้นกลับไปแล้ว เขาก็คงมั่นใจที่จะรับมือไม่ว่ากับสถานการณ์แบบไหน เขาและนางไม่เกี่ยวพันกันอีกต่อไป อีกทั้งยังอยู่ห่างกันถึงสองดินแดน
แสงสีทองพลันสว่างวาบขึ้น ดึงสตินางกลับไปยังการประลอง ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองพบว่าลำแสงสีทองแสบตาถูกเปล่งออกจากร่างมู่ฉือที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง
เป็นธาตุทอง ธาตุที่อยู่เหนือธาตุทั้งห้า ผู้ใดที่สามารถใช้ธาตุทองจะสามารถใช้ได้อีกหนึ่งธาตุไปโดยปริยาย ยามสำแดงธาตุทองในการต่อสู้ ร่างทั้งร่างของผู้ใช้พลังจะแกร่งดั่งเหล็ก อาวุธใดไม่อาจเฉือนผิว น้อยคนนักที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับพวกเขาได้ ผู้ใดที่ถูกธาตุทองโจมตี โชคดีสุดคือจะรู้สึกราวถูกหินทุบ โชคร้ายสุดคืออวัยวะภายในฉีกขาดถูกทำลายก่อนจะสิ้นใจ
พลังทำลายล้างของธาตุทองผสานรวมเข้ากับธาตุสายฟ้า ปะทะกับธาตุมืดที่หาได้ยากยิ่ง มีโอกาสเอาชนะอยู่มาก ทั้งพ่อหนุ่มผู้นั้นยังไม่เผยธาตุอีกธาตุของตนอีกด้วย
ชิงอวี่เลิกคิ้วประหลาดใจ คนผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาทั้งยังลื่นไหลนัก นางไม่รู้เลยว่าคนเช่นนี้จะมีธาตุพลังมหาศาลเช่นนี้ในร่าง ตรงกันข้ามกับบุคลิกของเขาอย่างสิ้นเชิง
มู่ฉือยามต่อสู้เองก็ไม่ใช่มู่ฉือคนไร้กังวลคนเดิม นัยน์ตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมเด็ดขาด มู่เชียนชางที่ยืนอยู่ตรงข้ามหรี่ตามอง กระโดดหลบพลังลมจากฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ซัดมาตรงหน้า ผู้คนด้านล่างยังสามารถเห็นว่าที่พื้นริมเวทีมีหนึ่งฝ่ามือประทับเป็นรอยลึกราวสามฉื่อ (1) อยู่
“โอ้! พลังทำลายสูงยิ่ง พลังของธาตุทองนี่ชั่วร้ายจริง ๆ หากฝ่ามือนั่นปะทะใส่ใครคงไม่อาจรอดชีวิต”
เหล่าผู้ชมเห็นแต่ชายหนุ่มที่เรืองแสงทองออกจากร่างเข้าโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง ส่วนมู่เชียนชางทำเพียงตั้งรับและไม่โต้กลับแม้แต่น้อย ดูท่ากำลังตกที่นั่งลำบาก หากแต่ไม่นานผู้ชมก็พบเข้ากับฉากที่ไม่น่าเชื่อสายตา
ชายหนุ่มในชุดสีเขียวเข้มพลันหยุดหลบหลีก ในตอนที่หมัดผสานอัสนีบาตรของมู่ฉือพุ่งเข้ามา มู่เชียนชางก็พลิกฝ่ามือดั่งมีดเข้าซัดที่อกมู่ฉืออย่างรุนแรง ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือฝ่ามือมีดนั้นคือเปล่งแสงเรืองสีทองออกมา
มู่ฉือตกตะลึงจนร่างกายไม่อาจรับการโจมตีได้ทัน ร่างถูกซัดออกไปไกลหลายเมตร กระอักเลือดอึกใหญ่ออกมา
“เป็นไปได้อย่างไร…..” มู่ฉือไอออกมาสองครั้งด้วยความเจ็บปวด ดวงตาตกตะลึง
ผู้คนเบื้องล่างพลันมีเสียงฮือฮาขึ้นมาในทันใด
“ธาตุของมู่เชียนชางไม่ใช่ธาตุมืดหรอกหรือ!?”
“หรือแท้จริงแล้วจะสามารถใช้ธาตุทองได้ด้วย? น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“ธาตุทองได้ชื่อว่าเป็นธาตุที่ไม่อาจทะลวงผ่าน แล้วรับการโจมตีรุนแรงเช่นนั้นเข้าไป!”
เชิงอรรถ
ฉื่อ คือหน่วยวัดของจีน 1 ฉื่อ มีความยาวราว 1 ฟุต